Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ArtsDairy
•
ติดตาม
15 ม.ค. 2023 เวลา 05:18 • ประวัติศาสตร์
คุณอาจเข้าใจคำว่า ศิลปะโรแมนติค ผิดมาตลอดชีวิต เมื่อโรแมนติค = ขบฎต่อสังคม
โรแมนติคมันก็ต้องหมายถึง ความรักความหวานแหวสิ ศิลปะโรแมนติคก็ต้องอ่อนโยนเกี่ยวกับรัก Romatic is love!
จริงๆแล้วแอดเองก็เป็นหนึ่งในคนที่เข้าใจผิดมาตลอด เวลาฟังอาจารย์พูดถึงยุคโรแมนติคทางศิลปะในหัวก็คือศิลปะแบบงามๆ เป็นคู่รัก ชีวิตสีกุหลาบ แต่อันนั้นคือ romantic แบบตามภาษาอังกฤษเลย เราต้องลบภาพนั้นออกไปทั้งหมด คือไม่ได้นะ555
จริงๆแล้วยุคโรแมนติคอยู่ในช่วงศตวรรษที่ 18-19 ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับความรักอะไรเลยแต่กลับมีแต่การปฎิวัติ การถกเถียงในสังคมเกี่ยวกับปัญหาเรื่องปัญญา ซึ่งนักประวัติศาสตร์ให้ชื่อยุคทางศิลปะนี้ว่า Romanticism ที่มาจากคำว่า romance ในภาษาฝรั่งเศส
คำว่า romance เนี่ยจริงๆแล้วหมายถึงประเภทกลอนหนึ่งในช่วงยุคกลาง ที่พวกเราเข้าใจว่าความรักก็คงใกล้เคียงเหมือนกันแต่พอยุคสมัยเปลี่ยนความหมายก็คงเปลี่ยนไปด้วย
ดังนั้น ถ้าเราจะหาคำมาบรรยายยุคโรแมนติคทางศิลปะ สำหรับแอดเองก็คงให้คำจักกัดความเป็น อารมรณ์ที่ร้อนแรงโดยไร้ซึ่งการควบคุมหรือที่เรียกในภาษาอังกฤษว่า passion นั่นเอง
1
ถ้าเรามีแพชชั่นในสิ่งที่เรารัก เราก็สามารถทำสิ่งต่างๆได้อย่างเหลือเชื่อ ถ้าเราทุ่มชีวิตให้กับแพชชั่น แพชั่นก็จะนำพาชีวิตเราไปโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้าง จะเห็นได้เลยความคิดเรื่องอารมณ์หรือแพชชั่นเนี่ย พวกเราในฐานะมนุษย์ยังวนกับเรื่องนี้จนปัจจุบัน จนมีคำแนะนำแบบ follow your passion!
แต่ทำไมคนตะวันตกอยู่ๆมาสนใจในอารมรณ์จนกลายเป็นกระแสหนึ่งของโลกศิลปะหล่ะ ไม่ใช่ว่ามนุษย์ศิลปินหรือพวกนักเขียนเขาใช้อารมรณ์นำก่อนตลอดหรือ?
จริงๆเราต้องย้อนเวลาไปสมัย C.17- C. 18 ที่หลายคนอาจรู้จักในนามยุคแห่งปัญญา
ในยุคนี้งานต่างๆไม่ว่าจะอะไรก็ตามมีความเป็นตรรกะเหตุผล มีความยึดในระเบียบที่แบบเคร่งครึม ซึ่งทั้งหมดนี้มาจากความเชื่อที่ว่าปัญญาและตรรกะจะช่วยนำพาสังคมของมนุษย์ไปสู่ความเจริญ จนความเป็นผู้มีความรู้เนี่ยเป็นจุดสูงสุดอย่างหนึ่งของมนุษย์
ในช่วงเวลานี้เองที่ปัญหามันก็เริ่มเกิดเพราะหนึ่งในปรัชญาสำคัญของยุคนั้นคือ ประโยชน์นิยม (Utilitarianism) ที่พูดง่ายๆ แบบรวมยอดสุดๆ คือ อะไรเพื่อส่วนรวมคือสิ่งที่ถูก ตัวอย่างง่ายๆคือถ้าเราต้องเลือกช่วยชีวิตระหว่างแม่เราคนเดียวกับเพื่อนเรา 10 คน เราต้องเลือกเพื่อนเพราะจำนวนมากกว่าเป็นส่วนใหญ่
หรืออีกตัวอย่างที่สุดโต่งคือ ประเทศแถบไอริชในช่วงนั้นประสบภัยแล้งแล้วมีผู้คนอดยากมากมาย แถมยังต้องเจอภาวะที่เด็กกำพร้าเกิดสูงมาเพิ่มความทุกข์อัก
วิธีแก้ปัญหาที่เป็นไปตามตรรกะและเป็นประโยชน์ก็คือ พวกเราต้องทำฟาร์มเนื้อเด็กแล้วแบ่งเนื้อพวกนี้ไปทั่วประเทศ ได้แก้ปัญหาเด็กกำพร้าหนึ่ง ได้แก้ปัญหาอดอยากหนึ่ง! มันสมเหตุผลที่สุดแล้ว
วิธีการนี้มีเสนอจริงๆเป็นการเสียดสีสังคม โดยมีชื่อว่า Modest Proposal (ไว้แอดเล่าแยกอีกที)
Satire เขียนโดย Jonathan Swift
ทุกคนคงเห็นได้เลยว่าตรรกะนี้มันก็มีเหตุผลนะ แต่ในเชิงอารมรณ์คือรู้เลยว่ามันไม่โอเคแน่ๆ เพราะว่าแม้พวกเรามนุษย์จะมีเหตุผลแค่ไหนแต่อารมณ์ก็เป็นส่วนที่ทำให้ชีวิตมีสีสันทั้งทุกข์ สุข ดังนั้นก็เลยเกิดกระแสต่อต้านงานศิลปะ งานเขียนที่ใช้แต่ตรรกยะเหตุผล จึงเป็นที่มาของชื่อยุค Romanticism
Passion + Individualism สูตรของชาวโรแมนติค
แอดได้ให้คำว่าแพชชั่นไปที่หลายคนใช้สู้กับตรรกะ ซึ่งคำนี้จะไปรวมกับความเป็นปัจเจคหรือพูดง่ายๆรวบสุดๆคือเป็นตัวเองที่จะสู้กับประโยชน์นิยมที่เน้นส่วนรวม เมื่อสองอย่างนี้รวมกันแล้วพวกเราก็ได้สวนผสมสำคัญของโรแมนติคที่ต่อต้านศิลปะแบบเดิมๆที่ยึดกฎ
Caspar David Friedrich, Wanderer above the Sea of Fog, 1818
แต่ แต่ แต่! มันไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น ชาวโรแมนติคเขาเชื่อในหลังของธรรมชาติและความบริสุทธิ์ของมนุษย์ มีความเชื่อที่ว่าอารยธรรมของมนุษย์ที่พัฒนาขึ้นมาจนถึงการอยู่รวมกันในสังคมเป็นสิ่งที่ทำให้มนุษย์ชั่วร้าย ทำให้มนุษย์ศูนย์สิ้นตัวตนไป
ในงานเขียนหรือภาพวาด เราก็จะเห็นพลังและอารมรณ์ที่สื่อด้วยภาพของธรรมชาติ ภาพที่มีความรุนแรงไม่ได้มีการถูกตรึงด้วยความเป็นจริงหรือตรรกะแบบสมัยก่อน เพราะจินตนาการนั้นก็คือความเป็นจริงในโลกของคนโรแมนติค
แล้วถ้าเราอ่านงานวรรณคดีหรือบทกลอน งานต่างๆมักมีการนำเสนอภาพเด็กๆ เพราะเด็กใกล้ชิดกับธรรมชาติที่สุดไม่เหมือนผู้ใหญ่ที่ถูกสังคมทำร้ายและกดทับ
แล้วยิ่งหากเรามองไปลึกขึ้นเนี่ย ศิลปะแนวนี้เองก็ไปผูกกับการปลดแอกทางการเมืองด้วยเหมือนกัน เช่นการปฏิวัติฝรั่งเศสหรือการปฎิวัติอเมริกา บางคนเลยเรียกยุคโรแมนติคว่ายุคแห่งการปฎิวัติเหมือนกัน
liberty leading the people- delacroix 1830
สำหรับแอดเองก็มองว่ายุคโรแมนติคมีรุนแรงแบบโคตรๆ ในทางอารมรณ์ งานต่างๆคือเป็นตัวเองจริงๆ ไม่ได้มีการได้รับอิทธิพลจากรัฐหรือศาสนาเยอะเหมือนยุคก่อนๆ
การที่มนุษย์ที่พวกเราทุกคนต้องคอยใส่หน้ากากเพื่อรักษาภาพลักษณ์หรือตัวตนที่แท้จริงไว้ ต้องคอยระงับสะกัดกั้นเพื่ออยู่ร่วมกันในสังคม แต่โรแมนติคคือเป็นอิสระจากทุกโซ่ตรึงทางสังคม และกลายไปเป็นไฟแห่งการปฎิวัติทั้งตนเองและโลก
แต่นักวิจารณ์บางคนก็มองว่าการที่เรามองแบบโรแมนติคเนี่ยมันก็อันตรายในเรื่องความเป็นปัจเจคในบุคคล
การที่เราลุ่มหลงไปในตนเอง การดำดิ่งลึกไปในอารมณ์บางทีก็ทำให้เกิดความรู้สึกที่ตนเหนือกว่าหรือถูกต้อง ตัวอย่างที่น่าสนใจคือ ฮิตเลอร์ ที่ลุ่มหลงในความเหนือกว่าของชนชาติตนทำให้เกิดการล่าคนบิวและคนผิวสีอื่น บ้างก็สันนิษฐานว่าเป็นแนวคิดที่ชาวเยอรมันบางส่วนได้รับในช่วงโรแมนติคก็นำมาสู่การขึ้นครองอำนาจจากความเป็นตนเองและแพชชั่นของฮิตเลอร์ได้เหมือนกัน เพราะในเยอรมันคือเป็นแหล่งที่ศิลปะนี้เจริญมาก
เราเลยเห็นได้ชัดว่าวิญญาณของความเป็นโรแมนติคยังคงอยู่มาถึงทุกวันนี้ การที่พวกเราให้อารมรณ์นำพา การเป็นตนเองหรือกล้าที่จะแตกต่าง เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ตามมนุษย์ทุกคนล้วนมีอารมรณ์เป็นสิ่งที่ชี้นำเราในหลายครั้งในเส้นทางชีวิต
และในหลายครั้ง อารมรณ์เองก็ได้ขึ้นเป็นนายของเรามากกว่าตรรกะหรือเหตุผลใดๆ
References
https://en.wikipedia.org/wiki/Romanticism
https://www.britannica.com/art/Romanticism
https://www.invaluable.com/blog/romanticism-defined/
แอดก็ขอขอบคุณผู้อ่านและทุกคนเลยที่ได้กดติดตาม เป็นความฝันแอดไม่กล้าฝันจริงๆที่มีคนอ่านแล้วติดตามขนาดนี้ ขอบคุณทุกคนมากเลยครับ :D หวังว่าในอนาคตจะสามารถเขียนได้บ่อยขึ้นและเจอกับทุกคนค้าบบ ตอนถัดๆไปน่าจะละเอียดกว่านี้ (มั้ง)
ประวัติศาสตร์
เรื่องเล่า
ข่าวรอบโลก
1 บันทึก
2
2
1
2
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย