ความรุ่งเรือง โหดร้าย และจุดจบของ “อารยธรรมแอซเท็ก (Aztecs)”
“อารยธรรมแอซเท็ก (Aztecs)” เป็นอารยธรรมโบราณที่รุ่งเรือง สามารถก่อร่างสร้างตัวจนกลายเป็นอาณาจักรที่ใหญ่โต หากแต่ก็ต้องพบกับจุดจบจากการมาถึงของสเปน
ชาวแอซเท็กได้รับการบันทึกว่าเป็นกลุ่มชนที่โหดร้ายที่สุดกลุ่มหนึ่งในประวัติศาสตร์ ซึ่งสาเหตุที่ชาวแอซเท็กได้รับการกล่าวขวัญเช่นนั้น ไม่เพียงแค่เพราะนโยบายทางการเมืองต่างๆ เท่านั้น หากแต่ยังมาจากพิธีกรรมต่างๆ ที่โหดร้ายและนองเลือด
เราลองมาดูเรื่องราวของแอซเท็กกันครับ
ก่อนหน้าที่ชาวยุโรปจะเดินทางมาถึงอเมริกา อารยธรรมแอซเท็กก็เป็นอารยธรรมที่รุ่งเรืองที่สุดในโลกยุคพรีโคลัมเบียน (Pre-Columbian era)
อันที่จริง ในเวลานั้นก็มีอารยธรรมที่รุ่งเรืองตีคู่มากับแอซเท็ก นั่นก็คือ "อารยธรรมมายา (Maya civilization)" และ "อารยธรรมอินคา (Inca civilization)" หากแต่ก็เป็นอารยธรรมแอซเท็กที่สามารถพิชิตและรวบรวมชนเผ่าจำนวนมากให้เป็นปึกแผ่นได้
ชาวแอซเท็ก คือกลุ่มชาวอินเดียนจากเม็กซิโกกลาง และสามารถสร้างอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคพรีโคลัมเบียน (Pre-Columbian era)
ชาวแอซเท็กมาถึงหุบเขาแห่งเม็กซิโกในสมัยศตวรรษที่ 13 และได้สร้างเมือง “เตนอชตีตลัน (Tenochtitlan)” ซึ่งภายหลัง เมืองนี้ก็กลายเป็นเมืองหลวงของชาวแอซเท็ก
อีกกว่า 200 ปีต่อมา ชาวแอซเท็กก็สามารถรวบรวมผู้คนในบริเวณรอบๆ เป็นปึกแผ่น และได้เป็นพันธมิตรกับเมืองอีกสองเมือง นั่นคือ “เท็กซ์โคโค (Texcoco)” และ “ทลาโคปัน (Tlacopan)”
ในไม่ช้า เมืองต่างๆ ก็ต้องยอมสวามิภักดิ์ต่อแอซเท็ก ต้องยอมส่งบรรณาการ รวมทั้งช่วยในการสงครามและส่งเหยื่อมาให้ใช้ในพิธีบูชายัญ
การปกครองในแอซเท็กไม่ใช่ระบบแบบรวมศูนย์ แต่มีลักษณะเป็นชนเผ่า ชนชาติแต่ละชนชาติถูกปกครองโดยผู้ปกครองที่ได้รับการรับรองจากเมืองหลวง
หลักสำคัญของระบบเศรษฐกิจของอาณาจักรแอซเท็ก ได้แก่การเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ โดยพืชสำคัญก็ได้แก่ ข้าวโพด มะเขือเทศ ถั่ว มะเดื่อ เป็นต้น
ส่วนสัตว์ที่เลี้ยงก็มีทั้งเป็ด ห่าน ไก่งวง เป็นต้น อีกทั้งยังมีช่างฝีมืออีกจำนวนมาก มีฝีมือในการทำทองแดง ทองคำ และสัมฤทธิ์ อีกทั้งยังสามารถผลิตยาง และมีฝีมือในการทอผ้า
อารยธรรมแอซเท็กยังมีการทำปฏิทินและระบบภาษาเขียน อีกทั้งยังพัฒนาความรู้ด้านดาราศาสตร์และคณิตศาสตร์
นอกจากนั้น เมืองเตนอชตีตลันซึ่งเป็นเมืองหลวง ก็เป็นเมืองที่มีโครงสร้างที่น่าทึ่ง โดยเมืองนี้ถูกสร้างขึ้นกลางน้ำ เชื่อมต่อกับแผ่นดินด้วยทางที่เป็นชั้นๆ สามสาย
สำหรับสิ่งที่เป็นที่เลื่องลือของชาวแอซเท็ก ก็คือ “พิธีกรรม”
ชาวแอซเท็กมีพิธีบูชายัญแก่เทพเจ้า และได้ชื่อว่าเป็นพิธีกรรมที่โหด นองเลือดที่สุด
เหยื่อที่ถูกนำมาบูชายัญส่วนมากจะเป็นเชลยศึก โดยผู้ที่ถูกเลือกมานั้นจะถูกนำขึ้นไปยังยอดพีระมิดในวิหาร ก่อนที่จะถูกนำมานอนบนแท่นบูชา
จากบันทึกของนักสำรวจชาวสเปน ได้บันทึกว่า ภายหลังที่เหยื่อถูกนำมายังยอดพีระมิด ก็จะมีการใช้มีดแหวกอกของเหยื่อ ก่อนจะนำหัวใจของเหยื่อที่ยังคงเต้นอยู่ออกมาอย่างรวดเร็ว พร้อมด้วยเลือดของเหยื่อ และนำไปบูชายัญแก่เทพเจ้า
จากนั้นก็จะมีการตัดหัว แขนและขาของเหยื่อ โดยแขนขานั้นจะถูกนำไปรับประทานในงานเลี้ยงฉลอง ส่วนที่เหลือก็โยนให้สัตว์กิน
พิธีกรรมเหล่านี้มีขึ้นเพื่อบูชาดวงอาทิตย์ ชาวแอซเท็กเชื่อว่าหากไม่นำเลือดมาบูชายัญ ดวงอาทิตย์จะหยุดหมุนและจุดจบของโลกก็จะมาถึง
นอกจากนั้นก็มีพิธีกรรมบูชายัญเทพเจ้าองค์อื่นอีก ซึ่งล้วนแล้วแต่โหดร้ายและนองเลือดทั้งนั้น
สำหรับประเด็นต่อไปก็คือ เหตุใดอารยธรรมแอซเท็กจึงล่มสลาย? คำตอบหลักก็คือ “สเปน”
ในปีค.ศ.1519 (พ.ศ.2062) “เฮอร์นัน คอร์เตส (Hernán Cortés)” นักสำรวจชาวสเปน ได้นำกองทัพทหารจำนวน 500 นายเข้ามายังอาณาจักรแอซเท็ก
เฮอร์นัน คอร์เตส (Hernán Cortés)
ถึงแม้คอร์เตสจะมีทหารเพียง 500 นายในขณะที่ทหารอินเดียนมีกว่า 10,000 ราย หากแต่ทหารของคอร์เตสก็มีอาวุธและเทคโนโลนีที่ดีกว่า
ทหารอินเดียนมีเพียงอาวุธที่ทำจากไม้และหิน ส่วนทหารสเปนมีปืน
แต่อันที่จริง ในทีแรก ชาวอินเดียนในอาณาจักรแอซเท็กก็ไม่ได้ต่อต้านขัดขืน เนื่องจากมองว่าชาวสเปนเป็นตัวแทนของเทพเจ้า จึงให้การต้อนรับอย่างดี ก่อนที่จะเกิดการต่อสู้ในเวลาต่อมา หากแต่กองทัพอินเดียนก็ต้านทานไม่ได้
นอกจากนั้น สาเหตุที่ล่มสลายก็มีอีกปัจจัยที่ว่า อาณาจักรแอซเท็กประกอบด้วยชนเผ่าหลายชนเผ่า ซึ่งหลายคนก็ไม่ได้ชอบที่จะถูกปกครอง จึงไม่มีความสามัคคีและขัดแย้งกันเอง
และก็ยังมีเรื่องของโรคระบาดที่คร่าชีวิตผู้คนอีกจำนวนมาก ทำให้อาณาจักรที่เคยยิ่งใหญ่นี้สิ้นสลายในที่สุด
- 9
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2025 Blockdit
