กำแพงกันคลื่น เวิร์คจริงไหม ?
ในขณะที่ต่างประเทศลงทุนเป็นพันล้านเพื่อถมทรายสร้างชายหาด แต่ประเทศไทยที่ขึ้นชื่อเรื่องชายหาดกลับกำลังจะกลายเป็นเพียงตำนานด้วย ‘กำแพงกันคลื่น’
ภาพของชายหาดนุ่ม ๆ น่านั่งเล่น มีปูลม มีเรือชาวประมงจอด นักท่องเที่ยวต่างก็อยากมาสัมผัสด้วยตัวเองสักครั้ง แต่หาดทรายก็ทยอยกลายเป็นกำแพงกันคลื่นในเวลาเพียงไม่กี่ปี
กำแพงกันคลื่น คือ โครงสร้างแข็งที่ทำไปเพื่อป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง เรามักเห็นเป็นขั้นบันไดปูน กำแพงปูนตามชายฝั่ง ส่วนใหญ่ใช้กับชายฝั่งที่มีการกัดเซาะรุนแรง
👉🏻ถ้าอย่างนั้น กำแพงกันคลื่นก็ดีน่ะสิ…?
คำตอบคือ ไม่ได้ดีกับทุกที่และทุกคน !
โพสต์นี้จะพาไปดูว่ากำแพงกันคลื่นจะส่งผลอะไรกับชายหาดทรายนุ่มๆ ของเราได้บ้าง
เล่าและเรียบเรียงโดย Refield Lab ไปติดตามอ่านเรื่องราว Landscape แบบดีพ ๆ กันต่อในเพจ https://www.facebook.com/RefieldLabTH ได้เลย
👀 หาดหาย
เจ้ากำแพงกันคลื่นทำหน้าที่รักษาชายฝั่งให้คงตัว แต่ก็เป็นตัวสะท้อนคลื่นอย่างดีด้วย จังหวะที่คลื่นซัดมาชนนี่แหละ ที่ดันพาเอาหาดทรายหายไปด้วย
ปกติแล้วคลื่นที่ซัดเข้าหาชายฝั่งจะถูกซับความรุนแรงด้วยพื้นทรายนุ่ม ๆ และสโลปลาดเอียงของชายฝั่ง จนหมดแรงและม้วนตัวกลับลงทะเลไป
แต่กำแพงกันคลื่นเป็นปูนและตั้งเป็นแนว ทำให้ความแรงของคลื่นพุ่งลงด้านล่างควักทรายกลับลงทะเลไป (Scouring)
และยังพุ่งขึ้นด้านบนกำแพง สาดกระเซ็นขึ้นบนกำแพง (Overtopping) ให้ใครต่อใครแถวนั้นต้องเปียก ทั้งยังขังอยู่หลังกำแพงพาให้ตะไคร่ขึ้น
กลายเป็นว่าหาดก็หาย แถมตะไคร่ให้ด้วย…
🦀 สัตว์ริมชายฝั่งไร้บ้านอยู่
เมื่อกำแพงมาแทนที่หาด สัตว์ที่อาศัยอยู่ตามพื้นหาดก็ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ ถือเป็นการทำลายระบบนิเวศชายฝั่งอย่างรุนแรง
ปู หอย นกชายทะเล หรือ สัตว์อื่น ๆ ที่เราอาจมองไม่เห็น อย่างตัวอ่อนของสัตว์ทะเลที่ต้องพึ่งพาชายหาดเพื่อเก็บเกี่ยวสารอาหารจากกระแสน้ำ ล้วนมีบทบาทในระบบนิเวศชายฝั่งและความอุดมสมบูรณ์ของทะเลไทย
แล้วเจ้าปูลม ปูเสฉวนจะอยู่ยังไง ถ้าไม่มีหาด!
🌧 ฝนตก น้ำขัง ไหลไม่ได้
ขอบสันกำแพงกันคลื่นทำให้การระบายน้ำลงทะเลช้าลง เมื่อคลื่นสาดซัดขึ้นมาหรือฝนตกปรอยๆ น้ำจะขังเอ่อนอง อยู่บริเวณหลังกำแพงเพราะไม่มีทางจะไหลลงทะเลได้
กลายเป็นว่ากำแพงกันคลื่นได้กันน้ำฝนไม่ให้ไหลออกจากแผ่นดินลงสู่ทะเลเสียอย่างนั้น
💸 เศรษฐกิจท้องถิ่นหายเรียบ
เมื่อชายหาดสูญหาย จุดดึงดูดการท่องเที่ยวก็หายตาม แหล่งพักผ่อนหย่อนใจของคนในพื้นที่ก็หายไปด้วย ใครจะอยากมาเดินท้าทายคลื่นกระแทก น้ำขังนอง เมื่อไม่มีนักท่องเที่ยว การค้าขายก็อยู่ไม่ได้
นอกจากนี้ชายหาดยังเกี่ยวข้องกับการประมงท้องถิ่นโดยตรง นอกจากว่าสัตว์ทะเลจะหายแล้ว การไม่มีชายหาดอาจหมายถึงการไม่มีที่จอดเรือ ทำให้ต้องไปเช่าท่าจอดเรือแทน
รายได้ลดแล้วยังต้องเสียเงินเพิ่มอีก (แล้วใครได้ประโยชน์กันแน่นะ)
😰 เสียทั้งเงิน เสียทั้งหาดแล้ว มันต้องป้องกันคลื่นได้สิ?
คำตอบก็คือ ‘ไม่’
เมื่อเกิดการทำกำแพงกันคลื่น การซัดคลื่นเข้าฝั่งจะผิดปกติไป นอกจากแรงกระแทกล่าง-บน (Scouring และ Overtopping) คลื่นยังกระจายแรงไปด้านข้างด้วย ทำให้เกิดการกัดเซาะหาดข้างๆ ส่วนที่ไม่มีกำแพงนั่นเอง
จากการสำรวจภาพถ่ายทางอากาศพบว่า เมื่อเราเริ่มทำกำแพงกันคลื่นสักจุดหนึ่งแล้ว เราก็จะต้องทำต่อเนื่องไปเรื่อยๆ เพราะหาดด้านข้างจะถูกกัดเซาะไปเรื่อย ๆ
ยิ่งทำยิ่งพัง เหมือนโดมิโนที่ล้มลงสร้างความเสียหายไปเรื่อย ๆ
🌊 วิธีแก้ที่เรียบง่ายแต่ได้ผล
การสร้างกำแพงกันคลื่นมีงบประมาณสูงและมีผลกระทบมาก จึงจำเป็นต้องมีการประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม (EIA) และชุมชนก่อน แต่เมื่อการประเมินผลกระทบถูกยกเลิกไป จึงไม่มีอะไรหยุดกำแพงกันคลื่นได้
ปกติแล้วทรายจะมีการหมุนเวียนตามฤดูกาลตามทิศทางกระแสลมและกระแสน้ำ ทำให้บางครั้งหาดดูเหมือนจะสั้นลง แต่เมื่อถึงฤดูมรสุมคลื่นก็จะค่อย ๆ พัดพาทรายกลับมาเอง
แต่หากทรายจากไปไม่กลับมา นั่นแสดงว่าทรายต้องไปถูกกักอยู่ที่ไหนสักแห่ง ซึ่งส่วนใหญ่มักถูกกักอยู่ตามสิ่งก่อสร้างที่ยื่นลงไปในทะเล วิธีแก้คือสำรวจและเคลื่อนย้ายสิ่งกีดขวางออกไป
หรือในบางกรณี เราก็ช่วยหาดสะสมทรายได้
ยกตัวอย่าง ‘การปักไม้’ ของ อ.ศักดิ์อนันต์ ปลาทอง ที่ได้ทำการทดลองปักไม้ไผ่เป็นแนวตามชายหาด ฟื้นฟูชายหาดกลับมาได้ ก่อนจะสายเกินแก้
แต่วิธีการง่าย ๆ แบบนี้คงไม่ตอบโจทย์นักหรอก เพราะเขียนของบประมาณได้ไม่มากพอ
source:
#ARTof #ARTofPlace #กำแพงกันคลื่น #หาดหาย
―
เติมความคิดสร้างสรรค์แบบย่อยง่ายจาก Art of ได้ที่
- Twitter: https://twitter.com/artofth
- TikTok: https://tiktok.com/@artofth
- Youtube: http://youtube.com/@artofth
- 7
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2025 Blockdit
