19 ม.ค. 2023 เวลา 06:48 • กีฬา

มิไคโล่ มูดริค : เจาะเหตุผลว่าทำไมปีกยูเครนถึงมีค่าตัว 100 ล้านยูโร | Main Stand

มิไคโล่ มูดริค คือดาวเด่นรายล่าสุดที่ทำให้ตลาดซื้อขายผู้เล่นเดือนมกราคม 2023 ต้องฮือฮา เมื่อการย้ายทีมจาก ชัคตาร์ โดเนตสก์ มายังเชลซี โดยมีมูลค่ารวมสูงถึง 100 ล้านยูโร
คำถามที่ตามมาของใครหลายคนคงหนีไม่พ้นเรื่อง "เงิน" จำนวนมหาศาลที่ทีมสิงห์บลูส์ยอมทุ่มเพื่อคว้าสตาร์อนาคตไกลชาวยูเครนมาเติมเกมรุก กับความคุ้มค่าเมื่อเทียบกับฝีเท้าของแข้งวัย 22 ปีรายนี้ และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้อะไรจากดีลนี้ รวมถึงมีเอฟเฟ็กต์ใดเกิดขึ้นได้บ้าง
Main Stand ขอชวนผู้อ่านทุกท่านมาติดตามรายละเอียดสำคัญของดีล มิไคโล่ มูดริค จากลีกยูเครน สู่สมาชิกใหม่แห่งถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์
ดาวดวงใหม่แห่งยูเครน
ชัคตาร์ โดเนตสก์ คือสโมสรยักษ์ใหญ่สโมสรหนึ่งของประเทศยูเครน พวกเขามีดีกรีเป็นแชมป์ลีกสูงสุดของประเทศรวมกันถึง 13 สมัย เป็นแชมป์ฟุตบอลถ้วยถึง 13 สมัย แถมในช่วงหนึ่งถึงสองปีให้หลังพวกเขาได้ปลุกปั้นและให้โอกาสดาวรุ่งรายหนึ่งขึ้นมาเฉิดฉาย นั่นคือ มิไคโล่ มูดริค
ว่ากันว่าตั้งแต่ที่วงการลูกหนังยูเครนมีชื่อของ อังเดรย์ เชฟเชนโก้ คอยชูโรงในหลายทศวรรษที่ผ่านมา ชื่อซูเปอร์สตาร์คนล่าสุดที่คาดกันว่าจะขึ้นมายิ่งใหญ่ต่อจาก "เชว่า" ก็คือ "มูดริค"
หลังแมวมองของชัคตาร์เห็นแววของดาวรุ่งที่ชื่อมูดริคเฉิดฉายตั้งแต่สมัยที่อยู่ทีมเยาวชนของ ดนิโปร ดนิโปรเปตรอฟ นำมาซึ่งการย้ายมาเป็นแข้งในคาถาของ ชัคตาร์ โดเนตสก์ อย่างเป็นทางการ ในปี 2016 ด้วยวัยขณะนั้น 15 ปี
แม้จะมีช่วงเวลาที่ได้ลงสนามให้ ชัคตาร์ โดเนตสก์ ไปบ้างแล้ว อย่างการลงเดบิวต์ให้ทีมตั้งแต่อายุ 17 ปี เมื่อปี 2018 ตลอดจนการได้โอกาสลงสนามประปราย คว้าแชมป์ร่วมกับทีมได้ 1 สมัยในฤดูกาล 2019/20 และเริ่มมีชื่อติดทีมชาติชุดเยาวชนไปแล้วในหลาย ๆ รุ่นอายุ
นอกเหนือจากโอกาสตรงนี้ มูดริคเคยถูกปล่อยให้สโมสรอื่น ๆ ยืมไปใช้งานเพื่อบ่มเพาะกระดูกและฝีเท้าไปด้วย กับสโมสรอย่าง อาร์เซนอล เคียฟ รวมถึง เดสน่า เชอร์นิกิฟ โดยเป็นการปล่อยแบบให้เขาได้ลิ้มบรรยากาศการเล่นร่วมกับบรรดาสโมสรที่โลดแล่นในลีกสูงสุดของประเทศทั้งหมด
กระทั่งได้ก้าวมาสู่สโมสรแม่อย่างเต็มตัวในฤดูกาล 2020-21 ภายใต้การคุมทีมของกุนซือในเวลานั้นอย่าง โรแบร์โต้ เด แชร์บี ที่ปัจจุบันเป็นหัวเรือใหญ่ของ ไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบียน
เด แชร์บี เป็นคนที่มอบโอกาสและปลุกปั้นมูดริคจนก้าวขึ้นมาเป็นดาวโรจน์อนาคตไกลของวงการลูกหนังยูเครนอย่างแท้จริง กุนซืออิตาเลียนเคยให้สัมภาษณ์สมัยเข้ามาคุมชัคตาร์ โดเนตสก์ ใหม่ ๆ พร้อมยกย่องว่ามูดริคเป็นหนึ่งในผู้เล่นดาวรุ่งที่ดีที่สุด
"ผมไม่ได้แค่ต้องการจะพาทีมเป็นแชมป์ UPL (แชมป์ลีก) และยูเครนคัพ รวมถึงพาทีมทำผลงานดีในแชมเปี้ยนส์ลีกเท่านั้น แต่ผมยังคำนึงถึงเหล่าแข้งเยาวชนด้วย มิไคโล่ มูดริค เป็นหนึ่งในดาวรุ่งที่เก่งที่สุด ถ้าผมพาเขาไปถึงระดับท็อปไม่ได้ผมถือว่ามันเป็นความพ่ายแพ้ที่เกิดขึ้นกับตัวผม" เด แชร์บี กล่าวไว้เมื่อปี 2021
ช่วงระหว่างที่มูดริคยังมีข่าวลือหนักกับทั้ง เชลซี และ อาร์เซนอล ตอนต้นปี 2023 เด แชร์บี เคยให้สัมภาษณ์ย้ำถึงความเก่งกาจของปีกซ้ายรายนี้ ถึงขั้นที่ว่ามีดีพอที่จะคว้ารางวัลบัลลงดอร์ได้ในอนาคต
"มูดริคเป็นนักเตะที่ยอดเยี่ยมมาก ๆ คนหนึ่ง ผมคิดว่าในอนาคตเขาสามารถคว้าบัลลงดอร์ได้เลย"
ดูเหมือนว่า มิไคโล่ มูดริค จะค่อย ๆ ยกระดับผลงานของตัวเองขึ้นมาเป็นแข้งระดับแถวหน้าของลีกไปแล้ว เขาเป็นตัวประจำการในพื้นที่เกมบุกฝั่งซ้ายให้ทีม เขามีทั้งความเร็ว สปีดต้น และจังหวะสปรินต์ที่ไม่มีหมด มีวิสัยทัศน์เรื่องการทำแอสซิสต์ ตลอดจนอาวุธเด็ดเรื่องการตัดเข้าในจากพื้นที่ฝั่งซ้ายเพื่อโอกาสจบสกอร์
และยังไม่นับทัศนคติส่วนตัวที่เติบโตขึ้นจากสมัยเป็นดาวรุ่ง มีความมุ่งมั่นที่เปี่ยมล้น ซ้อมหนัก และพร้อมพาตัวเองไปสู่อนาคต เหล่านี้คือจุดเด่นที่เขามักจะทำให้เห็น ถึงขั้นที่ว่าเคยได้รับฉายาว่าเป็น "เนย์มาร์แห่งยูเครน" มาแล้ว
กับช่วงเวลารวม ๆ แค่ 1 ฤดูกาลครึ่งร่วมกับทีมชัคตาร์ชุดใหญ่แบบเต็มตัว เด็กหนุ่มผู้ที่เกิดในเมืองคราสโนกราดผู้นี้ ตอบแทนโอกาสล้ำค่าได้แบบไม่มีเคอะเขิน แม้จะมีช่วงที่ฟุตบอลลีกต้องหยุดแข่งชั่วขณะจากเหตุการณ์ที่รัสเซียเข้ามารุกรานดินแดนยูเครน ทว่าเมื่อฟุตบอลลีกกลับมาแข่งขันได้ มูดริคก็ยังเจิดจรัสเรื่อยม
37 นัดรวมทุกรายการ พร้อมสถิติ 12 ประตูกับ 17 แอสซิสต์ นี่คือผลงานที่ มิไคโล่ มูดริค จารึกไว้ในช่วงระหว่างฤดูกาล 2021-22 ไปจนถึงกลางฤดูกาล 2022-23 พร้อมโทรฟี่ซูเปอร์ คัพ ของยูเครน 1 สมัย
รวมไปถึงการจารึกผลงานนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของสโมสรได้ทั้งสองปีคือปี 2021 และ 2022 เป็นรางวัลให้ตัวเอง มากกว่านั้นในปี 2022 ที่ผ่านมา มิไคโล่ มูดริค ยังเป็นเจ้าของรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของยูเครนด้วย
และเพราะ ชัคตาร์ โดเนตสก์ เป็นหนึ่งในทีมขาประจำของการแข่งขันสโมสรระดับทวีปยุโรป นั่นรวมถึงการได้โชว์ฝีเท้าให้ทุกคนได้เห็นในเวทียูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ตลอดจนลงวาดลวดลายบู๊กับสโมสรน้อยใหญ่ที่ได้ปะทะแข้ง ทั้งหมดนี้ล้วนแต่เติมเต็มให้มูลค่าของเขามีมากขึ้นไปอีก
มูดริคลงเล่นในแชมเปี้ยนส์ลีกอย่างเป็นทางการในฤดูกาล 2021-22 ทว่าซีซั่นที่เขาทำให้เห็นว่าตัวเองเป็นแข้งตัวชูโรงของทีมคือผลงานในซีซั่นปัจจุบัน โดยแบ่งเป็นผลงาน 3 ประตูกับอีก 2 แอสซิสต์ จากการลงสนามในรอบแบ่งกลุ่ม 6 นัด เป็นเจ้าของสถิติเด่น ๆ ในทีมมากมาย อาทิ ยิงประตูมากสุด (3 ลูก) แอสซิสต์มากสุด (2 ลูก) เลี้ยงผ่านคู่แข่งสำเร็จ (10 ครั้ง) และสัมผัสบอลในกรอบเขตโทษคู่แข่ง (18 ครั้ง) เป็นต้น
ท้ายที่สุด มันถึงเวลาแล้วที่โอกาสครั้งสำคัญในการลงเล่นให้สโมสรในลีกชั้นนำจะเข้ามาหาเขาในวัย 22 ปี และเป็นเชลซีที่คว้าชัยในดีลนี้
ข้อเสนอที่ดีกว่า
อย่างที่ทุกคนทราบกันดี สองสโมสรที่เบียดลุ้นแย่งเซ็น มิไคโล่ มูดริค มาร่วมทัพคือ อาร์เซนอล และ เชลซี
อันที่จริงมีทีมอื่น ๆ สนใจ มิไคโล่ มูดริค ไปเสริมทัพเช่นกัน และความจริงจังนั้นมีขึ้นตั้งแต่ซัมเมอร์ 2022 อย่างไรก็ตาม ทีมอย่าง เบรนท์ฟอร์ด รวมถึง ไบเออร์ เลเวอร์คูเซน ยื่นเม็ดเงินที่ต่ำกว่าที่ชัคตาร์ประเมินเอาไว้ ทำให้การย้ายทีมไม่เกิดขึ้น
เวลาล่วงเลยมา กลับกลายเป็นว่าสองทีมจากกรุงลอนดอนมีความตั้งใจจริงด้วยกันทั้งคู่ จากการเปิดเผยของ เซอร์เก พัลคิน ซีอีโอของชัคตาร์ โดเนตสก์ ระบุว่า ที่จริงแล้วชัคตาร์ได้มีการเจรจากับ "เดอะ กันเนอร์ส" มากกว่า "เดอะ บลูส์"
"เพราะผมสื่อสารกับอาร์เซนอลแบบเดียวกับที่คุยกับเชลซีนี่ล่ะ ผมสามารถบอกคุณได้เลย ผมคุยกับอาร์เซนอลมากกว่าเชลซี ดังนั้นก่อนการพบกัน (กับเชลซี) ครั้งล่าสุดนี้ อาร์เซนอลอยู่ในตำแหน่งที่ใกล้เคียงกับข้อตกลงนี้มากกว่าเชลซีเล็กน้อย" พัลคิน ให้สัมภาษณ์กับ The Athletic
เซอร์เก พัลคิน ชี้จุดน่าสนใจเพิ่มเติมด้วยว่าอาร์เซนอลมีการเจรจากับตัวนักเตะก่อน จากนั้นถึงเริ่มเปิดฉากคุยกับสโมสร โดยแกนหลักที่ช่วยเจรจาประกอบไปด้วย มิเกล อาร์เตต้า กุนซือ, เอดู กาสปาร์ ผู้อำนวยการเทคนิคสโมสร รวมถึง โอเล็กซอนเดร์ ซินเชนโก้ แบ็กซ้ายทีมชาติยูเครน
ทั้งยังมีภาพเหตุการณ์ปรากฏบนหน้าสื่ออย่างล้นหลามในเกมที่ เดอะ กันเนอร์ส ดวลกับ ไบรท์ตัน ซึ่งมูดริคได้โพสต์ภาพเกมคู่นี้พร้อมแคปชั่นชื่นชมสองกุนซือในเกมวันนั้นอย่าง เด แชร์บี อดีตเจ้านายเก่า รวมถึง อาร์เตต้า เฮดโค้ชของอาร์เซนอล ว่าเป็น "2 สุดยอดโค้ช"
เลยกลายเป็นว่ากระแสย้ายทีมของสตาร์ยูเครนตกไปอยู่กับทีมจากลอนดอนเหนือมากกว่าทีมจากลอนดอนตะวันตก ซึ่งได้มีการติดต่อเข้ามาเช่นกัน
"จากมุมมองของผมนะ นี่คือเหตุผลที่ทุกคนพูดถึงอาร์เซนอล เป็นเพราะอาร์เซนอลติดต่อผู้เล่นเกือบเดือนครึ่งก่อนที่พวกเขาจะติดต่อเรา (สโมสร) ดังนั้นเหตุผลที่คนทั่วไปรู้สึกว่ามูดริคกำลังจะไปอาร์เซนอลมากกว่าก็เพราะอาร์เซนอลติดต่อหาเขา แล้วมูดริคก็ดูเกมของอาร์เซนอล" หัวเรือใหญ่แห่งชัคตาร์ ว่าต่อ
"ถ้าคุณพูดถึงเชลซี พวกเขาโทรหาผมเมื่อปลายเดือนธันวาคมและถามว่าติดต่อมูดริคได้ไหม เพราะพวกเขาสนใจในนักเตะและต้องการคุยกับเขา ผมก็บอกว่า 'ไม่มีปัญหา คุณไปคุยเขาได้เลย' ครั้งแรกที่ (เชลซี) ติดต่อเขาคือประมาณปลายเดือนธันวาคมถึงต้นเดือนมกราคม พวกเขาติดต่อตรงไปที่นักเตะและเอเยนต์ของนักเตะ"
1
แต่ฝั่งเชลซีก็ไม่ได้น้อยหน้ากับดีลที่สื่อยกให้เป็น "ปฏิบัติการไฮแจ็ค" พร้อมเดินหน้าลุยในแนวทางของตัวเองเพื่อแซงเข้าวิน
มีรายงานว่า เบห์แดด เอกห์บาลี หนึ่งในเจ้าของ (ร่วม) ทัพสิงห์บลูส์ เดินทางไปเจรจาด้วยตัวเอง ขณะที่ ไคล์ มาเคาเลย์ หนึ่งในทีมงานของ แกรห์ม พอตเตอร์ ซึ่งทำหน้าที่รับผิดชอบด้านฝ่ายสรรหา (Recruitment) เป็นเป็นคนช่วยชี้แนะเฮดโค้ชชาวอังกฤษว่ามูดริคเหมาะสมที่จะเข้ามาเติมเต็มขุมกำลังของสโมสร ขณะเดียวกันพอตเตอร์ก็ได้พูดคุยกับตัวของมูดริคเองด้วย
สื่อหลายสำนักรายงานตรงกันว่าเชลซีไม่ได้จ่ายแพงกว่าอาร์เซนอลแต่อย่างใด ทว่าสิ่งที่แตกต่างออกไปคือรายละเอียดยิบย่อยของข้อตกลง รวมถึงส่วนเสริมของข้อเสนอ (Add-on) ซึ่งทีมสิงห์บลูส์มีแนวโน้มที่ดีกว่า และ เซอร์เก พัลคิน บอกว่า "ดูทำได้และเป็นจริง (achievable and realistic)" มากกว่า
"เราเกือบตกลงกับอาร์เซนอลได้แล้ว เมื่อพวกเขาเสนอข้อเสนอสุดท้ายที่ 70 ล้านยูโรบวกอีก 30 ล้านยูโร เราเริ่มคุยกันเป็นการภายในเรื่องการตอบตกลงการซื้อขาย มันคงที่และมีปัญหาแค่เรื่องของโบนัส เราตระหนักดีว่าเราจะไม่ปิดดีลนี้ (กับอาร์เซนอล) ผมพูดกับเอดูว่าผมพยายามอย่างเต็มที่แล้ว แต่มันเป็นไปไม่ได้" CEO ชัคตาร์ เผย
1
ท้ายที่สุดการบรรลุข้อตกลงก็เป็นอันสิ้นสุด มิไคโล่ มูดริค โยกมาสวมยูนิฟอร์มเชลซี ด้วยค่าตัว 100 ล้านยูโร แบ่งเป็นค่าตัวที่เป็นเงินต้น 70 ล้านยูโร และโบนัสอีก 30 ล้านยูโร พร้อมสัญญาระยะยาว 8 ปีครึ่ง
"เพื่อให้คุณเข้าใจบริบท มันเป็นเวลา 9 หรือ 10 ชั่วโมง พวกเขาเชิญนักเตะและอธิบายโครงการทั้งหมดให้เราฟัง เราตระหนักดีว่า ใช่เลย ถ้าคุณดูตอนนี้เชลซีมีปัญหาบางอย่าง แต่เป็นเรื่องปกติเพราะพวกเขามีการเปลี่ยนแปลงจากเจ้าของคนหนึ่งไปยังอีกคน เป็นที่เข้าใจได้นะ พวกเขาต้องการตชความเปลี่ยนแปลงมาก" ข้อความบางส่วนที่ เซอร์เก พัลคิน เผยถึงช่วงที่เปิดโต๊ะเจรจากับเชลซี
แม้จะปล่อยซูเปอร์สตาร์เบอร์ต้นของทีมออกไป แต่ ชัคตาร์ โดเนตสก์ ได้รับประโยชน์ในการปล่อยตัวครั้งนี้อยู่ดี กับทั้งการนำรายได้มาสนับสนุนเรื่องนอกสนาม รวมถึงมูลค่าที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
อย่างการแบ่งปันเม็ดเงินส่วนหนึ่งไปสนับสนุนโครงการ "Heart of Azovstal" หรือโครงการที่สโมสรตั้งขึ้นเพื่อนำเงินบริจาคและสิ่งของเครื่องใช้ไปช่วยเหลือเหล่ากองกำลังทหารของยูเครนที่ต่อสู้ปกป้องประเทศชาติจากการรุกรานของรัสเซีย ตลอดจนการรักษาพยาบาลและเยียวยาจิตใจประชาชนผู้ได้รับผลกระทบ
และยังไม่นับเรื่องเกมอุ่นเครื่องนัดพิเศษระหว่างสองทีม โดยสิงโตน้ำเงินครามจะยกพลไปเยือนยูเครนในอนาคต ทันทีที่วิกฤตการณ์ยุติลง
3
ส่วนเสริมที่เหลือขึ้นอยู่กับการประสบความสำเร็จของเขา อย่างเช่นข้อตกลงยิบย่อยเรื่องการคว้าแชมป์รายการใดรายการหนึ่งระดับพรีเมียร์ลีกหรือแชมเปี้ยนส์ลีก ซึ่งเป็นเรื่องของโบนัสที่ทั้งตัวนักเตะและสโมสรเก่าของเขาจะได้รับ เป็นต้น
ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับผลงานในสนามของดาวเตะหมายเลข 15 คนใหม่ของสิงห์บลูส์ด้วยว่าจะทำได้ดีแค่ไหน แต่ต้องอย่าลืมว่า ช่วงเวลา 8 ปีครึ่งภายใต้ถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ มันเป็นช่วงเวลาที่นาน และทุกอย่างเป็นไปได้ทั้งหมด
"พวกเขายื่นข้อเสนอที่มันดูเป็นไปได้สำหรับพวกเรา ถึงแม้อาจจะไม่ใช่ในปีนี้ แต่ในอีก 2-3 หรือ 4 ปีข้างหน้ามันก็ยังดูเป็นไปได้มากกว่า" เซอร์เก พัลคิน เสริม
มิไคโล่ มูดริค ยังมีเวลาปรับตัวและมีเวลางัดศักยภาพที่มีในตัวออกมาให้ทุกคนเห็นว่าเขาเจ๋งจริงเหมือนกับที่เคยถูกยกไปเปรียบเทียบกับสตาร์ดังรุ่นเดียวกันอย่าง คีลิยัน เอ็มบัปเป้ ของปารีส แซงต์-แชร์กแมง หรือแม้แต่ วินิซิอุส จูเนียร์ ดาวเด่น เรอัล มาดริด มาแล้ว
มูดริคเอฟเฟ็กต์
หลายคนตั้งข้อสงสัยว่าการย้ายมาร่วมทีมเชลซีด้วยค่าตัวมหาศาลของ มิไคโล่ มูดริค มีแววเกิดผลกระทบอะไรตามมาบ้าง จะมีปัญหาเรื่องค่าเหนื่อยสูงเกินเพดานหรือไม่ และเขาจะมีโอกาสลงเล่นมากน้อยแค่ไหน เพราะขนาดทีมเชลซีตอนนี้ก็ดูอัดแน่นไปด้วยขุมกำลังชื่อดัง
หากสังเกตตลาดซื้อขายนักเตะของทีมสิงโตน้ำเงินครามในฤดูกาล 2022-23 นี้จะเห็นว่าสโมสรล้วนแต่เซ็นสัญญาผู้เล่นที่กินระยะเวลานานเกิน 5 ปี และการดึง มิไคโล่ มูดริค มาร่วมทีมเป็นรายล่าสุดด้วยสัญญา 8 ปีครึ่งจนถึงเดือนมิถุนายน 2031 ก็เป็นหนึ่งในนั้น
สาเหตุสำคัญของเรื่องนี้ นั่นเพราะสโมสรต้องคำนึงถึงการรักษาสมดุลเพื่อให้สอดรับกับระบบบัญชีและกฎการเงิน หรือ Financial Fair Play (FFP) ตามแต่ละกรอบเวลา เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาตามมาภายหลัง
ซึ่ง คีแรน แม็กไกวร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎการเงินฟุตบอลได้ลองคำนวณมูลค่าสัญญาของมูดริคออกมา จะพบว่าเชลซีไม่ได้จ่ายค่าเหนื่อยสูงมากขนาดนั้น
"สิ่งที่เชลซีตัดสินใจทำคือการกระจายต้นทุนสำหรับนักเตะด้วยการเซ็นสัญญาระยะยาวมาก ๆ เช่นเซ็นสัญญากับมูดริคเป็นเวลา 8 ปีครึ่ง นี่คือการจัดการกับระบบบัญชีและกฎการเงิน ถ้าคุณมีทุน 88 ล้านปอนด์ (100 ล้านยูโร) และแบ่งออกไปเป็นระยะเวลา 8 ปีครึ่ง เมื่อทำเช่นนี้ก็จะตกเพียงประมาณ 10 ล้านปอนด์ต่อปีเท่านั้น" คีแรน แม็กไกวร์ กล่าวกับ Sky Sports
การเข้ามาของ มิไคโล่ มูดริค ในเวลานี้ ดูเป็นเวลาพอเหมาะพอเจาะกับที่ตัวริมเส้นจากยูเครนรายนี้จะได้พิสูจน์ผลงานให้กับทีมทันที เนื่องมาจากผู้เล่นตำแหน่งริมเส้นฝั่งซ้ายที่พาเหรดเจ็บกันต่อเนื่อง
และมีโอกาสสูงที่เขาจะถูกใส่ชื่อลงเล่นในแชมเปี้ยนส์ลีก รอบน็อกเอาต์ แทนที่นักเตะหลาย ๆ คนที่ยังไม่พร้อมด้วย เพราะตามกฎของยูฟ่า แต่ละทีมสามารถจัดขุมกำลังใหม่ได้หลังจบรอบแบ่งกลุ่ม โดยยังกำหนดให้แต่ละทีมส่งรายชื่อได้ 25 คน (ลิสต์ A - ไม่รวมโควตาโฮมโกรน)
คริสเตียน พูลิซิช บาดเจ็บพักราว ๆ 2-3 เดือน ส่วน ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ก็ยังไม่สมบูรณ์และยังไม่รู้กำหนดวันกลับมา แถมในเกมเชือด คริสตัล พาเลซ 1-0 วันเปิดตัวมูดริคในช่วงพักครึ่งเวลา เชลซีจำเป็นต้องส่ง คาร์นี่ย์ ชุคเวเมก้า กองกลางวัย 19 ปีลงเล่นเป็นปีกซ้าย
ลำพังจะให้ดาวโรจน์ชาวอังกฤษลงบู๊ริมเส้นตลอดต่อจากนี้ก็คงจะไม่สมเหตุสมผล นั่นจึงเป็นโอกาสที่ดีที่ มิไคโล่ มูดริค จะได้แสดงฝีเท้าให้ทุกคนได้เห็น
ความท้าทายของเจ้าของใหม่ การพิสูจน์ตัวเองของผู้จัดการทีม กับเม็ดเงินมหาศาลที่เชลซีลงทุนเพื่อกลับมาเค้นฟอร์มเก่งให้ได้อีกครั้ง และยังไม่นับเรื่องความคุ้มค่าที่ชัคตาร์ได้รับที่ไม่ได้มีแค่เรื่องฟุตบอลมาเกี่ยวข้องเท่านั้น
นี่คือเหตุผลว่าทำไม มิไคโล่ มูดริค ถึงมีค่าตัวแตะหลัก 100 ล้านยูโร
แหล่งอ้างอิง
โฆษณา