วันก่อนผมยืนต่อแถวรอเข้ารถไฟฟ้า BTS อยู่ ผมอยู่คนที่ 4 นับจากหน้าประตูทางเข้า แต่อยู่ ๆ ก็มีป้าคนนึงเดินมาแทรกเข้าไปลำดับที่ 2 เฉยเลยครับ ทั้งผมและผู้ชายที่ยืนอยู่แถวนั้นต่างมองกันไปมา เพราะหากต้องเถียงกันจริง ๆ มนุษย์ป้าคงเก่งกว่าแน่ ๆ เราเลยตัดสินใจยืนมองป้าแกได้ที่นั่งไป
ตลอดการโดยสารวันนั้นผมยืนครุ่นคิดมาตลอดทางเลยว่า ทำไมสังคมเราถึงมีคนแบบนี้กันนะ ต่อให้เด็กอนุบาลก็น่าจะดูรู้ว่าทุกคนกำลังต่อแถวกันอยู่ แต่คิดไปคิดมาผมก็เกิดคำถามนึงขึ้นมาในใจครับว่า “แล้วอะไรกันที่สร้างมนุษย์ป้าเหล่านี้ขึ้นมา?”
คำถามนี้ทำให้ผมนึกไปถึงหนังสือ “สิ่งที่เคยมอง แต่ไม่เคยเห็น” ของ พี่ตุ้ม หนุ่มเมืองจันท์ ที่เคยอ่านมานานแล้วครับ มีบทนึงที่เล่าเรื่องของเจ๊จงได้อย่างน่าสนใจ แล้วก็อาจเป็นคำตอบได้ด้วยว่าอะไรสร้างมนุษย์ป้าขึ้นมา
ผู้เขียนเล่าว่าก่อนเจ๊จงจะมาขายหมูทอดราคาเป็นมิตรอย่างที่เราเห็นกัน เจ๊จงเคยขายข้าวราดแกงบุฟเฟต์มาก่อน คือให้ลูกค้าสั่งกับข้าว แต่ตักข้าวเพิ่มได้ตามต้องการ
วันนึงมีลูกค้าคนนึงพาเด็กโตพอสมควรเข้ามาด้วย แต่จ่ายค่าอาหารสำหรับแค่ 1 คนเท่านั้น แล้วก็ตักอาหารไปแบ่งกับเด็กกิน ซึ่งขัดกับความเข้าใจทั่วไปที่เรามีต่อร้านบุฟเฟต์ คือต้องจ่ายเงินแบบคิดตามจำนวนคน
ดังนั้นถ้าให้ประเมินสถานการณ์นี้ไว ๆ หลายคนคงคิดว่า “ไอมนุษย์ป้านี่เอาเปรียบคนอื่นชะมัด” ซึ่งพนักงานในร้านของเจ๊จงเองก็ตั้งใจจะไปต่อว่าลูกค้าด้วย แต่เจ๊จงห้ามไว้ แล้วก็พูดประโยคนึงที่ผมถึงกับขนลุกตอนอ่านครั้งแรก เจ๊จงบอกว่า “ถ้าเขามีเงิน เขาคงไม่ทำแบบนี้”
เจ๊จงมักจะพูดประโยคนี้เสมอเวลาถูกเอาเปรียบ แล้วสิ่งที่เจ๊จงพูดไว้ก็เป็นจริงครับ เธอทราบในภายหลังว่าผู้หญิงคนนั้นธุรกิจล้มละลาย สามีก็ทิ้ง เธอจึงต้องดูแลลูกเพียงลำพัง ผู้หญิงคนนึงต้องแกร่งแค่ไหนถึงต้องยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ลูกมีข้าวกิน ฟังแค่นี้เจ๊จงบอกว่าแทบจะให้ข้าวฟรีเลยด้วยซ้ำครับ
ผมคิดว่าสิ่งที่เรื่องสั้น ๆ นี้บอกเราก็คือ หลายครั้งเรามักตัดสินว่าใครเป็นมนุษย์ป้า ใครเห็นแก่ตัว หรือใครเป็นคนไม่ดีจากมุมมองของเราเพียงคนเดียว ทั้งที่เราก็ได้บทเรียนมาหลายครั้งทั้งจากในข่าว หรือคนรู้จักว่า มีหลายกรณีเหลือเกินที่เรื่องราวเบื้องหลังมักทำให้เราเข้าใจผู้กระทำมากขึ้นเสมอ
ข้อคิดที่ผมต่อยอดจากเรื่องดังกล่าวมาได้ก็คือ “เวลาหมั่นไส้พฤติกรรมใคร ให้หาเหตุผลก่อนคำด่า” ครับ
แน่นอนว่าการเอาเปรียบคนอื่นเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ และผมก็ไม่ได้จะสนับสนุนพฤติกรรมเช่นนี้ แต่แค่ก่อนเราจะตัดสิน หรือโวยวายใครออกไป ขอให้ยั้งไว้สักอึดใจ แล้วลองคิดถึงเหตุผลที่เป็นไปได้ดูหน่อยครับ
ในจินตนาการของเรา เราอาจพบว่าคนที่แซงคิวขึ้นรถเมล์ อาจกำลังท้อง 5-6 เดือนอยู่ก็ได้ หรือคนที่ขับรถปาดหน้าเรา ก็อาจมีคนป่วยอยู่บนรถ หรือแม้แต่บางทีเขาอาจไม่ได้ตั้งใจเลยด้วยซ้ำ
ซึ่งถ้าเป็นเราอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้น เราอาจไม่กล้ายืนยันด้วยซ้ำว่าเราจะไม่ทำแบบเดียวกัน เพราะงั้น ครั้งต่อไปที่เจอพฤติกรรมน่าหงุดหงิด ลองคิดถึงเหตุผลกันก่อนครับ เพราะเราคงไม่อยากอยู่ในสังคมที่โวยวายทุกครั้งที่มีความไม่พอใจเกิดขึ้นครับ
ชื่อหนังสือ: สิ่งที่เคยมอง แต่ไม่เคยเป็น
ชื่อสำนักพิมพ์: มติชน, สนพ.
#igotthisfromthatbook #ฉันได้สิ่งนี้จากหนังสือเล่มนั้น
แสดงความคิดเห็นของคุณ...
    • กำลังนิยมในบล็อกดิต
      ผ่าขุมทรัพย์ "เจ เจตริน" นักร้องดังยุค Y2K ผ่าขุมทรัพย์ "เจ เจตริน วรรธนะสิน" นักร้องดังมากความสามารถ เเถมเป็นหนุ่มฮอต ขึ้นแท่นขวัญใจแฟนคลับใน ยุค Y2K หรือ ยุค 90
      'เพื่อนรัก'มาเยือนรัสเซียทั้งที ปูตินทำอะไรเลี้ยง สี จิ้นผิงบ้าง..? วันนี้จะพาไปดูเมนูสุดหรู ที่ปูตินใช้เลี้ยงรับรองเพื่อนรักอย่างสี จิ้นผิงกัน....
      ดราม่าคอนเสิร์ต BLACKPINK ที่ไต้หวัน เรื่องราวของนักแสดงสาวไต้หวัน กับผู้ชมที่สนุกเกินไปจนสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น
      ทำไม หุ้นกู้เครดิตสวิส 6 แสนล้าน กลายเป็น 0 ในพริบตา ตามปกติแล้วถ้าเราลงทุนในหุ้นกู้ เราจะมีสถานะเป็นเจ้าหนี้ ซึ่งจะได้รับผลตอบแทนเป็นดอกเบี้ย
      ดูทั้งหมด