Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ฉันได้สิ่งนี้ จากหนังสือเล่มนั้น
•
ติดตาม
31 ม.ค. 2023 เวลา 00:02 • หนังสือ
อย่าถือโทษเด็กดื้อ เพราะนั่นคือธรรมชาติของพวกเขา
ทุกครั้งที่ย้อนมองตัวเองในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ผมจะรังเกียจตัวเองทุกครั้งที่เคยทำเรื่องแย่ ๆ เรื่องน่าละอายทั้งกับตัวเองและคนอื่น รวมถึงคำพูดที่ปล่อยออกไปอย่างยั้งคิด
เราเปลี่ยนไปเยอะมากในระยะเวลาเพียง 10 ปี โดยเฉพาะ 10 ปีที่คาบเกี่ยวระหว่างการเป็นเด็กกับการเป็นผู้ใหญ่ ก่อนหน้านี้ผมก็ไม่เข้าใจเหตุผลนักว่าเพราะอะไร จนมาเจอคำอธิบายที่น่าสนใจในหนังสือ “500 ล้านปีของความรัก” ครับ
ผู้เขียนเล่าเรื่องของชายชื่อ Phineas Gage หัวหน้าคนงานก่อสร้างทางรถไฟวัย 25 ปี ที่บังเอิญโดนสะเก็ดระเบิดในที่ทำงาน จนเหล็กแท่งยาว 1 เมตรเสียบเข้าแก้มซ้ายทะลุออกด้านบนศีรษะ ทำให้เนื้อสมองส่วนหน้าปลิวหลุดออกไปด้วย (แถมอาเจียนเนื้อสมองหลุดออกมาด้วย) แต่ความมหัศจรรย์คือ Gage รอดชีวิตครับ
ก่อนหน้านี้ Gage เป็นคนทำงานเก่ง เข้ากับคนง่าย สุภาพ เป็นที่รักของเพื่อน ๆ แต่หลังจากเกิดอุบัติเหตุ ทุกคนก็เห็นพ้องต้องกันว่า Gage เปลี่ยนไป เขากลายเป็นคนหยาบคาย ชอบแหกกฏ ไม่เคารพคนอื่น จนตกงาน ไม่มีเงิน ไม่มีเพื่อน และกลายเป็นคนเร่รอน
ทุกคนคิดว่าเขาแค่กลายเป็นคนนิสัยไม่ดีเฉย ๆ ก็เลยเลิกคบ แต่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1848 คนในยุคนั้นยังมีความรู้เรื่องสมองน้อยมาก พวกเขาเลยไม่รู้ว่า Gage แค่กำลังป่วย
ผู้เขียนอธิบายว่า สมองเราแบ่งได้ 3 ก้อนหลัก ๆ ก้อนแรกคือก้านสมอง ที่คอยควบคุมการทำงานของอวัยวะส่วนต่าง ๆ เช่น การเต้นของหัวใจ การหายใจ ก้อนที่สองคือสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์และความทรงจำ และก้อนที่สามคือเปลือกสมอง รวมถึงสมองส่วนหน้า ซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับความฉลาดทางสังคม การตัดสินใจเรื่องยาก ๆ การยับยั้งชั่งใจ
ในกรณีของ Gage สมองที่หลุดออกไปคือสมองส่วนหน้า ทำให้เขาขาดการยับยั้งชั่งใจ และควบคุมอารมณ์ไม่ได้ เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่าสมองกับการแสดงออกนั้นสัมพันธ์กันอย่างมากครับ
และสิ่งที่น่าสนใจคือสมองส่วนนี้จะพัฒนาเต็มที่เมื่ออายุประมาณ 25 ปี นี่จึงเป็นสาเหตุที่หลายครั้งเราจึงเห็นเด็กหรือวัยรุ่นทำอะไรออกไปโดยขาดความยั้งคิด เพราะสมองส่วนการยั้งคิดของเขา อาจยังพัฒนาได้ไม่เต็มที่นั่นเอง
นอกจากผมจะเข้าใจที่มาของการเปลี่ยนแปลงในตัวเองมากขึ้นแล้ว ผมยังต่อยอดออกมาเป็นข้อคิดได้ข้อนึงนั่นก็คือ “อย่าถือโทษเด็กดื้อ เพราะนั่นคือธรรมชาติของพวกเขา” ครับ
หลังจากมีวลีว่า “ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน” ขึ้นมา ผมสังเกตว่าหลายคนเริ่มจับผิดพฤติกรรมเด็กในที่สาธารณะมากขึ้น เช่น เด็กพูดเสียงดัง เด็กร้องไห้ หรือแม้แต่หัวเราะ ก็ทำให้หลายคนหงุดหงิดมาก ถึงขนาดต้องโพสต์ด่า หรือต่อว่าพ่อแม่เด็กเลยก็มี
ผมเองก็เคยไม่พอใจนะครับ แต่พอโตขึ้นก็เข้าใจว่านั่นคือธรรมชาติของเด็ก พวกเขากำลังเรียนรู้โลกใบนี้ ในทางกลับกันหากเห็นเด็กนั่งเงียบกริบตัวแข็งทื่อ นั่นต่างหากที่ผิดปกติ เพราะพ่อแม่หรือครู อาจทำร้ายเด็ก และขู่ให้กลัวก็ได้
ผมไม่ได้หมายถึงแค่เด็กเล็กอย่างเดียวนะครับ เดี๋ยวนี้เวลาใครเล่าพฤติกรรมแย่ ๆ ของคนอื่นให้ฟัง ผมจะถามก่อนเลยว่าอายุเท่าไร ถ้าไม่เกิน 20 ปี ผมก็จะบอกเสมอว่า “เอาน่า เขายังเด็กอยู่” แม้บางคนอาจหยาบคาย หรือทำเรื่องไม่เหมาะสมไปบ้าง ก็อย่าได้ถือโทษอะไรนักเลยครับ
แน่นอนผมไม่ได้บอกว่าต่อไปนี้พ่อแม่ปล่อยปละละเลยลูกได้ หรือเด็กถูกเสมอในทุกกรณีนะครับ หากเรื่องไหนมันเกินเลยก็ต้องห้ามปราม ตักเตือนให้เหมาะสม แต่ผมอยากให้ลองคิดดูดี ๆ ว่าสิ่งที่เขาทำมันเลวร้ายจริงไหม หรือมันแค่ไม่ถูกใจคุณเฉย ๆ เพราะอย่าลืมว่าวันนึงคุณก็เคยเป็นเด็กมาก่อนนะครับ ถ้ามันไม่ได้มากมายอะไร ก็จงอ่อนโยนเถอะครับ
ชื่อหนังสือ: 500 ล้านปีของความรัก #500ล้านปีของความรัก
ชื่อสำนักพิมพ์: Chatchapholbook
#igotthisfromthatbook #ฉันได้สิ่งนี้จากหนังสือเล่มนั้น
หนังสือ
ข้อคิด
ความคิดเห็น
บันทึก
2
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย