3 มี.ค. 2023 เวลา 12:39 • นิยาย เรื่องสั้น

เรื่องสั้น : ปฏิญาณวันวิวาห์

ผมแอบชำเลืองมองไปทางห้องโถง เห็นเหล่าออการ์ไนเซอร์วิ่งกันวุ่นวายไปทั่ว บ้างก็ยังจัดดอกไม้แถวหน้าเวที บ้างก็ยังง่วนกับการจัดเค้กปลอมสูงห้าชั้นที่ภายในกลวงเปล่า มันน่าจะเรียกว่าก้อนโฟมฉาบครีมชุ่มไขมันน่าจะเหมาะกว่า
1
ไม่ต้องห่วงเรื่องชีวิตหลังแต่งงานของบ่าวสาวจากท่าทางการตัดเค้กหรอก ห่วงไขมันในเลือดแขกดีกว่าถ้าได้กินเค้กนี่เข้าไปจริงๆ
ภาพโดย Kira จาก Pixabay
เหล่าสตาฟยังวิ่งกันควั่ก งานดูน่าจะพร้อมที่สุดในอีกไม่กี่นาที แต่ที่น่ากังวลคือผมยังไม่พร้อมจริงๆ ไม่พร้อมสำหรับเรื่องไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นก่อนหน้าไม่กี่นาทีก่อน
เหงื่อที่ผุดพรายบนหน้าผากและชุ่มเต็มฝ่ามือที่สั่นระริกเป็นตัวบ่งบอกที่ดี แม้ไม่มีใครเห็น แต่ร่างกายกลับไม่โอนอ่อนมันพยายามฟ้องออกไปอย่างไม่อาจควบคุม
ผมเดินกลับเข้าไปในห้องแต่งตัวที่ทางโรงแรมจัดไว้ให้
"อ้าว เจ้าสาวอยู่ไหนแล้วคร้า คุณเจ้าบ่าว เดี้ยนจะแต่งหน้าไม่ทันนะคะ โอย มาให้แต่งสิบนาทีก่อนแขกมาไม่ทันนะคะ" ช่างแต่งหน้าที่นั่งกรีดนิ้วเขี่ยโทรศัพท์ในมือพูดกับผมแบบไม่หันมามองหน้าด้วยซ้ำ
"ครับ เดี๋ยวผมรีบตามเขามานะครับ สักครู่ครับ เขาคงไปรับชุดแล้วรถคงติดน่ะครับ" ผมพูดแก้ขัดแต่ในมือกำหมัดแน่น แต่ช่างคนนั้นคงไม่สังเกตเห็นหรอกถ้ายังมัวงมกับหน้าจอตรงหน้าแบบนั้น
ผมเดินออกจากห้องแต่งตัว ปิดประตูโครมแล้วหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วโทรออก
"เจอไหม"
"ยังไม่เจอเลยพี่" ปลายสายตอบกลับ พร้อมเสียงหอบหายใจตามท้ายมาติดๆ
"มึงถามดูดีๆ แล้วโทรมาถ้าได้เรื่อง ให้ไวเข้าใจไหม" สิ้นเสียงผมรีบกดวางแล้วเก็บโทรศีพท์ก่อนหันมองรอบๆ เพื่อความมั่นใจว่าไม่มีใครอยู่แล้วนั้นแล้วพาลมาได้ยินเข้า
ภาพโดย Mimzy จาก Pixabay
"เจ้าสาวหายวันแต่ง ใครรู้อายเขาฉิบหาย" ผมบดกรามแน่นตอนนึกในใจ
"เชี้ย" ผมสบถเบาๆ ตอนเห็นขบวนขันหมากเริ่มมารวมตัวกันตรงถนนข้างสวนตรงข้ามห้องจัดงาน ผมรีบเดินไปก่อนที่อะไรจะสายไปกว่านี้
พอลงไปด้านล่างเจอพ่อกับแม่ของเธอยืนต้อนรับแขกอยู่แถวหน้าประตูทางเข้า ผมขยับเนคไทคลายออกเพราะตอนนี้มันเหมือนกำลังรัดคอผมแน่นแทบขาดใจ
"พ่อครับ แม่ครับ เอ่อ.." ผมตะกุกตะกักพูดไม่เป็นคำ
"ว่าไงลูก มีเรื่องอะไรรึเปล่า ทำไมทำหนัาอย่างนั้น" แม่ของเธอหันมา คิ้วขมวดในทันทีที่เห็นหน้าผม
"ลิล เขาหายไม่ไหนไม่ทราบครับ ยังไม่มาแต่งตัวเลย" ผมยื่นหน้าไปกระซิบข้างหูคุณแม่เบาๆ
"อะไรนะ น้องไปไหน โอย ตายแล้ว ตายๆๆ" คุณแม่ร้องโวยวายทั้งที่ผมอุตส่าห์พยายามให้มันเงียบเชียบที่สุดแล้วเชียว
แล้วทุกคนก็ไปอัดกันแน่นในห้องแต่งตัว ที่ช่างแต่งหน้าถูกไล่ตะเพิดออกไปแล้ว เพราะไม่มีประโยชน์ที่จะนั่งหัวโด่อยู่ต่อไปในที่ที่ตัวเองไร้ประโยชน์อีกแล้วในเวลานี้
"โทรตามแล้วเหรอ" พ่อเธอพูดเสียงเข้มหน้าออกอาการกังวลเห็นได้ชัด
"เฉพาะผม ห้าสิบสายได้ครับ แต่เธอไม่รับ ให้เพื่อนเธอช่วยโทรหาก็ไม่รับ ตอนนี้ปิดเครื่องไปแล้วครับ"
"แล้วไปดูที่คอนโดรึยังลูก น้องหายไปไหน ลิล ทำไมทำอะไรแบบนี้ โอยจะบ้าตาย" คุณแม่ทำท่าจะเป็นลมตลอดเวลา มีคุณอาสมรน้องของพ่อเธอคอยอัดยาดมเข้าจมูกพร้อมพัดวีอยู่ไม่ห่าง
"ให้ลูกน้องไปดูแล้วครับ เธอไม่อยู่" ผมยังนั่งคอตกอยู่บนเตียงที่ผ้าปูตอนนี้ยู่ย่นไปหมด
"มีอะไรกันรึเปล่า จู่ๆ น้องคงไม่หายไปดื้อๆ หรอกนะ ทศ" พ่อยังคงทำเสียงเข้มไม่ผิดจากวันแรกที่ผมได้พบที่บ้านของเธอ
บ้านไม้สองชั้นค่อนไปทางโทรม ผิดกับท่าทางและการแต่งตัวของเธอที่มักจะติดหรูดูแพงอยู่ตลอดเวลา พ่อกับแม่เธอดูเป็นคนธรรมดาออกจะถือตัวเสียด้วยซ้ำ แทบจะไม่ยกมือรับไหว้ผมในครั้งที่เจอกันวันแรก
พ่อเธอเป็นทหาร แม่เป็นข้าราชการท้องถิ่น อันที่จริงผมก็ไม่ได้ติดใจอะไร เพราะตอนน้้นผมยังเป็นแค่หัวหน้าแผนกควบคุณภาพของโรงผลิตชิ้นส่วนรถยนต์เงินเดือนไม่กี่หมื่นในวัยสี่สิบก็ออกจะนับว่ากระจอกก็คงพูดได้ พ่อแม่เธอคงตั้งแง่ผมเรื่องความห่างของอายุด้วยกระมัง
"อย่าบอกนะว่าเจอกันร้านเหล้า" พ่อพูดเสียงเข้มแต่ตามองไปทางอื่นที่ไม่ใช่หน้าผม
"พ่อ..ก็" เธอส่งเสียงขึ้นตัดบท แล้วเอียงหน้าไปกระซิบข้างหูพ่อเธออยู่สักพัก
"คบกันก็ต้องจริงจังรู้ไหม พ่อไม่ชอบพวกฉาบฉวย" คราวนี้แกทำเสียงขรึมแต่ดูอ่อนลงแล้วมองหน้าผมด้วยแววตาเปื้อนยิ้ม
ผมมารู้ทีหลังว่าเธอแอบกระซิบเล่าถึงอาชีพเสริมที่เป็นนักลงทุนที่มีมูลค่าพอร์ตราวสิบล้าน ผมจึงได้รู้ว่าพลังอำนาจของเงินมันรุนแรงไม่เคยเปลี่ยน
"พ่อขอสินสอดสองล้าน รถอีกคัน แล้วก็ทองแท่งห้าสิบบาท" เธอทำเสียงออดอ้อนตอนที่กอดเอวผมไว้แน่นบนเตียงหลังบรรเลงเพลงรักเสร็จหมาดๆ
ผมตอบตกลงไม่ลังเล เพราะลีลาของเธอบนสังเวียนผ้าปูที่ทอแน่นสี่ร้อยเส้นต่อตารางนิ้วนั้นคงไม่มีใครกล้าบอกปัด ยิ่งสำหรับชายวัยกลางคนที่หาเงินมาทั้งชีวิตเพื่อซื้อความสุขอย่างผมด้วยแล้ว ยิ่งไม่อาจบอกปัดข้อเสนอที่ว่าได้เลย
ภาพโดย Zhugher จาก pixabay
เว้นเพียงว่า
เธอมันคืออสรพิษร้ายในคราบลูกแกะน้อย ท่าทีขี้อ้อนเอาอกเอาใจ น่ารักสดใส แท้จริงแล้วเอาไว้เคลือบทับความไม่เคยพอของเธอ ลูกแกะน้อยที่ไม่เคยอิ่มยามแทะหญ้าอ่อนที่แตกยอดหลังได้รับหยาดน้ำฝน
ผมจับได้ว่าเธอคุยกับผู้ชายหลายคน บางคนถึงขั้นนัดเจอกัน บางคนอยู่ต่างประเทศก็มี แต่เธอยืนยันว่าก็แค่เพื่อนแก้เหงา ทุกครั้งที่ทะเลาะกันก็จบลงบนเตียงยู่ย่นทุกคราไป แล้วผมก็ใจอ่อนทุกครั้ง
"ลิล รักป๊าคนเดียวเชื่อสิ" เธอพูดตอนเคลื่อนตัวมุดลงไปใต้ผ้าห่มที่คลุมท่อนล่างที่เปลือยเปล่าของผมไว้ แล้วทุกอย่างก็เหมือนกดปุ่มเริ่มใหม่
ภาพโดย René Schindler จาก pixabay
"ทศ ฟังอยู่ไหมเนี่ย พ่อถามว่าทะเลาะอะไรกันรึเปล่า จู่ๆ น้องจะหายไปแบบนี้มันเป็นไปไม่ได้หรอก" พ่อเธอเขย่าที่ไหล่ผมจนผมสะดุ้งจากห้วงภาพจำที่วิ่งผ่านเข้ามาในความคิดเมื่อครู่
"เออ…คือ" ผมบีบมือแน่นก่อนถอนหายใจเฮือกใหญ่
"ผมคิดว่าน้องคงไปแล้วครับ"
"ไปไหน น้องไปไหน" แม่สวนขึ้นหลังเริ่มฟื้นจากอาการหน้ามืด
"ไปกับผู้ชายอื่นครับ" ผมยื่นโทรศัพท์ในมือให้พ่อดู มันเป็นภาพหน้าจอแสดงสนทนาของเธอกับผู้ชายของเธอ รวมถึงภาพที่นักสืบที่ผมจ้างให้ตามเธออยู่ร่วมสามเดือนส่งมาให้
"น่าจะบินไปญี่ปุ่นแล้ว ลูกน้องผมไปเช็คมาแล้ว เพิ่งส่งข้อความมาเมื่อครู่ว่าเคาน์เตอร์สายการบินยืนยันว่าเธอบินไปแล้วไฟท์ก่อนหน้านี้สองชั่วโมง
"นี่มันเรื่องบ้าอะไร" พ่อเธอสบถ
"ลิล ไม่ได้บอกเหรอครับ ว่าเธออยากเลิกกับผม แต่ผมขอร้องไว้ เพราะใกล้แต่งแล้ว ทุกอย่างก็เตรียมไว้พร้อมหมดแล้ว ผมเลยขอแค่แต่งแล้ว หลังจากนี้จะเลิกก็แล้วแต่ ผมยินดี..แต่" ผมกลืนน้ำลายอึกใหญ่ รู้สึกจุกในอกทีเดียว แม้ว่าจะเตรียมใจมาก่อนหน้าแล้ว
"ผมกำลังจะล้มละลาย เห็นข่าวบิตคอยน์อะไรนั่นใช่ไหมครับ ผมสูญเงินไปเกือบหมดแล้ว ซึ่งลิลก็ทราบ" ผมเจ็บแปลบในอุ้งมือที่กำแน่นจนเล็บจิกเนื้อ
1
"อะไรกันเนี่ย แม่จะเป็นลม" แม่เธอทำท่าล้มฟุบไปอีกรอบ
"ผู้ชายที่ญี่ปุ่นนั่นเหมือนเธอแอบคุยด้วยมาหลายเดือนแล้ว เห็นส่งกระเป๋าใบละหลายหมื่นมาให้ด้วย ผมคิดว่าเธอคงไปหาเขา" ผมนึกถึงรูปในอินสตาแกรมที่เป็นหนุ่มยุ่นพร้อมรอยสักครึ่งตัวกับกล้ามท้องหกก้อนแน่นๆ ที่เธอกดหัวใจให้แทบทุกรูป
ภาพโดย eugene chystiakov จาก Pixabay
"ผมว่าพ่อกับแม่ออกไปบอกแขกที่พ่อกับแม่เชิญมาว่าเรายกเลิกงานเถอะครับ ผมไม่มีแขกของผมสักคน คงไม่ใช่เรื่องที่ผมต้องจัดการแล้ว แล้วรอพบทนายผมได้เลยนะครับ เรื่องสินสอดที่ขอล่วงหน้าไปครึ่งนึงกับรถ ส่วนค่าจัดงานผมหวังว่าพ่อกับแม่คงพอเหลือเงินเก็บอยู่บ้างนะครับ เพราะลิลเขาอยากแต่งแบบหรูหรา ค่าจัดก็แพงเอาการอยู่" ผมดึงมือถือจากมือที่สั่นเทาของพ่อเธอ แล้วเก็บลงกระเป๋าเสื้อ ดึงเนคไทออกแล้วโยนทิ้งไปบนพื้นห้อง
1
"ผมลาละครับ คงไม่ต้องเจอกันที่ศาลนะครับ" ผมเดินไปกระซิบบอกผู้ที่เกือบเป็นพ่อตาพร้อมแววตาเปื้อนยิ้ม
"แก แกทำแบบนี้ไม่ได้" พ่อง้างหมัดทำท่าจะปล่อยใส่หน้าผม
"จะเพิ่มค่าทำขวัญคดีทำร้ายร่างกายอีกก้อนก็ได้นะครับ ผมไม่ถือ กำลังร้อนเงินเลย" ผมแสยะยิ้มใส่
"พี่ พี่สาวเป็นลมไปแล้ว ว้าย"เสียงน้าสมรกรีดร้องโวยวายขึ้นมาอีกรอบ
ผมรีบเดินออกมาจากห้องแต่งตัว หลบจากความวุ่นวายทีเตรียมใจเจอมาอย่างดีแล้ว แต่ก็ไม่วายใจเต้นโครมเมื่อถึงคราวต้องพูดจริงๆ
เพราะมันเจ็บที่เธอเลือกทางนี้
ผมตัดสินใจให้เธอเลือกว่าถ้ายังยินดีแต่งงาน ผมจะให้อภัยทุกเรื่องที่ผ่านมาและเริ่มต้นกันใหม่ เหมือนประโยคคำปฏิญาณที่ว่า
"for better, for worse, for richer, for poorer, in sickness and in health, until death do us part."
ใช่..จนกว่าความตายจะมาพรากเรา
แต่เธอเลือกที่จะไม่รับคำปฏิญาณที่ว่านี้เอง เพียงเพราะผมแกล้งทำทีโทรศัพท์เสียงดัง ทำท่าทางหัวเสียแล้วบ่นในสายว่าเงินผมฉิบหายไปกับบิตคอยน์พวกนั้นหมดแล้ว เสียงนั่นดังลั่นจนผมมั่นใจว่าเธอต้องได้ยิน
มันก็แค่ตัวเร่งปลอมๆ เหมือนเหยื่อปลอมราคาถูกที่พอหย่อนลงทะเลไปแล้วก็ยังมีปลาที่ไม่ค่อยฉลาดงับมันเข้าจนได้
ภาพโดย Aurélien จาก pixabay
ผมขึ้นรถมาแล้ว รีบพิมพ์ข้อความถึง โชตะ หนุ่มญี่ปุ่นกล้ามแน่นที่ว่า ข้อความยืนยันเรื่องข้อตกลงที่เราคุยกัน ผมจะให้โชตะดูแลเธออย่างดีสักสองสามเดือน จัดชีวิตสุดหรูให้เธออย่างไม่ต้องปราณี ซึ่งคงไม่พ้นวิสัยที่เธอจะถ่ายรูปอวดสังคมออนไลน์ที่แสนคลั่งชีวิตดีๆ กินหรู อยู่ไฮโซที่ติดตามเธออยู่เป็นหมื่นคน
นั่นเป็นพยานอย่างดีว่าเธอเลือกจากไปเอง
จากนั้น โชตะทายาทตระกูลยากูซ่าใหญ่ในเขตเกียวโตจะพาเธอไปทำอาชีพพิเศษใช้หนี้ที่เธอถลุงไปกับห้องสุดหรูพร้อมแชมเปญทุกมื้อค่ำแบบที่เธอปลื้มตลอดหลายเดือนแรกที่ไปถึง ซึ่งน่าจะใช้เวลาใช้หนี้ไม่ต่ำกว่าสิบปี
ผมยืนยันเรื่องความสามารถบนเตียงของเธอว่าคุ้มค่าการลงทุนของเขาแน่นอน ก่อนกดโอนเหรียญดิจิตัลเท่าที่ตกลงกันไว้เข้ากระเป๋าเขา ซึ่งนั่นไม่สามารถตามรอยได้อยู่แล้ว
ผมถอดหายใจอีกเฮือกก่อนจะเหยียบคันเร่งให้รถเคลื่อนออกจากโรงแรมช้าๆ
"untill death do us part นะที่รัก ลาก่อน"
ผมรำพึงกับตัวเองเบาๆ
โฆษณา