12 ก.พ. 2023 เวลา 17:34 • ครอบครัว & เด็ก

ลูกหลานต้องสอบเรียนต่อ.... ตั้งแต่อนุบาล

วงเวียนชีวิตของเด็กไทย... หนีได้ยาก
เพราะอยู่ในแวดวงเด็กๆ ก็จะเห็นวงจรหาที่เรียน การสอบแข่งขันตั้งแต่อนุบาล เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ เขาเอามนุษย์ตัวอ่อนมาสอบวัดด้วยเครื่อวมือเดียวกัน มาตัดสินว่า ใครควรผ่านเข้าไปเรียนในสถานที่แห่งนั้น....
หลานเราก็โดน.... คนโตก่อนสอบพาเขาไปเชยชมสนามเด็กเล่นที่โรงเรียนค่ะ พาไปเล่นสองสามครั้ง
ให้เขารู้สึก... อยากมาเรียน
ในวันที่พาเด็กห้าขวบไปสอบ...
คนเป็นป้าบอกเขาว่า.....
วันนี้เรามาหาคุณครู คุณครูอยู่ห้องคัดสรรนะ ในนั้นมีอะไรบ้าง ป้าไม่รู้ มันเป็นความลับระหว่างคุณครูกัยเด็กๆ หนูต้องเข้าไปค้นหาเอง คุยกับคุณครูเอง... ต้องกล้าหาญที่จะเข้าไปคนเดียวนะ พ่อ แม่ ป้าจะรอข้างนอก รอให้หนูทำภารกิจจนเสร็จ.... ใครผ่านห้องคัดสรรได้ก็จะได้เรียนที่นี่นะ ได้เล่นของเล่น ....
ก็ได้แต่คิด ชีวิตเด็กลำบากแท้...
พอหลานคนที่สอง เด็กสองคนไม่ได้เหมือนกัน
เรื่องของห้องคัดสรรก็เป็นความลับของเขากับครูตลอดมา เขาไขไม่สำเร็จ เพราะเค้าแทบจะไม่ตอบคุณครูเลย ด้วยความที่เป็นเด็กที่ต้องอุ่นเครื่องนาน ปรับตัวกับคนแปลกหน้าลำบาก ไม่ไว้ใจคนอื่นง่าย...
เขาไม่ผ่านห้องคัดสรร ทั้งๆที่อยากจะได้ไปเรียนที่เดียวกับพี่ เขาชอบสนามเด็กเล่นที่นี่ และเป็นที่ที่พี่ชายอยู่....แต่พวกเราก็เข้าใจ
เราและเด็กมีเวลาอีกหนึ่งปีถัดมาเพื่อลองใหม่....
.....ป้าบอกว่า เรียนไหนก็เรียนเถอะ สอบขำๆ ได้ก็ได้ ไม่ได้ที่เรียนอื่นก็มี เอาที่หลานไม่เครียด ...
เค้าเลือกเอง อยากเรียนที่นี่ แต่โรงเรียนเดิมเขาก็ดีนะ ป.หนึ่งสระว่ายน้ำมีสไลเดอร์ เขาก็ชอบ
เขาว่างั้น...
ก็ได้แต่ขำ สอบเสร็จบอกจำอะไรไม่ได้เลย เออคงไม่เครียดตอนสอบ...
ดีแล้วลูก ไม่ต้องจำ 😅....
ผู้ใหญ่อยากให้เข้าเรียนที่นี่มีหลายสาเหตุ
เนื้อหาไม่ได้ปั้น ไม่ได้ปั่นวิชาการมาก....
โรงเรียนกลางๆ
พี่น้องเรียนที่เดียวกัน รับส่งสะดวก การใช้ชีวิตประจำวันบริหารจัดการง่าย... เพราะมันต้องทำยาวห้า หกปี.....​เคยต้องขับรถผ่านหน้าโรงเรียนยามเช้าได้แต่สะพรึง.... ดีนะ นานๆมาที ถ้าเป็นแม่ มารับส่งลูกทุกวันแบบนี้.... จะลาออกจากความเป็นแม่ได้มั้ย หรือต้องลาออกจากงานแทนเพื่อรับส่งลูก
ตัวเขาเองอยากเข้า เพราะเห็นพี่เรียน ก็อยากเเรียนด้วย เขาเคยผิดหวังมาแล้วกับการสอบเข้าปีที่แล้ว ตอนห้าขวบ ครั้งนี้เขารู้ว่านี่คือโอกาสอีกครั้งของตัวเอง เขาต้องพยายาม....
ผู้ใหญ่ สิ่งที่ทำคือ พวกเราเตรียมตัวรับกับสถานการณ์สอบไม่ติด เราจะเป็นฟูก (อีกครั้ง)
ให้เด็กยังไง.... พวกเราทำตัวเป็นทั้งโค้ช ทั้งฟูก....
ยอมรับว่าหลายครั้งเราถกกันเรื่องเรียนพิเศษเพื่อเตรียมตัวสอบเข้า ในปีนี้
เรา... ผู้เป็นป้า เป็นคนหนึ่งที่ซักค้านพ่อ แม่เขาเสมอ... แต่สุดท้ายก็จนด้วยเหตุผลทางโครงสร้างการศึกษา และค่านิยม ความกังวของคนเป็นพ่อแม่ และต้องเคารพการตัดสินใจของพ่อแม่... ป้า คือป้า
แต่สิ่งที่เราคุยกันเสมอคือ... ดูที่เด็กนะ เมื่อไหร่ไม่ใช่ ต้องหยุด....
และระหว่างทาง มันก็มาจริงๆ หลานชายไม่ใช่เด็กปรับตัวง่าย เขาไม่ใช่คนที่จะทำตามสั่งแบบไหนก็ได้.... ไม่ใช่เด็กเชื่อฟัง และยอมทำตาม... ง่ายๆเขาค่อนข้างมีความคิดของตัวเอง และไม่สามารถชี้นำให้ทำอะไรได้ง่ายนัก
ระหว่างการไปเรียนพิเศษเพื่อเตรียมตัวสอบ เริ่มจากไม่อยากไป คนเป็นแม่ก็มาถามจะคุยกับลูกยังไงดีพี่ แม่จะทำยังไงดี...
และแล้วแม่โน้มน้าวจนยอมไปได้สำเร็จ
หลานชายไปเรียนอย่างมีความสุขได้แค่สองครั้ง ทุกอย่างเหมือนจะดี ครูบอกว่าเขาดูโอเคมาก....
แม่ใจชื้น สอบครั้งนี้ลูกน่าจะมีหวัง
ครั้งที่สาม หลานชายร้องได้ตลอดชั่วโรงเรียน ไม่ตอบคำถาม ไม่ให้ความร่วมมืออะไรทั้งสิ้น....ร้องไห้อย่างเดียวเป็นเวลาชั่วโมงครึ่ง... ร้องจนครูไม่คิดค่าเรียนชั่วโมงนั้น 😅
แม่หนักใจ ตกใจ กังวลใจ เอาไงดี โทรหาป้า....
รอบนี้ง่าย ไม่ต้องคิดเยอะแบบรอบก่อน....
อาการทรงอย่างแบด....แซดทั้งชั่วโมงแบบนี้
ป้าบอก...ไม่ยาก แม่ทำไม่ยาก...
หยุดค่ะ เลิก ไม่ต้องเรียน เด็กเครียดชัดเจน
หยุดมันซะก่อนที่จะสาย ไม่ต้องฝืน ก่อนที่จะพัง
สอบเรื่องเล็กมาก สภาพจิตใจเด็กเรื่องใหญ่ ความรักเรียนคือเรื่องที่ต้องรักษาไว้....
คำตอบชัดมาก
ปกติความเครียดมีประโยชน์ให้คนต่อสู้ พัฒนาตัวเอง เอาชนะอุปสรรค แต่ถ้ามาเกินไปมันไม่ใช่เรื่องดี มันอาจเกิดบาดแผล ทำให้สภาพจิตใจเสียความยืดหยุ่นได้
วันนั้น ป้ากับแม่คุยกัน สรุปได้ว่า ติดก็ติด ไม่ติดเรียนที่ไหนก็ได้.... ไม่เอาเรื่องเรียนพิเศษมากดดันเด็ก ปล่อยเขาเรียน เล่นในแบบตัวเอง แล้วคุยกับเขาดีกว่า
เราบังคับลูกไม่ได้ เราทำได้คือให้เขา มีเป้าหมายแล้วเดินทางให้ถึงเป้าที่เขาเลือกเอง ....
ให้เขาคิด เลือก และวางแผนเอง เขาอยากเรียนที่ไหน เพราะอะไร มีโรงเรียนอะไรให้เลือกบ้าง แต่ละโรงเรียนดียังไง ไม่ดียังไง คุยกัน....บอกแม่เขาหาจังหวะสบายๆคุยกับลูกนะ ช่วงที่ทำกับข้าว ทานข้าวด้วยกัน อาบน้ำ อ่านหนังสือ หรือเล่นด้วยกันก็ได้ คุยกับเด็กด้วยภาษาง่ายๆ
ถามและฟังลูก....อย่าตัดสินความคิดของเด็ก คอยฟังสิ่งที่เขาอยากบอก รับฟังและหาแนวทางด้วยกัน
การเลือกที่เรียน กลายเป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่กับเด็กหกขวบคุยกัน....
พอบอกแม่เขาไป ก็ถึงกับอุทานว่า....
ทำไมหลานฉันต้องหัดคิดแบบนี้ตั้งแต่อายุแค่นี้นะ...
คนเป็นป้าก็ใจหาย.... แม้ EF จะเป็นเรื่องที่เราต้องการสร้างและปลูกฝังให้เด็กมี... แต่ก็อดเศร้าไม่ได้ว่า เรื่องเรียนสำหรับเด็กๆทุกคนไม่น่ายากแบบนี้เลย
1
.... ไม่แน่ใจหรอกค่ะว่าสิ่งที่ทำมันดีหรือไม่ดี....
 
แล้วเราก็ปล่อยเขาเล่น และเรียนแบบที่เขาพอใจ ไม่ให้หย่อนเพราะต้องสอบแข่ง แต่ก็ไม่บังคับขัดใจเอาตึง.... สรุปไม่ได้ไปเรียนกวดวิชาเตรียมสอบเข้าตามพ่อแม่หวังต่อ แต่ให้ไปอยู่กับครูที่เขาคุ้นเคยตั้งแต่เด็กๆ และชอบ เขามีความสุขเวลาเรียนกับคุณครูท่านนี้ เราก็เลือกแบบนั้น
เราขอเขาแค่ ตอนไปสอบ ครูถามก็ตอบนะลูก...
ติดไม่ติดไม่ต้องสนใจ ขอแค่หนูพยายามให้เต็มที่
สู้ก่อน...
กล้าที่จะพูดออกมาแทนการนิ่งเฉย....
ผลของมัน คืออะไรก็ได้
เขาบอกว่าโรงเรียนเก่าเขาก็ชอบนะ สระว่ายน้ำป.หนึ่งน่าเล่นกว่าเดิม แต่เขาก็อยากเรียนโรงเรียนนี้ (เรารู้ว่ามากกว่า เพราะ เขาเฝ้ารออยากเข้ามาเป็นปี สองปี)...
มันไม่ง่ายสำหรับเด็ก introvert ที่จะสอบสัมภาษณ์กับครูแปลกหน้า... เราอยากให้เขาสอบได้ เพราะเราอยากให้หลานสมหวัง แต่ถ้หลานสอบไม่ได้
เขาก็ยังคงคุณค่า น่ารักสำหรับเราเสมอ และเรียนที่ไหนก็ได้
เด็กที่สอบผ่านการคัดเลือก ไม่ได้แปลว่าดีกว่า เก่งกว่า หรือจะประสบความสำเร็จมากกว่าเด็กที่สอบไม่ผ่าน มันเป็นแค่การบอกว่า พวกเขาเดินผ่านมาตรวัดแบบนี้ ที่นี่เท่านั้น ..
ความพยายามทำสิ่งที่ยากของตัวเอง ยอมสื่อสารกับคนแปลกหน้าดีขึ้น.... หนึ่งปีผ่านไปเขาเติบโต และก้าวข้ามจุดดอ่อนเล็กๆของตัวเองได้... ระดับหนึ่ง... และเขาก็สมหวังด้วยตัวเขาเอง....นี่คือสิ่งที่ป้าชื่นชม ยินดี และภูมิใจ
เรียนที่ไหนดี เรื่องเหล่านี้มักถูกถกเถียง ขบคิดกันในหลายครอบครัว มันไม่มีสูตรสำเร็จค่ะ แม้แต่แนวทางการให้คำปรึกษา แต่ละครอบครัวก็ต่างกันไป และสุดท้ายก็อยู่ที่พ่อแม่ตัดสินใจ...
ถ้าเอาเด็กเป็นหลัก เด็กก็จะไม่ทุกข์มาก
โรงเรียนที่ดี ไม่จำเป็นต้องแพง
โรงเรียนที่ดีควรเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยถัดจากบ้าน เป็นสถานที่ที่ปลูกฝังให้เด็กรักการเรียนรู้
และมอบทักษาะการเรียนรู้ด้านต่างๆให้เด็กๆ....
มันก็ไม่ได้หาได้ง่ายๆ...
โรงเรียนคือโรงเรียน ใช่ว่าจะสร้างคุณลักษณะ
ทุกอย่างให้คนได้ บ้านเองก็สำคัญ
บ้านเป็นโรงเรียนแห่งแรก และพ่อแม่คือครูคนแรกของเด็ก...
ในฐานะของหมอเด็กจะบอกพ่อแม่เสมอว่า
เลี้ยงลูกให้เป็นเด็กปกตินะคะ เติบโตพัฒนาการตามวัยปกติ เลี้ยงไม่ให้ต้องซ่อม คนที่ปกติจะเรียนรู้ เติบโต และพัฒนาเป็นแบบไหนก็ได้ตามศักยภาพและโอกาสของเขาเอง
ตอนนี้เด็กเล็กมีปัญหาพัฒนาการด้านภาษาจากการใช้หน้าจอไม่น้อย ไปจนถึงปัญหาพฤติกรรม ติดจอติดเกมส์ในเด็กโต​.....
เหล่านี้กระทบทั้งเรื่องการเรียน ที้งเรื่อวพฤติกรรม
ซ่อมไม่คุ้มหรอก เสียดายคน เสียดายเด็กค่ะ....
แล้วเลือกเรียนที่ไหนดี
1.เลือกโรงเรียนตามช่วงวัย ตามหลักสูตร
บางโรงเรียนมีเฉพะเด็กเล็ก บางโรงเรียนสอนแค่อนุบาล บางโรงเรียนตั้งแต่อนุบาลถึงประถม ยาวถึงมัธยม
การเลือกหลักสูตรในแต่ละช่วงวัย บางครั้งก็มีผลกับการวางแผนทั้งระยะสั้น ระยะยาวเช่นกัน...
2.การเดินทางรับส่ง เป็นหนึ่งในเรื่องที่ต้องคิด โรงเรียนใกล้บ้านคือข้อได้เปรียบ ลูกสองคนสองทิศ สามคนสามทิศ สี่คนสี่ทิศ หรือทุกคนทิศเดียวกันจะรับส่งอย่างไรใครดูแล ควรวางแผน ไม่อย่างนั้นทะเลาะกันได้ค่ะ ป้าเจอมาแล้ว... เรื่องบ้านอื่นนะ แต่เราหมอเด็กไง เราเลยได้รู้ว่ามันเป็นฉนวนสงครามในบ้านได้ด้วย... ไม่น่าเชื่อ 😅
3.บริบทแต่ละครอบครัวแตกต่าง ทั้งแนวความคิด มุมมอง ความเชื่อ ความคาดหวังจากโรงเรีน ไปจนถึงเศรษฐานะ
4.เด็ก ตัวตนของเด็ก เขาเหมาะที่จะเรียนรู้ในบริบทแบบไหน หรือถ้าเราเลือกโรงเรียนแบบนี้แล้วเด็กๆจะออกมาแบบไหนเราก็ควรรับรู้ และพิจารณาสิ่งเหล่านี้ด้วยเช่นกัน เด็กแต่ละคนแตกต่าง การจับพวกเขาเข้าไปในโรงเรียนเดียวกันไม่ได้แปลว่าทุกคนจะออกมาเหมือนกัน เราคนเป็นพ่อแม่ ต้องเข้าใจขีดจำกัดของหลักสูตรและโครงสร้างของการศึกษา....
ถ้าเขาไม่ใช่ในสนามนี้ ให้เรารีบตื่นตัวกับลูกๆเพื่อหาเส้นทางและสนามที่ใช่ของเขา การตำหนิ เปรียบเทียบคือการทำลายตัวตน ทำลายคุณค่า และทำลายการมองเห็นคุณค่าในตัวเองของเด็ก.... คือทำลาย self esteem... มันเท่ากับทำลายชีวืตกันเลย.. .. ถ้าเขาพังมาจากที่โรงเรียน ที่บ้านต้องซ่อมและสร้างค่ะ
5.คุณครู สำคัญยิ่งกว่าหลักสูตร เพราะครูคือคน คือคนใช้หลักสูตร ขอให้มีความเป็นครู.... โรงเรียนไหนก็น่าส่งไปเรียนค่ะ จำได้ว่าเป็นคำถามแรกๆที่เราถามน้องเลยว่า.... คุณครูโรงเรียนนี้เป็นอย่างไร ใจดีไหม ใส่ใจเด็กหรือเปล่า ใช้คำพูดกับเด็กแบบไหน มีจิตวิทยาเด็กแค่ไหน... เราไม่ได้คาดหวังมาก แค่ไม่แย่ก็ดีใจ...
ครูที่ดีจะไม่ทำลาย self esteem เด็ก ถ้าเจอครูแบบนั้น ให้พาลูกหนีไปค่ะ
6.พิจารณาจุดอ่อนจุดแข็งของหลักสูตร แนวคิด วิสัยทัศน์แต่ละโรงเรียน
เช่น วัยเด็กเล็ก ถ้าบังเอิญไปเจอโรงเรียนแนวเน้นวิชาการเหลือเกิน สอนชิงโอลิมปิกตั้งแต่อนุบาล ที่บ้านอาจต้องปล่อยลูกเล่นมากขึ้นโดยเฉพาะเด็กเล็ก เพราะวิชาการคือความเครียดของเด็ก แล้วคอยสังเกตลูก ถ้ามีผลกับจิตใจ พฤติกรรม และพัฒนาการ เราอาจต้องพิจารณาที่เรียนใหม่
แต่ถ้าเป็นโรงเรียนแนวเสริมสร้างพัฒนาการ ถ้าลูกต้องไปสอบคัดเลือกเพื่อเปลี่ยนที่เรียน อาจต้องหาเวลาเพิ่มชั่วโมงทางวิชาการให้ อันนี้ว่าตามสภาพสังคมไทยนะคะ
ในฝันเราไม่อยากให้เด็กอนุบาลสอบเลย
7.ความปลออดภัย สิ่งแวดล้อม ควรเหมาะสมกับวัย
โรงเรียนมีหลากหลาย ถ้าเลือกได้ เลือกให้เหมาะกับครอบครัวเรา ทั้งสิ่งที่เราต้องการจากโรงเรียน หลักสูตร ความปลอดภัย คุณครู ค่าใช้จ่าย ไปจนถึงการรับส่ง....
เข้าโรงเรียนแล้วให้คอยสังเกตลูก...
ลูกเรายังมีความสุขดีอยู่ไหม...
เราให้เด็กไปโรงเรียน เพราะอยากให้เขาเป็นนักเรียน..... นั่นก็ต้องรักเรียน และเรียนเป็น เรียนเพื่อรู้ รู้แล้วเอาไปใช้ต่อ....
โฆษณา