15 ก.พ. 2023 เวลา 05:23 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี

เมื่อ AI ยังไม่หยุดเปลี่ยนโลก ธุรกิจไหนปรับตัวไม่ทัน ระวัง! ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

หลังจากครั้งที่แล้ว เราได้พูดถึง Mega trend ที่จะสั่นสะเทือนโลกในปี 2023 โดยคาดการณ์ว่า จะเป็นปีที่ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในที่สุดเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากการเกิดขึ้นของเครื่องมือ AI เชิงสร้างสรรค์ที่กลายเป็นเอไอไวรัลเมื่อปลายปีที่แล้วอย่าง เช่น ChatGPT และ Midjourney
ซึ่งเทรนด์ธุรกิจขณะนี้ ต้องยกให้เป็นเวลาแห่ง AI ยุคใหม่ ที่ยังมีการพัฒนารวดเร็วแบบก้าวกระโดด และนับวันก็ยิ่งเพิ่มการทำงานที่มีความซับซ้อนมากขึ้น จากการที่เราอาจได้เห็นข่าวเกี่ยวกับงานศิลปะ AI ที่ชนะรางวัล
ความสามารถด้านภาษา ทั้งบทสัมภาษณ์และการเขียนงานบทความ และเรื่องราวการพัฒนาของเอไอ ยังไม่จบแค่นั้น โดยเฉพาะความจำเป็นของการ Business Tranformation ของภาคธุรกิจที่ต้องตั้งรับให้ทัน หากไม่อยากตกขบวนบนโลกการค้า การลงทุน
คลิกอ่านบทความก่อนหน้า : AI Revolution 2023 : รับมือการปฏิวัติ เทคโนโลยี เมื่อโลกถูกล้อมด้วย ‘เอไอ’
บทความนี้ เรามีภาคต่อของพัฒนาการของเทคโนโลยีเอไอ ที่ยังไม่จบ และยังโตไม่หยุด เริ่มด้วยการพาคุณผู้อ่านย้อนกลับไปดูจุดเริ่มต้นของ AI ตามข้อมูลของ https://www.javatpoint.com/history-of-artificial-intelligence โดยจัดแบ่งเป็นช่วงปี 8 ช่วง ดังนี้
1)การเติบโตของปัญญาประดิษฐ์ ปี 1943- 1952 (พ.ศ. 2486-2495)
ปี 1943 ( พ.ศ. 2486) : เป็นปีที่มีผลงานชิ้นแรกที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นการทำงานของ AI ซึ่งเรียกว่าแบบจำลองของเซลล์ประสานเทียม ซึ่งดำเนินการโดย Warren McCulloch และ Walter Pitts
ปี 1949 (พ.ศ. 2492) : Donald Hebb แสดงกฎการปรับปรุงสำหรับการปรับเปลี่ยนความแรงของการเชื่อมต่อระหว่างเซลล์ประสาท กฎของเขาตอนนี้เรียกว่าการเรียนรู้แบบเฮ็บเบียน
ปี 1950 (พ.ศ. 2493) : Alan Turing ซึ่งเป็นนักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษและเป็นผู้บุกเบิกการเรียนรู้ของเครื่องในปี 1950 Alan Turing ตีพิมพ์ "Computing Machinery and Intelligence" ซึ่งเขาเสนอการทดสอบ แบบทดสอบสามารถตรวจสอบการ ความสามารถของเครื่องจักรในการแสดงพฤติกรรมที่ชาญฉลาดเทียบเท่ากับสติปัญญาของมนุษย์ ซึ่งเรียกว่าการทดสอบ Turing Test
2) กำเนิดคำว่าปัญญาประดิษฐ์ ปี 1952-1956 (พ.ศ.2495-2499)
ปี 1955 (พ.ศ. 2498) : Allen Newell และ Herbert A. Simon ได้สร้าง "โปรแกรมปัญญาประดิษฐ์โปรแกรมแรก" ซึ่งก็คือชื่อว่า "นักทฤษฎีตรรกวิทยา" โปรแกรมนี้ได้พิสูจน์ทฤษฎีบทคณิตศาสตร์ 38 จาก 52 และค้นหาสิ่งใหม่และอีกมากมาย
ปี 1956 (พ.ศ. 2499) : คำว่า " Artificial Intelligence " นำมาใช้ครั้งแรก โดย John McCarthy นักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ ชาวอเมริกัน ในการประชุม Dartmouth Conference เป็นครั้งแรกที่ประกาศเกียรติคุณให้ AI เป็นสาขาวิชาการ
ซึ่งในเวลานั้นภาษาคอมพิวเตอร์ระดับสูง เช่น FORTRAN, LISP หรือCOBOL ถูกคิดค้นขึ้นและความกระตือรือร้นที่มีต่อ AI ก็สูงมาก ในตอนนั้น
3) ปีทอง - ความกระตือรือร้น ในช่วงต้น ปี 1956-1974 ( พ.ศ. 2499-2517 )
ปี 1966 (พ.ศ. 2509) : นักวิจัยเน้นการพัฒนาอัลกอริทึม ที่สามารถแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ได้
4)The first AI winter ช่วงฤดูหนาว AI ครั้งแรกปี 1974-1980 (พ.ศ. 2517-2523)
ปี 1974-1980 (พ.ศ. 2517-2523) : ช่วงฤดูหนาว AI ครั้งแรก หรือ The first AI winter หมายถึงช่วงเวลาที่นักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ต้องรับมือกับการขาดแคลนเงินทุนจากรัฐบาลอย่างมากสำหรับการวิจัย ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวความสนใจในการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์ก็ลดลง
5) บูม AI ปี 1980-1987 ( พ.ศ. 2523-2530)
 
ปี 1980 (พ.ศ. 2523) : หลังจากฤดูหนาวของ AI ผ่านไป ก็กลับมาพร้อมกับ "ระบบผู้เชี่ยวชาญ" ระบบผู้เชี่ยวชาญถูกตั้งโปรแกรมไว้ว่า เลียนแบบความสามารถในการตัดสินใจของผู้เชี่ยวชาญที่เป็นมนุษย์และในปีนี้เองได้มีจัดการประชุมระดับชาติครั้งแรกของสมาคมปัญญาประดิษฐ์แห่งสหรัฐอเมริกา ขึ้นที่
มหาวิทยาลัยสแตมฟอร์ด
6) The Second Al Winter ช่วงฤดูหนาวของ AI ครั้งที่ 2 ปี 1987-1993 (พ.ศ.2530-2536)
 
ปี 1987-1993 (พ.ศ.2530-2536) : นับเป็นช่วงเวลาฤดูหนาว AI ครั้งที่ 2 เป็นอีกครั้งที่นักลงทุนและรัฐบาลหยุดให้ทุนสนับสนุนการวิจัย Al เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายสูงแต่ได้ผลไม่มีประสิทธิภาพ
7) การเกิดขึ้นของตัวแทนอัจฉริยะ ปี 1993-2011 (พ.ศ. 2536-2554)
 
ปี 1997 (พ.ศ.2540) : IBM Deep Blue เอาชนะแชมป์หมากรุกโลก Gary Kasparov และกลายเป็นคนแรกคอมพิวเตอร์เพื่อเอาชนะแชมป์หมากรุกโลกการเล่นเกม
 
ปี 2002 (พ.ศ. 2545) : เป็นครั้งแรกที่ Al เข้ามาในบ้านในรูปของ Roomba ซึ่งเป็นเครื่องดูดฝุ่น
 
ปี 2006 ( พ.ศ.2549) : Al เข้าสู่โลกของเทรนด์ธุรกิจ โดยบริษัทอย่าง Facebook, Twitter และ Netflix เริ่มใช้ AI
8) การเรียนรู้เชิงลึก ข้อมูลขนาดใหญ่ และปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป ปี 2011- Present (2554-ปัจจุบัน)
ปี 2011 ( พ.ศ. 2554) : วัตสันของ IBM ชนะ รายการตอบคำถามที่ต้องแก้ปัญหาที่ซับซ้อน โดยวัตสัน ได้พิสูจน์แล้วว่าสามารถเข้าใจภาษาธรรมชาติและสามารถแก้ปัญหายุ่งยากได้ และเป็นปีที่บริษัท แอปเปิล ได้นำ Siri เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของ IPhone s
ปี 2012 (พ.ศ. 2555) Google ได้เปิดตัวฟีเจอร์แอป Android "Google now" ซึ่งสามารถให้ข้อมูลแก่ผู้ใช้ซึ่งเป็นการทำนาย
ปี 2014 (พ.ศ. 2557) : Chatbot "Eugene Goostman" ชนะการแข่งขันที่มีชื่อเสียงใน "Turing Test"
ปี 2016 (พ.ศ. 2559) : บริษัทด้านเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่างไมโครซอฟท์ (Microsoft) ได้พัฒนาระบบ AI ชื่อว่า “Tay” ที่มีความสามารถในแชทพูดคุยกับผู้คนผ่านช่องทางออนไลน์ อย่าง Twitter
ปี 2018 (พ.ศ. 2561) : "Project Debater" จาก IBM โต้วาทีในหัวข้อที่ซับซ้อนกับนักโต้วาทีระดับปรมาจารย์สองคนและทำได้ดีมาก Google ได้สาธิตโปรแกรม Al "Duplex" ซึ่งเป็นผู้ช่วยเสมือน
AI 2 ประเภท
ในบทความดังกล่าวได้แบ่งประเภท AI เป็น 2 กลุ่ม คือ type-1 กลุ่มขึ้นอยู่กับความสามารถ (Capabilities) และ type- 2 กลุ่มขึ้นอยู่กับหน้าที่ (functionality)
สำหรับ AI ที่แบ่งตามความสามารถ Capabilities จะแบ่งย่อยเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่ม Narrow AI คุณลักษณะของ AI ประเภทนี้สามารถทำงานเฉพาะด้านด้วยความเฉลียวฉลาด ที่พบมากที่สุดและ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน Al คือ Narrow Al ในโลกของปัญญาประดิษฐ์ ไม่สามารถดำเนินการนอกเหนือขอบเขตหรือข้อจำกัด เนื่องจากได้รับการฝึกฝนสำหรับงานเฉพาะอย่างเดียวเท่านั้น
ดังนั้น จึงเป็นกลุ่มที่อ่อนแอที่สุด ยกตัวอย่างเช่น Apple Siri ทำงานด้วยฟังก์ชันที่กำหนดไว้ล่วงหน้าที่จำกัด หรืออย่าง Watson ของ IBM ซึ่งยังอยู่ภายใต้ Narrow Al เนื่องจากใช้แนวทางระบบผู้เชี่ยวชาญร่วมด้วย
ตัวอย่างของ Narrow Al เล่นหมากรุก ซื้อคำแนะนำบนเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ รถยนต์ไร้คนขับการรู้จำคำพูดและการรู้จำภาพ พอใจ แอป การเรียนรู้ของเครื่องและการประมวลผลภาษาธรรมชาติ
กลุ่ม General Al เป็นที่สามารถทำงานทางปัญญาได้อย่างมีประสิทธิภาพเหมือนมนุษย์ แนวคิดเบื้องหลังของ Al ในการสร้างระบบดังกล่าว อาจฉลาดกว่าและคิดได้เหมือนมนุษย์ด้วยตัวของมันเอง แต่ปัจจุบันยังไม่มีระบบนี้ที่สามารถทำงานใด ๆ ได้อย่างสมบูรณ์แบบในฐานะมนุษย์
แต่ขณะนี้ นักวิจัยทั่วโลกมุ่งความสนใจไปที่ธุรกิจนวัตกรรม การพัฒนาเครื่องจักรร่วมกับ General Al เกษตรกรรม เนื่องจากระบบที่มี Al ทั่วไปยังอยู่ในระหว่างการวิจัย และต้องใช้ความพยายามและเวลาอย่างมากในการพัฒนา ระบบของเอไอ ประเมิน
และ สุดท้ายคือ กลุ่ม Super AI : มีระดับความฉลาดของระบบที่เครื่องจักรสามารถเหนือความฉลาดของมนุษย์ได้ ทำงานได้ดีกว่ามนุษย์ที่มีคุณสมบัติทางปัญญา มีลักษณะสำคัญบางประการที่แข็งแกร่ง ได้แก่ ความสามารถในการคิด การให้เหตุผล ไขปริศนา ตัดสินใจ วางแผน เรียนรู้ และสื่อสารด้วยตัวเอง ซึ่งขณะนี้ นักวิจัยทั่วโลกมุ่งความสนใจไปที่การพัฒนาเครื่องจักรร่วมกับ General Al
ในส่วนปัญญาประดิษฐ์ Type 2 : ขึ้นอยู่กับฟังก์ชันการทำงาน ประกอบด้วย กลุ่ม Reactive Machines ระบบ Al ดังกล่าวไม่เก็บความทรงจำหรือประสบการณ์ในอดีตไว้สำหรับการกระทำในอนาคต แต่จะมุ่งเน้นไปที่สถานการณ์ปัจจุบันและตอบสนองตามการกระทำที่ดีที่สุดเท่านั้น ตัวอย่าง AI ประเภทนี้ เช่น ระบบ Deep Blue ของ IBM และ AlphaGo ของ Google เป็นต้น
กลุ่ม Limited Memory หรือแปลตรงตัว คือ หน่วยความจำจำกัด สามารถเก็บประสบการณ์ที่ผ่านมา หรือข้อมูลบางอย่างในช่วงเวลาสั้น ๆ ของการเล่นเกม เครื่องเหล่านี้สามารถใช้ข้อมูลที่เก็บไว้ในช่วงเวลาจำกัดเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น รถยนต์ไร้คนขับ (Self Driving Cars) เป็นหนึ่งในตัวอย่างที่ดีที่สุดของระบบหน่วยความจำจำกัด รถเหล่านี้สามารถเก็บรับสัญญาณได้ รถยนต์ใกล้เคียง ระยะทางของรถคันอื่น จำกัดความเร็ว และข้อมูลอื่น ๆ เพื่อนำทางบนถนน
กลุ่ม Theory of Mind ซึ่งจะเป็นกลุ่ม AI ที่เข้าใจอารมณ์ ผู้คน ความเชื่อของมนุษย์และสามารถโต้ตอบได้ คล้ายมนุษย์ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน Al ประเภทนี้ยังไม่ได้รับการพัฒนา แต่นักวิจัยกำลังใช้ความพยายามอย่างมากและปรับปรุงให้ดีขึ้น
และสุดท้าย กลุ่ม Self Awareness ซึ่งนับว่าเป็น อนาคตของปัญญาประดิษฐ์ ที่จะสามารถพัฒนาไปจนฉลาดล้ำ และมีความรู้สึกตัว ความรู้สึก และการตระหนักรู้ในตนเอง เครื่องจักรเหล่านี้จะฉลาดกว่าจิตใจมนุษย์ แต่ทว่า Self-Awareness Al ยังไม่มีอยู่จริงและเป็นแนวคิดสมมุติ
ตัวอย่างการนำ AI มาใช้
แน่นอนว่า 3 ธุรกิจแห่งอนาคต ที่จะได้ประโยชน์เต็ม ๆ จากการพัฒนาของ AI นั่นคือ ธุรกิจนวัตกรรม อย่างธุรกิจด้านยานพาหนะ เช่น ยานยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติไร้คนขับ และรถยนต์ไฟฟ้า EV หรือการพัฒนาโรงงานอัจฉริยะ ใช้หุ่นยนต์อัตโนมัติในการขับเคลื่อนการผลิต
และ ธุรกิจเฮลธ์แคร์, Health & Wellness AI จะช่วยวินิจฉัยโรคได้ตรงจุดมากขึ้น เพื่อให้เกิดความแม่นยำในการรักษา เชื่อว่าต่อไปเราอาจได้ใช้ AI ทำนายล่วงหน้าถึงโรคระบาดที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เพื่อเตือนภัยให้มนุษย์รับมืออย่างทันท่วงที
แต่ไม่เพียงเท่านั้น การพัฒนาต่อเนื่องของ AI ในปัจจุบัน ทำให้มีองค์กรธุรกิจชั้นนำ Business Transformation ด้วยการนำ AI มาใช้ดำเนินงานอย่างจริงจัง
ยกตัวอย่างเช่น Alibaba เรียกได้ว่า เป็นหนึ่งในองค์กรต้นแบบที่พัฒนาระบบ AI มีหุ่นยนต์สำหรับช่วยขนส่ง 200 ตัวในคลังสินค้า
มีระบบการจัดการที่สามารถจัดส่งสินค้าได้อย่างแม่นยำ พร้อมจัดส่งสินค้าได้กว่า 1 ล้านชิ้นต่อวัน ทำให้คนส่วนใหญ่ได้รับสินค้าภายใน 24 ชั่วโมง
ขณะที่ Netflix ธุรกิจสตรีมมิ่งออนไลน์ ที่มีสมาชิกเกือบ 200 ประเทศ ยังใช้ AI ในการวิเคราะห์ความนิยมของลูกค้าจากพฤติกรรมข้อมูลการเข้าชม เพื่อทำการตลาด ช่วยให้ลูกค้าที่เข้าชมจะได้รับการนำเสนอโฆษณาหนัง หรือ คอนเท็นต์ในแบบถูกจริต
หรือสายการบิน Qantas Airline ประเทศออสเตรเลีย ที่นำระบบนี้มาใช้ให้บริการลูกค้าเพื่อสร้างประสบการณ์ที่ไร้รอยต่อในทุกขั้นตอนการเดินทาง
ตั้งแต่การเริ่มใช้บริการ ที่มีบริการระบุเลยว่า ลูกค้าต้องไปเช็คอินที่ไหน เวลาไหน ควรออกจากสนามบินอย่างไร และยังเชื่อมต่อสู่บริการที่ใกล้เคียงกันอย่าง เช่นรถ หรือธุรกิจ
ธุรกิจเครื่องดื่มชั้นนำ เช่น Starbucks ที่มีการพัฒนาระบบการให้บริการจดจำเมนูโปรดของลูกค้า หรือการให้ลูกค้าสามารถสั่งเครื่องดื่มผ่านมือถือได้
ธุรกิจแฟชั่น เช่น แบรนด์ดังอย่าง Burberry ที่ใช้ระบบการจดจำรูปภาพเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา
หรือ Nike ให้ลูกค้าสามารถออกแบบรองเท้าตัวอย่างได้ หรือ North Face ที่อัพเกรดบริการแนะนำสินค้าที่เหมาะสมสำหรับลูกค้าที่ต้องการอุปกรณ์กลางแจ้ง เพียงแค่ระบุสถานที่ที่จะไป และตอบคำถามเพื่อให้ข้อมูลเพียงไม่กี่ข้อ เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังมี บริษัท โคคา-โคลา, เป๊ปซี่ โคลา, อิเกีย ที่ได้นำเอไอไปปรับใช้กับระบบคัดกรองคนเข้าทำงาน (HR) เช่นเดียวกัน
การมาของ ChatGPT
และล่าสุดตอนนี้ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า AI กำลังมาแรงแห่งยุค คือ Chat GPT ถูกพูดถึงในทุกวงการ ปัจจุบันเอไอผู้สร้างสามารถทำงานที่ซับซ้อนกว่านั้นได้มากขึ้น
ฟังก์ชันของ ChatGPT สามารถตอบคำถาม เขียนเรียงความ เขียนใบสมัครงาน ตอบคำถามลูกค้า แต่งเพลง สร้างบทละคร ไปจนถึงการเขียนโปรแกรม
ChatGPT แสดงให้เห็นว่า AI ทรงพลังแค่ไหนและเตือนว่าการปฏิวัติมาถึงแล้ว
AI จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการเขย่าโลก เปลี่ยนแลนด์สเคปทุกอย่างของโครงสร้างอุตสาหกรรม, ภาคเศรษฐกิจ, ภาคธุรกิจและสังคม
มัชฌิมา จันทร์สว่างภูวนะ (2566) ระบุว่า แม้ว่าสถานการณ์การแข่งขันดุเดือดของบิ๊กเทค จะเป็นเรื่องปกติ แต่นานทีปีหนจะเห็นการปะทะเดือด อย่างกูเกิล และ ไมโครซอฟท์ เปิดหน้าชนในสงคราม AI หลังจากการเปิดตัว ChatGPT ของ OpenAI เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2565 ซึ่งมีไมโครซอฟท์เป็นนายทุนหลัก
ปี 2561 ทำให้มีการคาดการณ์ว่าไมโครซอฟท์ จะฉวยโอกาสนี้ ผนวกระบบ Large language models ของแชตบอตนี้เข้ากับบริการต่าง ๆ เช่น เสิร์ชเอ็นจิ้น และคลาวด์คอมพิวติ้ง เพื่อขึ้นแท่นผู้นำเอไอของวงการ
แต่ทว่า ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะแน่นอนว่า “กูเกิล” เจ้าตลาดที่ครองมาร์เก็ตแชร์ 84.08% หรือคิดเป็นรายได้ 2.2 แสนล้านเหรียญสหรัฐในปี 2565 จะต้องทำงานอย่างหนักเพื่อป้องกันการปาดหน้าเค้ก
โดยประเดิมด้วยการเปิดตัว Bard แชตบอตตัวใหม่ของกูเกิล ที่ชูจุดแข็งว่าเป็นบริการที่นำเสนอข้อมูลที่มีคุณภาพ และสดใหม่ จากความสามารถในการเข้าถึงข้อมูลอัพเดตต่าง ๆ บนอินเทอร์เน็ต ทั้งยังมีความฉลาดในการอธิบายเรื่องวิทยาศาสตร์ของนาซ่าให้เด็ก 9 ขวบอ่านรู้เรื่อง
ซึ่งเป้าหมายทั้งหมดทั้งมวลเพื่อกอบกู้สถานการณ์ และตัดหน้าไมโครซอฟท์ที่เตรียมจะเปิดตัว Bing เทคโนโลยีใหม่ที่ใช้ระบบ Large language model และเป็นมากกว่าเครื่องมือค้นหาข้อมูล
เพราะตอบคำถามและโต้ตอบกับมนุษย์ได้อย่างฉับไว เหมือน ChatGPT แบบ Built in ในตัว เช่น สามารถใช้ค้นหาทีวีเครื่องใหม่ และมีหน้าต่างแชต ถามข้อมูลเทียบรุ่นเทียบราคาได้ หรือช่วยทำโปรแกรมการเดินทางท่องเที่ยวให้มนุษย์ได้ ช่วยร่างและอีเมล์ถึงเพื่อนร่วมทริป และแจ้งเตือนการเดินทางต่าง ๆ ได้อีกด้วย
ทั้งนี้ Bing จะทำงานร่วมกับโคไพรอต คือ Microsoft Edge เพื่อขับเคลื่อนเป้าหมายสร้างรายได้ให้ไมโครซอฟท์เติบโต จาก 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็น 20,000 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปีนั่นเอง
จากนั้น ต้องติดตาม Bard และ Bing ที่กำลังจะเปิดตัวให้ใช้คนทั่วไปได้มีโอกาสใช้ในอีกไม่กี่สัปดาห์นี้ และยังต้องจับตาดูว่า เอไอ จะพัฒนาไปได้ไกลแค่ไหน แล้วในส่วนของภาคธุรกิจ รวมถึงประเทศไทย...จะไปทางไหนกับการปรับใช้เอไออย่างไรให้เพื่อตามทันให้ทันโลก
ติดตามความเคลื่อนไหวของ Mega trend ที่ส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงบนโลก และ การปรับสู่ Business Transformation เพื่อตามให้ทันทุกเทรนด์ของธุรกิจและเทคโนโลยี ที่ Bangkok Bank SME ในบทความตอนหน้า
โฆษณา