12 ม.ค. 2023 เวลา 08:58 • นิยาย เรื่องสั้น

ชายคนนั้น

​​​​​
​​“พี่กล้ายืนยัน ผีไม่มีจริงหรอก” พี่ต้องตอบเสียงหนักแน่น เมื่อผมถามว่าผีมีจริงไหม ​​
“ทำไมจะไม่มีหล่ะพี่ ผมยังเคยเล่นผีถ้วยแก้วกับที่บ้าน วิญญาณคุณป้าให้เลขสามตัวบน ไปซื้อถูกตรงตัวเลยครับ ตอนนั้นพี่สาวและน้าผมได้มาตั้งหลายแสนนะครับ” ผมพยายามหาเหตุผลมาค้านพี่ต้อง
​​
“มีใครเคยเห็นผีบ้างไหมหล่ะ?” พี่ต้องพูดเสียงยานคาง “แล้วไอ้ผีถ้วยแก้วที่ว่า ก็แค่เอาถ้วยมาคว่ำลงบนกระดาษแล้วเดินไปตามตัวหนังสือ ใครเคยเห็นวิญญาณที่อยู่ในถ้วยบ้างมั๊ย? หน้าตามันเป็นยังไง? บางทีคนเล่นอาจรวมหัวกันเอานิ้วแตะก้นถ้วยแล้วช่วยกันดันให้มันเคลื่อนไป”
​​“โธ่พี่! ผมไม่เคยเห็นวิญยง..วิญญาณผีสางอะไรหรอกครับ แต่ไอ้เรื่องใบ้หวยสามตัวตรงเป๊ะนี่จะอธิบายยังไง?” ผมถามออกไป คิดว่าคงต้อนให้พี่ต้องจนมุมได้
​​“ไม่เห็นยาก” พี่ต้องโบกมือ “มันก็แค่เรื่องบังเอิญ หรือไม่ก็....ขอโทษนะอย่าว่ากัน นัทอาจได้เลขมาจากที่อื่นแล้วรวมหัวกันหลอกคนที่ดูอยู่ มันก็เท่านั้นเอง”
​​“พี่ต้อง!” ผมขึ้นเสียง “หาว่าผมหลอกลวงหรือ?”
​​“เปล่า พี่ก็แค่สันนิษฐาน” พี่ต้องพูดหน้าตายไม่ยี่หระว่าผมจะรู้สึกอย่างไร ก่อนยกเบียร์กระป๋องขึ้นซดอึกใหญ่
​​ผมโกรธจนหน้าแดง คิดหาทางตอบโต้พี่ต้อง แต่ยังไม่ทันเอ่ยปาก เสียงของพี่ เต๋อดังมาเหมือนอาญาสิทธิ์จนต้องหุบปากไว้
​​“ไม่เอาน่า! พอ...พอแล้ว...ทั้งไอ้ต้อง ไอ้นัท ต่อความยาวสาวความยืดอยู่นั่นแหละ” พี่เต๋อที่นั่งเบาะหน้าข้างพี่นก พูดปรามเสียงเข้ม ก่อนพูดต่อว่า “ไอ้ต้อง มึงซัดเบียร์ไปสามกระป๋องตั้งแต่ออกจากกรุงเทพ คงเมาแล้วมั้ง มึงอย่าไปว่าน้องมันอย่างนั่นซิ เรามาเที่ยวกันให้สนุกนะโว้ย ขอร้องเถอะ! อย่ามาแขวะกันเอง”
​​พี่เต๋อพูดจบ ภายในรถเงียบกริบ เพราะพี่เต๋อเป็นประธานชมรมเชียร์ พี่ใหญ่ของพวกเรา แกเรียนมาหกปีแล้วแต่ยังไม่จบเพราะเอาแต่ทำกิจกรรมเชียร์ที่แกรักมาตั้งแต่ปีหนึ่ง พี่เต๋อเป็นคนใจดีรักเพื่อนพ้องพี่น้องทุกคน แต่ถึงคราวเป็นการเป็นงาน แกจะเป็นคนเฉียบขาดพูดคำไหนคำนั้น ซึ่งพี่นกกับพี่ต้องที่อยู่ปีสี่และผมที่เป็นน้องปีสาม ต่างก็เป็นสมาชิกชมรมเชียร์มาตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัย พวกเราจึงรู้จักนิสัยใจคอพี่เต๋อดีและให้ความเคารพยำเกรงมาก
​​การมาเที่ยวครั้งนี้ เป็นไอเดียของพี่นกที่เพิ่งออกรถเก๋งป้ายแดงมาหมาดๆ ได้ไม่ถึงเดือน ถึงยังขับรถไม่คล่อง แต่ด้วยความที่พวกเราไม่ได้ไปเที่ยวตามประสาพี่น้องมาร่วมสองปีเพราะโควิด พี่นกจึงเอ่ยปากชวนพวกเราไปเที่ยวด้วยกัน “ไปต่างจังหวัดกันนะ เอารถผมไป จะได้ลองรถใหม่ในตัว”
​​ส่วนพี่เต๋อ เสนอให้ไปพักที่บ้านสวนของแกที่อยู่ไม่ไกลตัวอำเภอบ้านโป่งมากนัก “ไปบ้านพี่ซิ เดินทางไม่ไกล กินเหล้าดูฟุตบอล ค้างกันสักคืนหนึ่งแล้วรุ่งขึ้นค่อยกลับ”
​​ด้านพี่ต้องไม่ต้องพูดถึง เป็นขาเมาประจำชมรมอยู่แล้ว พอได้ยินว่าจะไปกินเหล้า มีหรือจะปฏิเสธ
ส่วนผมเป็นน้องเล็กในกลุ่ม ชอบติดสอยห้อยตามพี่ๆ อยู่แล้ว อาสาจัดหาเหล้า โซดา น้ำแข็งและกับแกล้ม ที่ตอนนี้พวกมันวางอัดกันครบครันอยู่ในกระโปรงท้ายรถ
​​“ถึงไหนแล้วครับพี่นก?” ผมถามขึ้น
​​“ใกล้ถึงบ้านโป่งแล้ว เลยบ้านโป่งไปเลี้ยวซ้ายอีกเดี๋ยวเดียวก็ถึง” พี่นกตอบ
​​จู่ๆ ฝนก็เริ่มโปรยปรายลงมา ถึงแม้ตกไม่หนักนักแต่ก็ไม่ถือว่าเบา ไม่นานพื้นถนนก็ชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำฝน บางช่วงเริ่มมีน้ำขังให้เห็นประปราย พี่นกซึ่งเป็นมือใหม่เลยออกอาการเกร็ง ตาจ้องเขม็งฝ่าเม็ดฝนที่ตกลงมา มือสองข้างกำพวงมาลัยแน่นเสียจนไม่รู้ว่ารถเบนออกไปทางด้านขวา เสียงแตรรถด้านหลังดังขึ้น พี่นกรีบหักพวงมาลัยดึงรถที่เบนออกไปกลับเข้ามาอยู่ในช่องทางด้านซ้าย
​​“ระวังหน่อยโว้ยนก อย่าขับกินเลนชาวบ้านซิวะ” พี่ต้องร้องออกมา
​​“ไม่เป็นไร ใจเย็นๆ ซิ ฝนตกกูมองไม่เห็นเส้นแบ่งถนน ก็มีแฉลบไปข้างๆ นิดหน่อย มันจะบีบแตรทำไมวะ”
​​“ให้กูขับให้ไหม มึงนะมือใหม่ ขับกลางค่ำกลางคืน ฝนตกอย่างนี้ด้วย มันอันตราย” พี่ต้องพูดด้วยเสียงจริงจัง
​​“ไอ้เวร! มึงนะ...เมาแล้ว ให้มึงขับจะพาลพาพวกเราไปเป็นผีกันหมด” พี่นกกระเซ้าเอาคืนพี่ต้องแรงๆ
​​“เออ...ตามใจ รถมึงนี่หว่า -ว่าแต่พูดถึงผี ตะกี้กูยังเล่าไม่จบ” พี่ต้องพูดเสียงยานคางอย่างเคย “ตอนปีสองกูอยู่หอพักมหาลัย เคยเจอเรื่องแปลก พวกมึงอยากฟังไหม?” พี่ต้องพูดพลางมองไปทางพี่เต๋อที่หน้ารถ
​​พี่เต๋อเหมือนรู้ แกเอี้ยวหันหน้ามาทางเบาะหลัง “เออ... มึงอยากเล่าก็เล่าไปเถอะ แต่อย่าแขวะชวนทะเลาะเหมือนเมื่อกี้เป็นพอ”
​​“ได้ครับพี่เต๋อ” พี่ต้องรับคำ ทำท่าวันทยหัตถ์แบบทหารแล้วยกเบียร์ขึ้นจิบเป็นพิธี ก่อนเล่าว่า “ตอนปีสอง กูอยู่หอพักมหา’ลัย ตรงนั้นแต่เดิมเคยเป็นวังเก่าพวกมึงคงรู้ดี คืนนั้นฝนตกอย่างกับตอนนี้เลย กูอยู่ในห้องกำลังนอนบนเตียงเคลิ้มๆ จู่ๆ ตู้เสื้อผ้าไม้ชิงชันเก่าคร่ำคร่าที่อยู่ปลายเตียงฝาตู้ก็เปิดออก”
​​“เปิดได้ยังไงวะ ฝาตู้คงหลวมละมั้ง ไอ้ต้อง” พี่นกออกความเห็น ส่วนพี่เต๋อหัวเราะหึๆ
​​“ไอ้นก มันไม่ได้เปิดน้อยๆ หรือค่อยๆ เปิดออกนะซิ แต่ฝาตู้มันเปิดอ้าออกอย่างเร็ว ดังปัง! ถ้านึกไม่ออก ก็เหมือนกับที่เราคว่ำฝ่ามือซ้ายขวาติดกัน แล้วลองพลิกฝ่ามือทั้งสองข้างให้หงายขึ้นพร้อมกันทันที ยังไงยังงั้นเลย”
​​“แล้วมึงทำไงวะ?” พี่นกถามต่อทันที
​​“จะทำไงได้หล่ะ กูก็ลุกขึ้นไปปิดฝาตู้นะซิ ก่อนปิดกูลองขยับดูว่าบานพับมันหลวมหรือเปล่า แต่ก็ปกติไม่มีอะไรหลวม”
​​“แล้วเป็นไงต่อพี่?” ผมยิงคำถามคล้ายกับพี่นกบ้าง
​​“พี่ก็ล้มตัวนอน จ้องเขม็งไปที่ตู้แล้วชี้นิ้ว พูดว่า ‘ถ้ามึงแน่จริงเปิดอีกทีสิวะ’ ” พี่ต้องทำท่าชี้นิ้วประกอบให้เห็นภาพ
​​“ลีลามากนักนะ เร็ว! แล้วมันเปิดอีกหรือเปล่าวะ?” พี่นกเร่งเร้า พลางเหลือบมองพี่ต้องผ่านกระจกมองหลัง
​​“ฮ่า..ฮ่า...” พี่ต้องหัวเราะอย่างกับในหนังจีน “แน่นอน ฝาตู้เปิดออกอีกที คราวนี้..เปิดแรงกว่าเก่าดังปัง! สนั่นห้อง”
​​“เฮ้ย!” พี่เต๋ออุทาน “มันเปิดแรงขนาดนั้น เอ็งกลัววิ่งออกจากห้องเลยซิ...ต้อง?”
​​“เปล่าเลย พี่ทายผิดถนัด ผมเฉยๆ เพราะไม่เชื่อว่าผีมีจริง ถึงฝาตู้จะเปิดออกแต่ก็ไม่มีผีหน้าเน่าเฟะโผล่ออกมาจากตู้ให้เห็น ผมลุกไปปิดฝาตู้อีกครั้ง ปิดไฟ แล้วพูดขึ้นว่า ‘สงสัยยุงบินมาชนฝาตู้มั้ง...’ จากนั้นทุกอย่างสงบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมเลยล้มตัวนอนและหลับสนิทจนถึงเช้า” พี่ต้องพูดเอามือกอดอก ทำท่าทางว่าภูมิใจเสียเหลือเกิน
​​“ถ้าเป็นผมคงวิ่งออกนอกห้องไปแล้ว พี่ใจเด็ดจริงๆ” ผมเอ่ยปากชมพี่ต้อง
​​“นั่นสิ เก่งฉิบหาย มึงนี่ไม่กลัวอะไรจริงๆ แต่กับน้องอ้อย ทำไมไม่เห็นเป็นแบบนี้บ้างวะ” พี่นกทำทีเป็นชมแต่ตบท้ายด้วยการแซวแรงๆ
เพราะทุกคนรู้ดีว่าพี่ต้องกลัวน้องอ้อยมากแค่ไหน พวกเราเคยเห็นตอนพี่ต้องนั่งกินเหล้าที่ร้านเจ๊กหลีหลังมหาวิทยาลัย น้องอ้อยมาตามทำหน้าบึ้งตึงเท่านั้น พี่ต้องรีบลุกขึ้นผลุนผลันกลับไปพร้อมน้องอ้อยทันที ตั้งแต่นั้นมา พี่ต้องก็ตกเป็นขี้ปากของพวกเรา ที่มักเอาเรื่องน้องอ้อยมาล้อเลียนแกเป็นประจำ
​​“อย่าให้เป็นแบบกูบ้างแล้วกัน...ไอ้นก” พี่ต้องพูดพร้อมออกอาการฮึดฮัด พวกเราสามคนหัวเราะออกมาพร้อมกัน ยกเว้นพี่ต้องที่ทำหน้ามุ่ยทำทีมองไปนอกหน้าต่างรถ
​​ฝนยังคงตกพรำๆ รถผ่านตัวอำเภอบ้านโป่งแล้วเลี้ยวซ้ายวิ่งเข้ามาตามถนนสองเลน จอแสดงจีพีเอสในรถแสดงระยะทางเหลืออีกสิบกิโลเมตร ก็จะถึงบ้านสวนของพี่เต๋อ สองทุ่มแล้วรถราบนถนนไม่มากนัก พี่นกเหยียบคันเร่งเพิ่มความเร็วขึ้น จนเห็นตัวเลขดิจิทัลที่หน้าปัทม์แสดงความเร็วหนึ่งร้อยยี่สิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง
​​“ไอ้นกมึงจะรีบไปไหนวะ?” พี่ต้องพูด โน้มตัวมาจับที่เบาะคนขับ
​​“เห็นถนนมันว่าง เซลล์มันบอกว่ารถรุ่นนี้ทรงตัวดี เลยลองเร่งดู แหม..ไม่พามึงไปตายหรอก” พี่นกประชด
​​“ระวังก็ดี มึงเพิ่งจะขับรถเป็นไม่นาน เดี๋ยวชนตูมตายโหงหมดคันขึ้นมา กูจะไม่เห็นหน้าน้องอ้อยอีก”
​​“ไอ้ต้อง...ไอ้ปากเสีย!” พี่เต๋อทำเสียงดุ แล้วหันไปทางพี่นก “ไอ้นก! มึงขับช้าลงหน่อยได้ไหม ไม่ต้องรีบ จวนจะถึงอยู่แล้ว”
​​พี่นกไม่ตอบรีบถอนคันเร่งลดความเร็วรถลงมาเหลือไม่ถึงร้อย แต่ถนนแถวนั้นไม่ค่อยเรียบ ทำให้พวกเราตัวโยนขึ้นลงตามพื้นถนน เสียงล้อสัมผัสกับถนนได้ยินเสียงครืด...ครืด...ดังเข้ามาให้ได้ยินเป็นระยะ
ผมได้ยินเสียงน้ำกระจายเมื่อรถวิ่งผ่านแอ่งน้ำ ตามมาด้วยเสียงยางรถที่บดกับกรวดหินที่ขอบทาง รู้สึกว่ารถเแฉลบออกด้านซ้าย พี่นกหมุนพวงมาลัยไปทางขวาอย่างเร็ว ทำให้รถเบี่ยงกลับมาทันที แต่มันไม่หยุดกลับเสียหลักข้ามเส้นแบ่งกลางถนนไปเลนด้านขวา รถสิบล้อที่วิ่งสวนมาระยะกระชั้นกระพริบไฟสูงถี่ๆ พร้อมกับบีบแตรลมเตือนดังสนั่น
​​“ไอ้นก ระวัง!” พี่เต๋อตกใจตะโกนออกมา
พี่นกตกใจรีบหมุนพวงมาลัยไปทางซ้ายอย่างเร็ว เสียงยางที่บดบี้กับถนนเสียงดังครืดๆ ผมรู้สึกว่ารถหมุนเป็นลูกข่าง ไม่รู้ทิศ ได้ยินเสียงตัวรถครูดไปกับพื้น ก่อนที่จะได้ยินเสียงซ่า คล้ายๆ กับใครเอาของร้อนไปจุ่มในน้ำเย็น สักพักมีน้ำทะลักเข้ามาท่วมในห้องโดยสาร ทำให้มองไม่เห็นอะไรเลย
ผมได้ยินแต่เสียงฟองอากาศรอบตัวดัง บุ๋ม...บุ๋ม... และเสียงถีบน้ำอย่างแรงของใครบางคนข้างตัวจนรู้สึกได้ มันเหมือนอยู่ในนรก ผมเห็นภาพของแม่ชัดเจนขึ้นมาในสมองพลันนึกไปถึงความตาย ผมพยายามกลั้นหายใจไว้ จนได้ยินเสียงเรียก
​​“ทางนี้! ทางนี้ ส่งมือมา”
​​ผมยื่นมือออกไปทางเสียงนั้น มีมือใครคนหนึ่งดึงมือผม ผมถีบตัวตามขึ้นไป พบว่าตัวเองออกมานอกตัวรถได้แล้ว พี่ต้องนั่นเองเป็นคนดึงผมออกมาผ่านช่องหน้าต่างประตูหลังที่ยังเห็นร่องรอยเศษกระจกติดอยู่ ผมรีบหันกลับไปเรียก
​​“ทางนี้พี่เต๋อ พี่นก ส่งมือมาทางนี้” ผมส่งเสียงพร้อมกับยื่นมือลงไปคว้ามือ พี่เต๋อดึงขึ้นมา ส่วนพี่นกจับมืออีกข้างของพี่เต๋อตามออกมาติดๆ
​​พวกเราออกมานั่งสั่นอยู่บนด้านข้างของรถที่ตะแคงปริ่มอยู่เหนือน้ำ อาการของทุกคนเห็นได้ชัดว่ายังมึนงงกับเหตุการณ์ ชาวบ้านหลายคนเริ่มออกมามุงดู
สักพักพวกเราค่อยๆ ลุยน้ำที่สูงประมาณคอไปขึ้นฝั่งคลอง คุณป้าคนหนึ่งแกเอาผ้าห่มมาให้เราคลุมตัวไว้ ผมมองไปรอบตัว เห็นพี่ต้องท่าทางอ่อนล้ากว่าใครเพื่อน แกหันไปทางพี่นก
​​“ไอ้นก ขอบใจมึงนะ ไม่ได้มึงพวกเราแย่แน่” พี่ต้องพูดเบาๆ
​​“ขอบใจอะไรวะ กูไม่เข้าใจ”
​​“ก็ที่มึงเรียกกูไง ให้มาทางนี้ กูเลยเจอทางออก น้ำในคลองไม่ลึกก็จริง แต่รถมันเอียงห้องโดยสารจมน้ำคลองเกือบมิด มองอะไรไม่เห็น ถ้าหาทางออกไม่เจอ ไม่นานพวกเราอาจจมน้ำตาย”
​​“แต่กูไม่ได้เรียกมึง กูออกมาได้เพราะพี่เต๋อ ดึงมือกู ออกมาก็เห็นมึงกับไอ้นัทอยู่ข้างบนแล้ว”
​​“นั่นสิ! ตอนพี่ต้องดึงมือผมออกมา ผมเห็นพี่อยู่คนเดียวนะ” ผมพูดขึ้นบ้าง
​​“มึงหูแว่วหรือเปล่า?” พี่นกถาม เอามือจับไหล่พี่ต้อง
​​“สาบาน กูได้ยินจริงๆ เสียงใหญ่เหมือนเสียงมึง บอกว่ามาทางนี้ มาทางนี้ พูดซ้ำตั้งสองครั้ง”
​​คุณป้าที่เอาผ้าห่มมาให้ แกยืนฟังอยู่ คงอยากจะเล่าอะไรให้พวกเราฟัง แกหันไปทางพี่ต้อง
​​
“คุณคะ เมื่อห้าวันก่อน คลองตรงที่พวกคุณตกลงไป น้ำลึกกว่านี้มาก วันนั้นมีรถกระบะคันหนึ่งตกลงไป ป้าออกมาดู เห็นเจ้าหน้าที่กู้ภัยดำน้ำลงไปคว้าตัวชายคนหนึ่งขึ้นมา เขาพยายามผายปอดและปั๊มหัวใจอยู่ครู่ใหญ่ สุดท้ายชายคนนั้นไม่รอด ทางเทศบาลคงกลัวว่าจะมีรถตกลงไปอีก สองวันที่แล้วจึงเอาเครื่องสูบน้ำมาสูบ น้ำในคลองเลยลดลงไปมากโข พวกคุณโชคดีมาก ถ้าตกลงไปตอนที่เขายังไม่สูบน้ำออก ขอโทษเถอะ ป้าว่าคงมีพวกคุณตายในน้ำนั้นเชียว” ป้าเล่าจบ เห็นแกทำท่าลังเลครู่หนึ่ง
“เออแน่ะ! เสียงผู้ชายที่มาเรียกว่ามาทางนี้ที่คุณได้ยิน ป้าว่าน่าจะเป็นชายคนที่ตายนั่นแหละ”
​​
ประโยคสุดท้ายของป้า ทำเอาผมตัวเย็นขนลุกซู่ มองไปข้างๆ เห็นพี่ต้องจ้องมองไปที่รถที่ตะแคงในน้ำเหมือนกำลังคิดอะไรในใจ ส่วนพี่เต๋อสีหน้าเรียบเฉย แกหันไปทางป้า
​​“ขอบคุณครับป้าที่เล่าให้ฟัง ขอบคุณสำหรับผ้าห่มด้วยครับ”
​​
“ไม่เป็นไรหรอก ช่วยอะไรได้ ป้าก็เต็มใจช่วย” ป้าผู้อารีตอบและยิ้มให้ ​​​
พวกเราร่ำลาคุณป้าเมื่อรถกระบะจากบ้านสวนของพี่เต๋อมาถึง เรานั่งท้ายกระบะได้สักสิบนาทีก็มาถึงที่บ้าน แต่ละคนทั้งหิว ทั้งเหนื่อยอ่อน ก่อนลงจากรถ พี่เต๋อ มองดูพวกเราด้วยความเป็นห่วง แล้วมาหยุดที่พี่ต้อง
​​“ต้อง...ตอนพี่ดึงไอ้นกออกมาได้แล้ว พี่มองไปที่เอ็ง มีผู้ชายคนหนึ่ง เห็นหน้าไม่ชัดยืนอยู่ข้างหลัง ทีแรกนึกว่าเป็นไอ้นัท แต่เหลียวกลับมาเห็นไอ้นัทนั่งอยู่อีกทาง พี่มองกลับไปอีกที ไม่เห็นผู้ชายคนนั้นแล้ว พี่ว่าคงเป็นผู้ชายคนที่ป้าเล่าถึงกระมัง”
พี่เต๋อพูดด้วยเสียงจริงจัง “พวกเรากลับไปถึงกรุงเทพแล้ว ไปทำบุญให้เขากัน ใครจะไปกับพี่บ้าง?”
​​ผมและพี่นกยกมือ ส่วนพี่เต๋อพูดเบาๆ ว่า “ผมไปด้วย”
​​
พวกเรารีบเข้าบ้านอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่พี่เต๋อเอามาให้ พอกินข้าวเสร็จต่างเหนื่อยอ่อนแยกย้ายกันเข้านอน ผมพยายามข่มตานอนแต่กลับนอนไม่หลับ นึกถึงพี่ต้องที่ไม่เชื่อว่าผีมีจริง ผมว่าเหตุการณ์ในวันนี้พี่ต้องคงเชื่อแล้ว เพราะที่เรารอดมาได้ ก็ด้วยชายที่ตายในคลองเมื่อห้าวันก่อน เป็นคนช่วยไว้แท้ๆ
สวัสดีครับ ผมหายหน้าไปหลายเดือน เพื่อเขียนนิยาย ทีแรกคิดว่าคงเสียเวลาเปล่า น่าจะเขียนไม่จบ แต่ความพยายามเฮือกสุดท้าย ทำให้เขียนจบจนได้ ท่านใดสนใจ สามารถเข้าไปช่วยอุดหนุนที่ลิ้งค์ด้านล่างนี้ได้นะครับ
โฆษณา