7 ก.พ. 2023 เวลา 12:00 • ธุรกิจ

ปี 68 PHEV BEV อาจมียอดสะสม 3 แสนคัน แต่การลงทุนจุดชาร์จสาธารณะยังมีความเสี่ยง

ปี 2568 จำนวนรถยนต์ PHEV และ BEV สะสมในไทยอาจพุ่งไปสูงถึง 300,000 คัน ทำให้ความต้องการชาร์จไฟฟ้าเร่งตัวขึ้น การพัฒนาจุดชาร์จไฟฟ้าจึงกลายเป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วน
โดยหากเทียบกับตัวอย่างในต่างประเทศ จำนวนช่องชาร์จไฟฟ้าสาธารณะที่เหมาะสมทั่วประเทศอาจต้องมีสะสมไม่น้อยกว่า
  • 19,000 ช่องจอด อยู่ในกรุงเทพฯ
  • ปริมณฑล 14,000 ช่องจอด
แต่ความท้าทายคือ ข้อจำกัดของพื้นที่ลงทุนที่คุ้มค่า ทำให้ตัวเลขจริงอาจต่ำกว่านั้น
ไทยกำลังเปลี่ยนผ่านไปสู่สังคมรถยนต์พลังงานสะอาด โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า ในปี 2568 มีโอกาสที่รถยนต์ PHEV และ BEV สะสมในประเทศอาจพุ่งไปสูงถึง 300,000 คัน แสดงให้เห็นถึงความต้องการชาร์จไฟฟ้าในประเทศที่จะเร่งตัวขึ้นนับจากนี้
การพัฒนา Ecosystem อย่างจุดชาร์จไฟฟ้าในที่สาธารณะจึงเป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วน ซึ่งหากเทียบเคียงกับกรณีต่างประเทศ จำนวนจุดชาร์จไฟสาธ​ารณะทั่วประเทศอาจควรมีสะสมไม่น้อยกว่า 19,000 ช่องจอด แบ่งเป็นในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ไม่ต่ำกว่า 14,000 ช่องจอด เพื่อรองรับปริมาณรถยนต์เสียบปลั๊กไฟฟ้าสะสมที่เพิ่มขึ้นดังกล่าว
อย่างไรก็ดี แม้จะคาดว่าจำนวนจุดชาร์จไฟสาธารณะน่าจะมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นมากดังกล่าว แต่เมื่อผู้ซื้อรถยนต์ PHEV และ BEV ยุคบุกเบิกนี้ ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มติดตั้ง Wall Charger ส่วนตัวในที่พัก
ทำให้โอกาสที่จะใช้จุดชาร์จนอกบ้านยิ่งน้อยลง ศูนย์วิจัยกสิกรไทยจึงมองว่า จนถึงปี 2568 จำนวนช่องจอดชาร์จไฟสาธารณะสะสมอาจจะต่ำกว่าตัวเลขที่มองไว้ข้างต้นได้
ซึ่งผู้ประกอบการที่มีแผนจะลงทุนอาจต้องพิจารณาในการเลือกพื้นที่ติดตั้งที่คุ้มค่าให้ดี โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพฯ เพื่อลดความเสี่ยงต่างๆที่ต้องเจอ รวมถึงปัญหาการขาดสภาพคล่องทางการเงิน
โดยกลุ่มที่คาดว่าจะก้าวเข้ามาลงทุนได้ก่อนและมีโอกาสอยู่รอดจนผ่านช่วงยากลำบากนี้ไปได้ คือ กลุ่มที่อยู่ในธุรกิจที่เกี่ยวข้องโดยตรงและมีสายป่านทางการเงินยาว เช่น ธุรกิจพลังงาน ห้างสรรพสินค้า ธุรกิจค้าปลีกขนาดใหญ่ และโรงแรม เป็นต้น
ขอบคุณภาพจาก Shutterstock.com
#KBankLive #KResearch
โฆษณา