1 มี.ค. 2023 เวลา 16:20 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์

"Bullet Train" 2022

จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเหล่านักฆ่าจากทั่วมุมโลก
ดันมาเผชิญหน้ากันในรถไฟสายด่วนหัวกระสุน
ความระยำตำบอนอภิมหาวายป่วงจึงได้เริ่มต้นขึ้น
Bullet Train
ภาพยนตร์แอ็คชั่นคอมเมดี้ที่ขนนักแสดงมาอย่างคับคั่ง ผลงานของผู้กำกับ David Leitch ที่การันตีความโหดมันส์ฮาไว้แล้วอย่าง Deadpool 2 ซึ่งครั้งนี้ได้ Zak Olkewicz มาร่วมเขียนบท โดยดัดแปลงมาจากนวนิยาย 'Maria Beetle' หรือในชื่อไทย 'รถไฟสายนักฆ่า' ของ Kotaro Isaka จากไตรภาค Hitman และยังเป็นการกลับมาเจอกันของสองสุดยอดนักแสดงนำอย่าง Brad Pitt และ Sandra Bullock ซึ่งก่อนหน้านี้ป๋าแบรดได้ไปรับเชิญในเรื่อง The Lost City มาก่อน แซนดรา บุลล็อก ก็เลยกลับมาเล่นสบทบให้ป๋าแกบ้าง
เรื่องราวของนักฆ่าสมญานาม เลดี้บั๊ก (Brad Pitt) ที่อยากจะเลิกรับงานโหดหิน หันมารับงานเบาๆอย่างฉกกระเป๋าแล้วชิ่ง ซึ่งกระเป๋าสำคัญที่ว่านั้นมันดันอยู่บนรถไฟชินคันเซ็นและถูกคุ้มกันโดยสองฝาแฝดนักฆ่าผลไม้อย่าง แทนเจอรีน (Aaron Taylor-Johnson) และ เลมอน (Brian Tyree Henry) ซึ่งทั้งสองนั้นได้รับงานมาจาก มัจจุราชขาว (Michael Shannon) ปีศาจยากูซ่าผู้โหดเหี้ยม และในขณะเดียวกัน คิมูระ (Andrew Koji) นักฆ่าแห่งกลุ่มยากูซ่าที่ต้องการมาล้างแค้นให้ลูกชายก็ได้ขึ้นมายังขบวนรถไฟลำนี้ด้วย
โดยเป้าหมายของคิมูระก็คือ พรินซ์ (Joey King) นักฆ่าสุดอำมหิตในร่างเด็กสาว ทำให้พ่อของเขา (Hiroyuki Sanada หรือ ชิเหน๋) ซามูไรเฒ่าขาเป๋ตามขึ้นมาช่วยลูกชายอีกด้วย อีกทั้งบนขบวนนี้ยังมี วูลฟ์ (Bad Bunny) หมาบ้านักฆ่าเม็กซิกัน และ ฮอร์เนส (Zazie Beetz) นักฆ่าสาวที่ใช้พิษงูเป็นอาวุธ ร่วมขบวนอยู่ด้วย
ความชิบหายวายวอดจึงบังเกิดเมื่อเลดี้บั๊กต้องเอาตัวรอดและเผ่นลงจากรถไฟให้เร็วที่สุด แต่ภารกิจของนักฆ่าแต่ละคนนั้น ดันเชื่อมโยงถึงกันราวกับโชคชะตาที่ถูกขีดไว้ และเมื่อเสือหลายตัวดันมาอยู่ในถ้ำเดียวกัน ความวินาศสันตะโรจึงได้เริ่มต้นขึ้น
ความรู้สึกหลังดูจบถือว่าสนุกตื่นเต้นสะใจฮาใช้ได้ไม่เลวเลยทีเดียว กับความยาวของหนัง 2 ชั่วโมงนิดๆ ที่แม้ว่าช่วงแรกจะอัดแน่นไปด้วยรายละเอียดและตัวละครที่ค่อนข้างเยอะพอสมควร บวกกับการเล่าเรื่องที่ค่อนข้างจะขวานผ่าซาก นึกอยากเล่าก็เล่าเดี๋ยวเร็วเดี๋ยวช้าบ้าง แต่เมื่อเริ่มจับทางหนังได้ ความแสบสันต์ก็ได้เทกระจาดเข้ามารัวๆทั้งฉากบู๊สุดมันส์ที่ถือว่าค่อนข้างดิบติดเรท
ส่วนมุกตลกชวนหัวก็พร้อมเสิร์ฟให้ขำได้ตลอดทั้งเรื่อง และที่ชอบมากๆคือฉากแนะนำตัวละครที่ทำออกมาได้ค่อนข้างเท่ มีความเป็นคอมมิคพอสมควร โดยเฉพาะฉากเปิดตัว มัจจุราชขาว ที่รับบทโดย ไมเคิล แชนนอน นั้นดูเท่ลึกลับน่าค้นหามากๆ
แม้หนังจะเต็มไปด้วยบทพูดของตัวละครเยอะแยะมากมาย แต่การนำเหล่านักฆ่ามายัดกันในขบวนรถไฟแบบฝนตกขี้หมูไหลคนจัญไรมาพบกันทำให้หนังมันสนุกในตัวของมันเองเมื่อทุกอย่างค่อยๆคลายปมและเชื่อมโยงถึงกัน ทำให้แอบนึกถึงสไตล์ของ 2 ผู้กำกับสุดกวนอย่าง เควนติน แทแรนติโน และ กาย ริชชี่ ซึ่งมีกลิ่นอยู่บ้างแต่ย่อยง่ายกว่าเควนตินและมีความซีเรียสกว่าหนังกาย โดยเฉพาะครึ่งหลังที่หนังเปลี่ยนเป็นแอ็คชั่นเต็มสูบ ถือว่าหวือหวาน่าตื่นตาตื่นใจใช้ได้เลยทีเดียว
หนังใช้ฉากหลังเป็นญี่ปุ่นบนรถไฟสายด่วนจากโตเกียวมุ่งไปเกียวโต ในด้านงานภาพแสงสีก็ทำออกมาได้สวยงามฉูดฉาดดูมีความไซไฟ ในส่วนของนักแสดงทุกคนก็เล่นได้ดีมีคาแรคเตอร์ของตัวเอง นอกจากป๋าแบรดที่โดดเด่นสุดๆเพราะเป็นตัวเอกแล้ว ลุงชิเหน๋ในบทของผู้เฒ่าซามูไรขาเป๋ก็มาแนวปรัชญาลึกล้ำค่อนข้างแย่งซีนในช่วงท้ายไปไม่เบา
แต่ที่ชอบก็คือวองพี่น้องนักฆ่า มะนาว กับ ส้มเขียวหวาน เป็นตัวละครที่ช่วยเสิรมความตลกที่จะขาดไปไม่ได้เลย เพราะนอกจากพล็อตเรื่องหรือไดอะล็อกแล้ว ท่าทางลีลาการแสดงของทั้งคู่ก็ยังถือว่ายียวนกวนโอ๊ยเรียกเสียงฮาแบบสุดๆ แต่ที่เซอร์ไพร์สกว่าใครเพื่อนก็คือผู้มารับบทเป็นนักฆ่าคาร์เวอร์ ชายที่เลดี้บั๊กพระเอกของเรามารับงานแทน ซึ่งเฮียแกได้โผล่ออกกล้องเพียงไม่กี่วินาที แต่แย่งซีนแบบสุดๆ ยิ่ง เดวิด ลีทช์ เป็นคนกำกับก็อดที่จะยิ้มตามไม่ได้เลยทีเดียว สปอยไม่ได้ไปดูกันเอาเอง
โดยรวมแล้วการที่เอานักฆ่ามายำกันในรถด่วนขบวนเดียวกันอาจไม่ใช่พล็อตที่ดูแปลกใหม่อะไร แต่กลับเล่าได้อย่างมีชั้นเชิง และบทสรุปของเรื่องไปจนไคล์แม็กก็ทำออกมาได้ดี ไม่มาตกม้าตายตอนจบ Bullet Train จึงถือเป็นอีกเรื่องที่ดูสนุกได้ความบันเทิงอย่างครบรส จะดูคนเดียวหรือจะชวนเพื่อนฝูงครอบครัวมาร่วมฮาด้วยก็ไม่ติดอะไร หนังอาจจะยาวไปสักหน่อยแต่ชวนน่าติดตาม ไม่มีเบื่อแน่นอน ยิ่งใครเป็นแฟนป๋าแบรด พิตต์ ยิ่งไม่ควรพลาด เพราะเรื่องนี้แกเล่นได้เท่มากๆจริงๆ
โฆษณา