28 ก.พ. 2023 เวลา 23:26 • ปรัชญา

“ งานที่แท้จริงของเรา “

พวกเราถูกความหลงหลอกให้ทุ่มเทชีวิตจิตใจ กับการดูแลรักษาร่างกาย ไม่ให้สนใจกับการดูแลรักษาใจ
ถ้าสนใจดูแลรักษาใจก็ต้องทำงาน ๓ ชิ้นนี้คือ ทำบุญให้ทาน รักษาศีล แล้วก็ภาวนา ภาวนาก็มี ๒ ขั้นคือ สมาธิและปัญญา สมาธิและปัญญาจะเกิดได้ก็ต้องมีสติ ต้องเจริญสติก่อน เจริญสติเพื่อควบคุมความคิดปรุงแต่งของใจให้สงบตัวลง ถ้าความคิดปรุงแต่งไม่สงบตัวลง ใจก็จะไม่เป็นสมาธิ จะไม่นิ่ง จะไม่สงบ ดังนั้นถ้าจะภาวนา เรื่องแรกที่ต้องทำก็คือสติ ที่นั่งสมาธิกันแล้วไม่ได้ผลก็เพราะไม่มีสติ เหมือนเด็กที่ยังเดินไม่ได้จะวิ่งได้อย่างไร ก่อนที่จะเดินได้จะวิ่งได้ก็ต้องยืนให้ได้เสียก่อน
ตอนนี้กำลังคลานอยู่ ปุถุชนเป็นเหมือนเด็กที่ยังคลานอยู่ ยังทำสมาธิไม่ได้ ยังเดินไม่ได้ ยังวิ่งไม่ได้ ถ้าปัญญานี้ขั้นวิ่งแล้ว ถ้าเดินก็ขั้นสมาธิ ยืนก็คือสติ ดังนั้นก่อนที่จะนั่งสมาธิให้ได้ผลจริงๆ ต้องเจริญสติให้มากๆ ให้สติมีกำลังที่จะดึงใจให้อยู่ในปัจจุบัน
ให้หยุดความคิดปรุงแต่ง ให้รู้เฉยๆ ให้รู้อยู่กับการกระทำของร่างกาย ร่างกายกำลังทำอะไรอยู่ ก็ให้รู้ว่ากำลังทำเรื่องนั้นอย่างเดียว ไม่ต้องไปคิดเรื่องอื่น กำลังรับประทานอาหาร ก็ให้รู้ว่ากำลังรับประทานอาหาร กำลังอาบน้ำกำลังแต่งตัว กำลังทำงานอะไรก็ตาม ให้รู้อยู่กับงานนั้น ไม่ให้ไปคิดเรื่องอื่น ไม่ให้ไปคิดเรื่องใกล้เรื่องไกล เรื่องคนนั้นเรื่องคนนี้ เรื่องอดีตเรื่องอนาคต
ถ้ายังห้ามความคิดปรุงแต่งไม่ได้ แสดงว่าสติไม่มีกำลัง ที่จะดึงให้อยู่กับการทำงานของร่างกาย ก็ต้องอาศัยการบริกรรมไป บริกรรมพุทโธๆไป ไม่ว่าจะทำอะไรก็พุทโธๆไป อย่าไปคิดเรื่องนั้นคิดเรื่องนี้ ยกเว้นถ้าจำเป็นจะต้องคิดจริงๆ เช่นวันนี้จะต้องไปทำอะไร จะต้องไปพบกับใครเวลาใด ก็คิดเตรียมตัวเอาไว้ก่อน
ในขณะที่คิดก็ควรจะนั่งเฉยๆ หรือยืนเฉยๆ ไม่ควรทำอะไร ทำทีละอย่าง ให้ใจอยู่กับงานอย่างเดียว ถ้าคิดก็ยืนหรือนั่งเฉยๆ คิดให้พอ พอคิดเสร็จเรียบร้อยแล้วก็กลับมาทำงานที่ต้องทำต่อ เช่นเตรียมตัวไปทำงาน อาบน้ำก็ให้อยู่กับการอาบน้ำ ถ้าไม่ยอมอยู่ก็ต้องบริกรรมพุทโธๆไป แล้วก็อาบน้ำไป พุทโธๆไปอาบน้ำไป แต่งตัวก็พุทโธๆไป รับประทานอาหารก็พุทโธๆไป ออกจากบ้านก็พุทโธๆไป พุทโธๆไปเรื่อยๆ ดึงใจเอาไว้ อย่าแวบไปหาเรื่องนั้นเรื่องนี้ ไม่เกิดประโยชน์อะไร เพราะจะทำให้ใจไม่นิ่ง จะทำให้ใจฟุ้งซ่านได้
พอมีเวลาว่างก็หามุมสงบ นั่งหลับตา จะบริกรรมพุทโธหรือจะดูลมหายใจก็ได้ ไม่นานใจก็จะรวมลง เข้าสู่ความสงบ พอได้พบกับความสงบแล้ว จะรู้ว่านี่แหละคือความสุขที่แท้จริง อยู่ตรงนี้เอง ไม่ได้อยู่ที่การได้เงินได้ทองมามากมายก่ายกอง ไม่ได้อยู่ที่เป็นใหญ่เป็นโต ไม่ได้อยู่ที่การได้รับการยกย่องสรรเสริญเยินยอ ไม่ได้อยู่ที่รูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะชนิดต่างๆ แต่อยู่ที่ความสงบ ที่เกิดจากการเจริญสติ แล้วก็นั่งสมาธินี่เอง
ถ้าจิตรวมลงเต็มที่แล้ว ก็จะไม่อยากได้อะไร ออกจากสมาธิมาก็อยากจะได้ความสุขแบบนี้อีก ก็จะเพียรเจริญสติต่อไป แล้วก็เพียรนั่งสมาธิต่อไป จนสามารถนั่งสมาธิได้มากขึ้นไปเรื่อยๆ จนไม่อยากจะทำอะไรเลย
ก็อาจจะลาออกจากงาน ตัดภารกิจที่ไม่สำคัญไม่จำเป็นออกไป ดูแลเพียงร่างกาย ถ้าบวชได้ก็บวชเลย แล้วก็มาบำเพ็ญภาวนาต่อ ถ้าได้สมาธิแล้วก็จะมีบาทมีฐาน สำหรับการเจริญปัญญาต่อไป เพราะถ้าไม่มีสมาธิแล้วมาเจริญปัญญา จะมีอารมณ์ที่ไม่ดีมาคอยขัดขวาง เพราะการพิจารณาทางปัญญานี้ ต้องพิจารณาเรื่องความแก่ความเจ็บความตาย ความไม่เที่ยงแท้แน่นอน ซึ่งถ้าใจไม่สงบ จะเกิดอารมณ์หดหู่ ไม่สบายอกไม่สบายใจขึ้นมา จะไม่อยากพิจารณา
 
“นี่คืองานของเราที่แท้จริง คืองานภาวนา รักษาศีล ทำบุญให้ทาน”.
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี
กำลังใจ ๕๖ กัณฑ์ที่ ๔๓๕
๒๙ มกราคม ๒๕๕๕
โฆษณา