7 ก.พ. 2023 เวลา 09:00 • กีฬา

บทเรียนชีวิตของมาริโอ บาโลเตลลี่ : ชายผู้ตกเป็นทาสความสนุกของอารมณ์ | Main Stand

เจ้าอารมณ์ คลุ้มคลั่ง แปรปรวนง่าย ไม่ค่อยสนใจใคร นี่คือนิยามของ มาริโอ บาโลเตลลี่ นักฟุตบอลชาวอิตาลี ผู้ได้รับฉายาว่า “ซุปเปอร์มาริโอ”
2
ด้วยร่างกายแข็งแรงกำยำ ตัวสูงใหญ่ จบสกอร์ได้อย่างเฉียบคม ทำให้ครั้งหนึ่งเขาเคยถูกชื่นชมว่ามีพรสวรรค์อยู่ในระดับเดียวกันกับ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และ ลิโอเนล เมสซี่ เลยทีเดียว
แต่ด้วยนิสัยสุดเกรียน ทำให้มีข่าวฉาวในด้านลบออกมาไม่เว้นวัน ส่งผลต่ออาชีพการค้าแข้งของเขาโดยตรง เพราะแม้จะมีพรสวรรค์ที่เก่งกาจเพียงไหน แต่เขากลับเป็นได้แค่นักเตะพเนจรคนหนึ่งที่ไม่อาจฉายแสงจนโดดเด่นให้เป็นที่จดจำเท่าสองรายแรกที่กล่าวถึงได้ และบางครั้งต้องเป็นนักเตะไร้สังกัดที่ไม่มีทีมไหนต้องการตัว
นี่คือเรื่องราวของนักฟุตบอลสุดเกรียน ผู้มีชีวิตพลิกผัน แต่แฝงด้วยบทเรียนของการตกเป็นทาสของอารมณ์ตัวเอง ติดตามได้ที่นี้
นักสร้างข่าวฉาว
“Why Always Me ?”
เป็นคำที่ถูกพิมพ์ไว้บนเสื้อรัดรูป เมื่อตอนที่ มาริโอ บาโลเตลลี่ ลงทำการแข่งขันให้กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ พบกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในศึกพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2011-12 และจบลงด้วยชัยชนะของ แมนฯ ซิตี้ ที่ถล่มใส่แมนยู ไป 6-1 โดยมาริโอเผยข้อความดังกล่าว หลังยิงลูกแรกของเกมในนาทีที่ 22
เลส แชปแมน (Les Chapman) หนึ่งในทีมงานของสโมสรผู้สกรีนข้อความดังกล่าว เปิดเผยว่า
“เขาต้องการให้ผมพิมพ์อะไรบางอย่างลงบนเสื้อรัดรูปของเขา และผมก็บอกว่า 'คุณห้ามพิมพ์อะไรที่ดูขัดแย้งหรือสร้างความไม่พอใจให้กับแฟน ๆ แมนฯ ยูไนเต็ด หรือใครก็ตาม’...เขาใช้เวลาคิดอยู่ประมาณ 1-2 นาที และทันทีที่เห็นข้อความ ผมได้แต่บอกเขาว่ามันไม่เหมาะสม”
1
แต่มาริโอไม่สนใจ เขาต้องการให้แชปแมนพิมพ์ข้อความดังกล่าวอย่างเร็วที่สุด ซึ่งแชปแมน ก็ทำให้ทันที เพราะรู้ดีว่าไม่สามารถขัดใจยอดนักเตะจากอิตาลีคนนี้ได้
ก่อนหน้านี้ มาริโอมีข่าวฉาวมากมายที่สร้างไว้กับอดีตทีมเก่าอย่าง อินเตอร์ มิลาน เริ่มตั้งแต่การไม่มีระเบียบวินัยในการซ้อมหรือทำตัวมีปัญหากับเพื่อนร่วมทีม จนถึงขั้นมีเหตุทะเลาะวิวาท จนกลายเป็นข่าวใหญ่โตออกหน้าสื่อของอิตาลีอยู่บ่อยครั้ง
1
ในปี 2010 เขาย้ายมาอยู่กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในฐานะนักเตะดาวรุ่งที่น่าจับตามอง แต่เขายังคงประพฤติตัวไม่ต่างจากเดิมด้วยทัศนคติที่คิดว่าตัวเองเป็น “แบดบอย” ที่หัวร้อนง่าย ไม่สนใจใคร ทำให้เพื่อนร่วมทีมเอือมระอาและไม่อยากคบค้าสมาคมกับเขามากนัก เช่น กรณีที่ไปแย่งยิงฟรีคิกกับ อเล็กซานดาร์ โคลารอฟ (Aleksandar Kolarov) จนมีปากเสียงและไม่พูดจากันในเกม
2
หรือมีปัญหากับ โรแบร์โต้ มันชินี่ (Roberto Mancini) เฮดโค้ชของทีม ในเกมพรีซีซั่น ระหว่าง แมนฯ ซิตี้ กับ ลอสแอนเจลิส กาแลคซี่ ทีมดังจากเมเจอร์ลีกซอกเกอร์ ที่มาริโอแกล้งยิงประตูแบบไม่จริงจังจนดูเหมือนไม่ให้เกียรติคู่ต่อสู้ ทำให้มันชินี่ตัดสินใจเปลี่ยนตัวเขาออกจากเกมทันที
1
แต่หนึ่งในข่าวอื้อฉาวที่สุด คงหนีไม่พ้นการจุดพลุในบ้านของตัวเองจนเกิดไฟไหม้ไปเกือบทั้งหลัง สร้างความเสียหายไปกว่า 400,000 ปอนด์ หรือราว 16 ล้านบาท แต่เขาก็ยังทำตัวเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
ทั้งหมดนี้ทำให้สื่อทุกสำนักสนใจข่าวอื้อฉาวของเขาทันที เนื่องจากมันเป็นวีรกรรมสุดแปลก ที่ไม่ค่อยมีนักเตะคนใดทำเช่นเดียวกับที่มาริโอทำ ซึ่งตัวของเขาเองก็เก็บอารมณ์ความอึดอัดไว้ไม่ไหว เขาแสดงข้อความดังกล่าวเพื่อตอบโต้สื่อทันทีที่ยิงประตูแรกได้ในเกมที่ แมนฯ ซิตี้ ชนะ แมนฯ ยูไนเต็ด ถึงถิ่นโอลด์แทรฟฟอร์ด
และมาริโอได้ออกมาเปิดใจถึงเหตุการณ์ดังกล่าวว่า
“บางครั้งสื่อก็ลงข่าวลวง พวกเขาสร้างมาริโออีกคนที่ไม่ดีขึ้นมาในอังกฤษ”
ยอดนักเตะพเนจร
ด้วยข่าวฉาวที่มีออกหน้าสื่อไม่เว้นวัน ทำให้มาริโอไม่เป็นที่สนับสนุนของแฟนบอลแมนฯ ซิตี้ อีกต่อไป จนถึงขั้นมีผู้คนออกมาโห่ร้องขับไล่ทุกครั้งที่เห็นเขาลงสนาม
แต่มันก็ไม่ได้เป็นเพียงแค่ความรู้สึกฝ่ายเดียวของแฟนบอลเท่านั้น เพราะด้วยนิสัยสุดเกรียนของมาริโอทั้งในและนอกสนาม ทำให้ แมนฯ ซิตี้ เสียผลประโยชน์ค่อนข้างมาก สุดท้ายมาริโอและแมนฯ ซิตี้ จึงเห็นพ้องต้องกันว่าควรยุติเส้นทางร่วมกันในช่วงปลายฤดูกาล 2012-13 ของพรีเมียร์ลีก แล้วจากนั้นเขาก็ย้ายซบทีมดังอย่าง เอซี มิลาน ในวันที่ 29 มกราคม 2013 ด้วยสัญญา 5 ปีทันที
มาริโอทำผลงานได้น่าประทับใจกับมิลาน เขายิงประตูได้เป็นกอบเป็นกำและแสดงคลาสฟุตบอลชั้นสูงให้ผู้ชมในลีกเซเรีย อา ได้ตกตะลึงอยู่บ่อย ๆ ซึ่งในฤดูกาล 2013-14 เขาลงเล่นไป 43 นัดทุกรายการ และยิงไปมากถึง 26 ประตู
1
จากผลงานระดับนี้ทำให้ ลิเวอร์พูล ตัดสินใจคว้าตัวของเขามาร่วมทีมในฤดูกาล 2014-15 ด้วยค่าตัว 16 ล้านปอนด์ แต่การย้ายซบยังถิ่นแอนฟิลด์ในครั้งนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของฝันร้ายของเขาไปตลอดกาล เพราะเนื่องจากเขายังคงไม่ทิ้งนิสัยเดิม ๆ ที่มักจะไร้ระเบียบวินัยในการซ้อม จนถูก เบรนแดน ร็อดเจอร์ส (Brendan Rodgers) เฮดโค้ชของทีมในเวลานั้นจับนั่งเป็นตัวสำรอง และปล่อยให้ลงช่วยทีมสู้ศึกพรีเมียร์ลีกอังกฤษเพียง 16 เกม ซึ่งเขายิงได้เพียง 1 ประตูเท่านั้นตลอด 2 ปีที่อยู่กับทีม
2
มาริโอต้องกลายเป็นนักเตะพเนจรทันทีในปีถัดมา เขาต้องร่อนเร่ค้าแข้งให้ทั้ง เอซี มิลาน (ฤดูกาล 2015-16 (แบบยืมตัว), นีซ (ฤดูกาล 2016-19), มาร์กเซย (ฤดูกาล 2019), เบรสชา (ฤดูกาล 2019-20), มอนซา (ฤดูกาล 2020-21) และ อดาน่า เดมิร์สปอร์ (ฤดูกาล 2021-ปัจจุบัน)
รวมถึงผลงานในทีมชาติก็ไม่ค่อยสู้ดีนัก เพราะนับตั้งแต่ทำผลงานได้ไม่ดีในฟุตบอลโลก 2014 ที่เขาพาทีมชาติอิตาลีเก็บกระเป๋ากลับบ้านตั้งแต่รอบแรก มาริโอก็ไม่ค่อยมีชื่อถูกเรียกติดทีมชาติอย่างต่อเนื่องอีกเลย ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นช่วงขาลงของชีวิตบาโลเตลลี่อย่างแท้จริง
เติบโตอย่างผู้ใหญ่
มาริโอ บาโลเตลลี่ เป็นนักเตะที่มีพรสวรรค์ในการเล่นฟุตบอลอย่างมาก แต่เขามีปัญหาเดียวที่ต้องปรับปรุงอย่างเร่งด่วน นั่นคือทัศนคติในด้านลบเกี่ยวกับอารมณ์ที่ควบคุมไม่ค่อยอยู่ของตัวเอง
5
หากศึกษาจากประวัติของมาริโอที่ผ่านมาจะเห็นได้ชัดว่า การที่เขาไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้นั้นส่งผลเสียต่อชีวิตอย่างไรบ้าง
1
เขาเคยเป็นนักเตะดาวรุ่งมากพรสวรรค์ที่อาจก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในนักเตะที่ดีที่สุดในโลก เเต่เพราะเป็นคนไม่สนใจอะไรหรือไม่แม้แต่จะฟังคำเตือนของคนรอบข้าง จึงทำให้เขากลายมาเป็นนักเตะพเนจรที่แทบจะหาต้นสังกัดเล่นไม่ได้
อย่างไรก็ดี มาริโอในวัย 32 ปีได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างเกี่ยวกับปัญหาทางด้านอารมณ์แล้วว่า มันมีผลต่อชีวิตของเขามากแค่ไหน เขาจึงพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อระงับอารมณ์โกรธของตัวเองให้อยู่หมัด โดยการฝึกสมาธิเป็นประจำทุกวัน หรือแม้แต่การศึกษาหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนา ซึ่งเขาได้ออกมายอมรับว่า “ช่วยให้จิตใจสงบนิ่งได้อย่างเหลือเชื่อ”
แม้กระทั้งอดีตนายเก่าอย่าง โรแบร์โต้ มันชินี่ ก็เคยออกมาพูดว่า
“มาริโอเป็นคนที่ลึกซึ้งเกินกว่าที่เราจะเข้าใจ เขาคิดว่าพุทธศาสนาเป็นวิธีที่เหมาะที่จะพูดคุยกับตัวตนภายในของเขาและค้นหาความสงบสุขของจิตใจ”
เมื่ออยู่บ้าน เขาจะใช้เวลาว่างให้มากที่สุดเพื่ออ่านหนังสือ ฝึกสมาธิ หรือบำบัดจิตใจอันแสนหุนหันพลันแล่นของตัวเองในสงบนิ่ง จนกลายมาเป็นระเบียบวินัยที่เขาต้องฝึกฝนทุกวัน
ด้วยเหตุผลดังกล่าว ทำให้มาริโอเปลี่ยนแปลงตัวเองไปมาก เขากลายเป็นคนใจเย็นลงได้อย่างไม่น่าเชื่อ และเขาก็มีหัวใจที่เข้มแข็งมากขึ้นกว่าเดิมอีกหลายเท่าตัว มันทำให้เขา กลายเป็นคนน่ารักในสายตาของผู้อื่นไปโดยปริยาย
แม้ปัจจุบันมาริโอจะเป็นเพียงนักเตะคนหนึ่งที่ไม่ประสบความสำเร็จมากนักในอาชีพของตัวเองและกำลังค้าแข้งอยู่กับทีมเล็ก ๆ อย่าง อดาน่า เดมิร์สปอร์ (Adana Demirspor) ในซุปเปอร์ลีก ของประเทศตุรกี
แต่เขาก็มีความสุขเสมอที่ได้เล่นฟุตบอล เพราะว่าฟุตบอลเป็นมากกว่าแค่อาชีพสำหรับเขา มันช่วยสอนให้เขาได้เรียนรู้ที่จะเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ที่สงบนิ่ง เหมือนอย่างที่เขาเคยกล่าวไว้ว่า
“เมื่อคุณโตขึ้น คุณจะเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ดังนั้นจงเรียนรู้ความผิดพลาดให้มาก”
จนถึงตอนนี้ มาริโอ บาโลเตลลี่ เข้าใจอย่างเเจ่มแจ้งแล้วว่า ต่อให้เขาเป็นคนเก่งมากแค่ไหนก็ตาม แต่หากไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ มันก็ยากที่จะกลายมาเป็นหนึ่งในนักฟุตบอลที่ประสบความสำเร็จในระดับโลกได้
แหล่งอ้างอิง
โฆษณา