19 ก.พ. 2023 เวลา 13:12 • ความคิดเห็น
เอาของคนแก่ สมัยปู่ย่าตาทวด สมัยก่อน พระเดินบิณฑบาต ตามถนน ทางดิน พระท่านออกบิณฑบาตเมื่อเห็นใบไม้ชัดเจน ยายก็เอาข้าวใสขัน กับช้าวเล็กน้อย ตักใส่บาตร ก่อนใส่บาตร ก็นั่งจบอธิษฐาน ถวายพระก่อน เมื่อพระมาจึงเอาไปใส่บาตร
ส่วนเราเอง ไม่ค่อยได้มีเวลา ใส่บาตร แต่พระที่เราเคารพ บอกว่า ข้าวของปัจจัยที่อยู่กับมือเรา .เราก็เอามากล่าว น้อมนำถวายพระพุทธเจ้า ขอมอบเมนประเคนขาด ไว้ในศาสนาบำรุงศาสนาขององค์พระสัมมาสัมพุทเจ้า แล้วเราก็กรวดน้ำ อุทิศส่วนกุศล โดยขอพระธรรมคำสั่งสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า โปรดนำบุญกุศลนี้ อุทิศให้แก่คุณบิดามารดา ผู้อุปการะ อุปถัมภ์ เจ้ากรรมนายเวลา อุทิศลงไปสู่หม้อนรกด้วย . (จิตเราไม่มีกำลัง เราก็ขอพระธรรม ท่านนำกุศลอุปทิศให้)
เมื่อพระมา เราก็นำของนั่นไปใส่บาตร นึกถึงจิตข้าพเจ้าอาศัยอยู่ในธาตุทั้งสองของคุณบิดามารดา ข้าพเจ้าขอนำกายบิดามารดา มาสร้างบุญกุศล ให้กายบิดามารดาอนุโมทนา ระหว่างที่ใส่บาตร ให้ตาเพ่งมาที่มือทั้งสองข้าง ที่กำลังหยิบของใส่บาตร เพื่อให้ตาบันทึก การกระทำของเรา ที่จะเก็บไว้เป็นหลักฐาน ว่าเราได้นำกายพ่อแม่มาสร้างบุญกุศล กับผ้ากาสาวพัสตร์ ที่เป็นเครื่องหมายของธรรม ..ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ใ้ห้เราคิดไปในทางที่สูงๆที่ดีงาม เพื่อที่จิตเราจะได้มีบุญกุศล แล้วเราก็ไม่ไปติดยึดในตัวบุคคล ..ที่ครองผ้ากาสาวพัสตร์ ..เราถวายเสร็จ ก็ตัดขาด หลุดจากมือเราไปแล้ว เวลาทำบุญ ก็อย่าไปอธิษฐานให้ร่ำรวย เงินทอง เพราะนั่นมันกรรม นั่นความโลภน่ะ เราอยากได้กรรมมากๆ มันเป็นสีดำ ไม่ได้ทำด้วยใจบริสุทธิ์ เกิดเป็นอกุศลกรรม สีดำๆ เพิ่มขึ้นไปอีก แล้วบุญกุศลนั่นก็ไปไม่ถึง ผู้ที่เราจะอุทิศให้เค้าเพราะเราเห็นแก่ตัว อยากเอาคืน ..นึกแค่ในชาติปัจจุบัน ไม่ไปนึกถึงชาติหน้าที่ต้องการบุญกุศลมาหนุนนำจิต ..
เมื่อกรวดน้ำเสร็จ เราก็กล่าว บอกว่า ข้าพเจ้าปรารถนาขอบรรลุมรรค ๔ ผล ๔ พระนิพาน ๑ นั่นเป็นเรื่องที่เราจะได้อธิษฐานเก็บไว้กับจิต เพราะจิตเราต้องเดินทางยาวไกล กว่าจะไปถึงที่สุดของพระศาสนา ..
เรื่องของการอธิษฐาน นั่นมันมีความสำคัญ หากเราไม่ตั้งใจทำ ..หรือไม่เห็นความสำคัญ ..บุญของตัวเองแท้ๆ จะไขว่คว้า ..ยังไม่ตั้งใจทำ มันก็จะไม่เกิดเป็นบุญเลย อย่าไปทำแบบเร่งรีบ เหวี่ยงให้จบไปที่ รีบร้อน..ทั้งกายวาจาใจ ลุกลี้ลุกลน นั่นไม่ใช่กิริยาของผู้ที่จะมีบุญเลย ..
โฆษณา