17 ม.ค. 2023 เวลา 01:31

มาสด้าแรงขายทะลุ 3 หมื่น ยึดอันดับ 3 ตลาดรถยนต์นั่งอย่างถาวร

เตรียมส่งรถรุ่นใหม่ลุยตลาดตลอดปี พร้อมดูแลลูกค้าให้ดีที่สุด
มาสด้าแรงขายทะลุ 3 หมื่น ยึดอันดับ 3 ตลาดรถยนต์นั่งอย่างถาวรเตรียมส่งรถรุ่นใหม่ลุยตลาดตลอดปี พร้อมดูแลลูกค้าให้ดีที่สุด
- ยอดขายรวมเกือบ 18,000 คัน ขึ้นครองอันดับสามตลาดรถยนต์นั่ง
- ยอดขายรวมกว่า 16,000 คัน ครองอันดับสามรถยนต์นั่งซิตี้คาร์รวมอีโคคาร์
- ยอดขายรวมกว่า 12,000 คัน CX-Series ครองอันดับสี่ตลาดรถอเนกประสงค์เอสยูวี
- ผ่าโมเดลธุรกิจ Retention Business Model สร้างคุณค่าแบรนด์ ขายรถยนต์ด้วยแบรนด์อิมเมจ
มาสด้าประกาศผลการดำเนินธุรกิจประจำปี 2565 ประสบความสำเร็จตามคาดการณ์ แม้ประสบกับปัจจัยภายในและภายนอกมากระทบรอบด้าน
ด้วยความแข็งแกร่งขององค์กรและความเข้มแข็งของดีลเลอร์ส่งผลให้ยอดขายรถยนต์มาสด้าพุ่งเกือบ 32,000 คัน โดยเฉพาะมาสด้า2 ยังคงร้อนแรง
ทำสถิติใหม่ขึ้นครอง อันดับ3 ตลาดรถเล็กบีคาร์รวมอีโคคาร์ทำให้ยอดขายสะสมตลาดรถยนต์นั่งมาสด้าขึ้นครองบัลลังก์อันดับสามอย่างถาวร ส่วนรถ
อเนกประสงค์ตระกูล CX- Series ทั้ง 4 รุ่น สามารถสร้างยอดขายต่อเนื่องเป็นประวัติการณ์ครองอันดับ 4 ตลาดเอสยูวีด้วยยอดขายกว่า 12,000 คัน
ส่วนปีนี้ยังรุกตลาดหนักเช่นทุกปี เตรียมส่งรถยนต์รุ่นใหม่ลงตลาดตลอดทั้งปี โดยเฉพาะการเอาใจใส่ดูแลลูกค้าและเดินหน้ายกระดับความพึงพอใจ
ของลูกค้าผ่าน Retention Business Model ส่งมอบประสบการณ์ที่เป็นเลิศให้กับลูกค้าในระยะยาว ตั้งเป้ายอดขาย 35,000 คัน หรือเพิ่มขึ้นอีก 10%
ภาพรวมเศรษฐกิจประเทศไทยปี 2565 ที่ผ่านมาถือว่าปรับตัวดีขึ้นกว่าในช่วง 2 ปีก่อนหน้าเนื่องจากได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวจากการ
บริโภคของภาคเอกชนโดยมีปัจจัยบวกจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่เพิ่มสูงขึ้นการกระตุ้นเศรษฐกิจจากนโยบายภาครัฐ โดยเฉพาะจากการ
เปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวจากต่างชาติ จึงทำให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ และช่วยผลักดันให้ธุรกิจต่างๆ เดินหน้าต่อไปได้
ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับอุตสาหกรรมรถยนต์ที่เริ่มฟื้นตัวดีขึ้น โดยเฉพาะความต้องการซื้อรถยนต์ใหม่เริ่มกลับมา อีกทั้งยังได้ปัจจัยหนุน
จากการเข้ามาทำตลาดของแบรนด์ใหม่ๆ โดยเฉพาะแบรนด์จีน รวมถึงการจัดโปรโมชั่นกระตุ้นการตลาดจากค่ายต่างๆ จึงส่งผลให้อุตสาหกรรม
รถยนต์ไทยในปี 2565 เติบโตเพิ่มขึ้นอยู่ที่ประมาณ 12% จากปีก่อนหน้า โดยมียอดขายสะสมประมาณ 850,000 คัน(ตัวเลขประมาณการณ์) ซึ่ง เป็นจำนวนใกล้เคียงกับที่คาดการณ์ไว้เมื่อต้นปี
มร. ทาดาชิ มิอุระ ประธานบริหาร บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า วันนี้มาสด้าประกาศเดินหน้าอย่างเต็มรูปแบบตามแผน
พัฒนาธุรกิจระยะกลาง (Mid-Term Plan) เพื่อยกระดับคุณค่าของแบรนด์มาสด้าในประเทศไทยผ่านโมเดลธุรกิจที่เราเรียกว่า “Retention Business Model”
โดยให้ความสำคัญกับการสร้างคุณค่าของแบรนด์ Brand Value Management คือการสร้างความผูกพันกับลูกค้าในระยะยาว CustomerRetention Business
ส่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าด้วยบริการหลังการขายที่ดีที่สุด และสร้างความผูกพันระหว่างลูกค้ากับแบรนด์มาสด้า All for Customers เ
พื่อปรับแผนให้ธุรกิจเกิดการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและเกิดความยั่งยืนในระยะยาว
 
ซึ่งถือเป็นนโยบายหลักสำคัญที่มาสด้าจะยึดถือเป็นแนวทางปฏิบัติ เพื่อกำหนดเป็นกลยุทธ์ต่อจากนี้เป็นต้นไปและจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง แม้ว่า
กาลเวลาจะเปลี่ยนไปผู้บริหารจะหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกันมาแต่นโยบายนี้จะยังคงอยู่ และไม่มีวัน “เปลี่ยนแปลงสำหรับมาสด้า แม้ว่าในปีที่ผ่านมา
จะตกอยู่ท่ามกลางสงครามการแข่งขันที่ดุเดือด และประสบกับปัญหาการขาดแคลนชิ้นส่วนในการผลิตมาตั้งแต่ต้นปี แต่ยังสามารถประคับประคอง
ยอดขายได้ใกล้เคียงกับเป้าหมายที่วางไว้ โดยเฉพาะรถยนต์นั่งมาสด้า2 ที่ยังคงได้รับความนิยมจากลูกค้าด้วยการสร้างสถิติยอดขาย อันดับ 3 ของ
ตลาดบีคาร์รวมอีโคคาร์ด้วยยอดขายสูงถึง 16,249 คัน และผลักดันให้มาสด้าสามารถครองตำแหน่งยอดขายอันดับ 3 ในตลาดรถยนต์นั่งได้อย่าง
ยาวนานเกินครึ่งทศวรรษ ด้วยจำนวน 17,810 คัน นอกจากนี้เมื่อเปรียบเทียบยอดขายทั้งปีของตลาดรถอเนกประสงค์เอสยูวีแล้ว มาสด้า CX-Series
ยังสามารถสร้างยอดขายได้เป็นกอบเป็นกำที่จำนวน 12,322 คัน อยู่อันดับที่สี่ของเซ็กเมนต์นี้ ส่งผลทำให้ปี 2565 ที่ผ่านมา มาสด้ามียอดขายรวมอยู่
ที่ 31,638 คัน ยังคงครองความนิยมด้วยการเป็นแบรนด์ยอดขายอันดับ 6 ของอุตสาหกรรมรถยนต์ไทย
“ปัจจุบัน มาสด้ามีรถที่วางจำหน่ายในประเทศไทยรวมทั้งหมด 8 รุ่น โดยรุ่นที่ได้รับความนิยมสูงสุดในกลุ่มรถยนต์นั่งยังคงเป็นมาสด้า2 ในขณะที่
มาสด้า CX-30 คือรุ่นที่มาแรงที่สุดในกลุ่มรถครอสโอเวอร์เอสยูวี และเมื่อพิจารณายอดขายของปี 2565 เป็นรายรุ่นแล้วสามารถแบ่งออกเป็นรถยนต์
นั่งมาสด้า2 จำนวน 16,249 คัน มาสด้า3 จำนวน 1,553 คัน สปอร์ตเปิดประทุนมาสด้า MX-5 จำนวน 8 คัน ในขณะที่รถครอสโอเวอร์เอสยูวีมาสด้า
CX-30 มียอดขายทั้งหมด 6,092 คัน ตามมาด้วยมาสด้า CX-3 จำนวน 4,249 คัน มาสด้า CX-8 จำนวน 1,157 คัน และมาสด้า CX-5 จำนวน 824 คัน
นอกจากนี้ รถปิกอัพ บีที-50 มียอดขายอีกจำนวน 1,506 คัน โดยตัวเลขเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จอีกขั้นของมาสด้า ซึ่งเราขอขอบคุณลูกค้า
ที่ไว้วางใจและเลือกรถยนต์มาสด้าให้เป็นยานพาหนะคู่ใจในทุกการเดินทาง” มร. ทาดาชิ มิอุระ กล่าวเพิ่มเติม
พร้อมกันนี้ มร. ทาดาชิ มิอุระ ยังได้แสดงวิสัยทัศน์เกี่ยวกับทิศทางและแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2566 ว่า“สำหรับในปีนี้คาดว่าเศรษฐกิจจะขยาย
ตัวอย่างต่อเนื่อง แต่จะไม่ได้หวือหวามากนักเนื่องจากยังมีปัจจัยบวกและปัจจัยลบรอบด้านที่ยังคงต้องจับตามองไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ในต่าง
ประเทศที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจโลก อาทิปัญหาเรื่องราคาและการขาดแคลนพลังงานในยุโรป ความยืดเยื้อของสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน
นโยบายทางเงินต่างๆ สถานการณ์เงินเฟ้อที่ทำให้ต้นทุนเพิ่มสูงขึ้น รวมถึงสถานการณ์โควิดในประเทศจีนและความเสี่ยงจากการเกิดภาวะเศรษฐกิจ
ถดถอยแต่ทั้งนี้แล้วในส่วนของประเทศไทย ก็ยังพอมีปัจจัยบวกสนับสนุน โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคของเอกชนที่ยังคงเป็นแรง
หนุนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ซึ่งจากช่วงกลางปีที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่า ภาคการท่องเที่ยวเริ่มฟื้นตัวอย่างชัดเจนจากจำนวนนักท่องเที่ยว
ต่างชาติที่เพิ่มขึ้น และคาดว่าในปีนี้จะได้รับแรงสนับสนุนมากยิ่งขึ้นจากนักท่องเที่ยวชาวจีนเนื่องจากจีนเริ่มผ่อนคลายมาตรการเรื่องโควิด ซึ่งเชื่อ
ว่าปัจจัยเหล่านี้จะสามารถช่วยบรรเทาผลกระทบจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลก และการชะลอตัวของเศรษฐกิจในประเทศไทยลงได้”
มร. ทาดาชิ มิอุระ ยังแสดงวิสัยทัศน์เพิ่มเติมเกี่ยวกับทิศทางอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในปี 2566 ว่า “ในปีนี้คาดว่าตลาดรถยนต์จะมีปริมาณ
การขายใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าจะมีหลายปัจจัยเข้ามาสนับสนุนและกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศมากกว่าปีที่ผ่านมา อาทิธุรกิจการท่องเที่ยว
เริ่มเปิดรับชาวต่างชาติมากยิ่งขึ้นภาคการเกษตรเติบโตอย่างต่อเนื่องการบริโภคของประชาชนเริ่มกลับมา รวมถึงปัญหาการขาดแคลนชิ้นส่วน เพื่อ
การผลิตเริ่มคลี่คลายลง แต่ทั้งนี้แล้วก็ยังคงต้องจับตามองเรื่องประเด็นความขัดแย้งทางเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐฯ และจีนความขัดแย้งในยุโรป
ปัญหาด้านพลังงาน ราคาวัตถุดิบที่เพิ่มสูงขึ้น ระบบขนส่งหรือโลจิสติกส์ล้วนส่งผลกระทบต่อการนำเข้าและส่งออกของไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
รวมถึงประเด็นเรื่องค่าครองชีพที่สูงขึ้นจึงอาจทำให้กำลังซื้อชะลอตัว และเชื่อว่าในปี 2566 ตลาดจะมีการแข่งขันกันรุนแรงมากยิ่งขึ้น เนื่องจาก
มีแบรนด์ใหม่ๆ เข้ามาทำตลาด แต่ทั้งนี้โดยรวมแล้วคาดว่าตลาดรถยนต์จะใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา หรืออยู่ที่ประมาณ 850,000 – 870,000 คัน
แต่สำหรับมาสด้าเรายังคงมั่นใจอย่างยิ่งว่าปีนี้จะเติบโตเพิ่มขึ้นประมาณ 10% หรือมีตัวเลขยอดขายรวมอยู่ที่ประมาณ 35,000 คัน”
นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ รองประธานบริหารอาวุโส บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า สำหรับแผนการตลาดในปี 2566
มาสด้ายังคงมุ่งมั่นเดินหน้าตามแผนงานระยะกลาง (Mid-Term Plan) ผ่าน Retention Business Modelที่ให้ความสำคัญกับการสร้าง
มูลค่าแบรนด์ (Brand Value Management) ด้วยการยกระดับประสบการณ์ลูกค้าในทุก Touchpoints เพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับ
ลูกค้าตลอดระยะเวลาที่ครอบครองรถยนต์มาสด้า และสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับแบรนด์มาสด้าในประเทศไทยโดยกลยุทธ์ด้านต่างๆ สามารถแบ่งออกได้ดังนี้
: กลยุทธ์ด้านการตลาด
เสริมสร้างความแข็งแกร่งของแบรนด์มาสด้าด้วยการนำเครื่องมือทางการตลาดที่มีประสิทธิภาพโดยเฉพาะดิจิทัลแพลตฟอร์มมาใช้สื่อ
สารกับลูกค้าและแฟนมาสด้า แบบ One-to-One Communication รวมถึงการนำฐานข้อมูลมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ผ่านระบบ
Global One Customer Data Management System ควบคู่ไปกับการสร้างประสบการณ์และความพึงพอใจของลูกค้าในทุก Touchpoints
: กลยุทธ์ด้านการขาย
วางโยบายด้านการขายที่เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศเพื่อหลีกเลี่ยงการแข่งขันทางด้านราคา และสร้างความพอใจสูงสุดให้กับลูกค้า
ควบคู่กับเพิ่มจำนวนลูกค้าที่ชื่นชอบในแบรนด์และผลักดันให้เกิดการซื้อซ้ำมากยิ่งขึ้นด้วยธุรกิจมือสองคุณภาพเหนือระดับ หรือ Mazda CPO
เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้าที่มองหารถยนต์มือสองคุณภาพดีที่ผ่านการรับคุณภาพโดยมาสด้าตลอดจนถึงสร้างความยั่งยืนให้กับแบรนด์มาสด้าในประเทศไทย
: กลยุทธ์ด้านผลิตภัณฑ์
นำปรัชญาของการพัฒนาโดยเน้นมนุษย์เป็นศูนย์กลาง (Human-Centricity Philosophy) มาใช้พัฒนาปรับปรุงผลิตภัณฑ์ที่เป็นเอกลักษณ์
ของมาสด้าให้ดียิ่งขึ้นเพื่อส่งมอบประสบการณ์ความสุขและความสนุกสนานในการขับขี่ให้กับลูกค้าผ่านการเป็นเจ้าของรถยนต์ ควบคู่กับมุ่งมั่น
พัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวันและพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปโดยวางแผนปรับโฉมผลิตภัณฑ์และเปิดตัว
สู่ตลาดในทุกไตรมาสของปี 2566 แต่ในขณะเดียวกันก็ได้เตรียมความพร้อมเพื่อเดินหน้าตามพันธกิจสู่ความยั่งยืนภายในปี 2573 หรือ
Sustainable Zoom-Zoom 2030 ด้วยการวางรากฐานสู่การนำเสนอรูปแบบพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมภายใต้สถานการณ์และกรอบเวลา
ที่เหมาะสม เพื่อบรรลุเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้เป็นศูนย์ ภายในปี 2593
: กลยุทธ์ด้านการบริการหลังการขายและนโยบายเกี่ยวกับผู้จำหน่าย
ร่วมมือกับผู้จำหน่ายทั่วประเทศในการยกระดับประสบการณ์ลูกค้าทั้งด้านการขายและการบริการหลังการขายผ่านทุกวิถีทางAll for Customers
เพื่อส่งมอบความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้าและมุ่งดูแลลูกค้าในระยะยาวด้วยโปรแกรมบริการหลังการขายที่ช่วยลดภาระค่าใช้จ่าย ควบคู่กับการ
เดินหน้าสร้างความสัมพันธ์และทำงานร่วมกันกับผู้จำหน่าย ตามแนวทาง One Mazda เพื่อมุ่งสู่ความยั่งยืนร่วมกัน
“ทั้งหมดนี้คือผลการดำเนินงานของมาสด้าในปี 2565 ที่ผ่านมา และแนวทางการดำเนินธุรกิจในปี 2566เรามุ่งมั่นที่จะมอบช่วงเวลาแห่งความสุข
ในชีวิตให้กับลูกค้า พันธมิตร และผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อสร้างแบรนด์มาสด้าให้เติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยเทคโนโลยียานยนต์ที่มอบความสะดวกสบายและเป็น
มิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตามวิสัยทัศน์ Sustainable Zoom-Zoom 2030 เพื่อโลก เพื่อสังคมและเพื่อผู้คน ที่ยั่งยืนตลอดไป ” นายธีร์ กล่าวเพิ่มเติม
สรุปยอดจำหน่ายรถยนต์มาสด้า ประจำปี 2565 เปรียบเทียบกับปี 2564
ข้อมูลการขายรถ
มกราคม – ธันวาคม มกราคม-ธันวาคม 2565 2564
Mazda2 16,249 17,814 - 8.78
Mazda3 1,553 1,982 - 21.64
Mazda CX-3 4,249 4,743 - 10.41
Mazda CX-30 6,092 7,497 - 18.74
Mazda CX-5 824 930 - 11.39
Mazda CX-8 1,157 1,051 + 10.08
Mazda BT-50 1,506 1,363 + 10.49
Mazda MX-5 8 4 + 100.00
ยอดรวม 31,638 35,384 - 10.59
โฆษณา