9 มี.ค. 2023 เวลา 11:22 • การเมือง

ส่องนโยบายด้านเศรษฐกิจแต่ละพรรคตอนนี้มีอะไรออกมาบ้าง

เป็นที่ทราบกันดีว่าเหลือเวลาอีกไม่นานก็จะมีการยุบสภาและเข้าสู่โหมดเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เพื่อเลือกรัฐบาลไปอีก 4 ปี ข้างหน้า และแน่นอนว่าแต่ละพรรคการเมืองก็งัดนโยบายกันออกกมาหลายนโยบาย วันนี้จึงจะขอนำพาผู้อ่านไปดูนโยบายด้านเศรษฐกิจ ที่กำลังเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย มาดูว่าแต่ละพรรคจะมีนโยบายเพื่อแก้ปัญหานี้ได้อย่างไร
พรรคเพื่อไทย
พรรคเพื่อไทยเป็นหนึ่งในพรรคที่ประชาชนส่วนใหญ่นิยมมาก เพราะมีความสามารถในการแก้ไขปัญหาด้านเศรษฐกิจมาตั้งแต่สมัยพรรคไทยรักไทยจนมาเป็นพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะอดีตนายกรัฐมนตรีอย่าง ท่าน ทักษิณ ชินวัตร ที่ในยุคสมัยนั้นปัญหาปากท้องแทบที่จะไม่มี วันนี้พรรคเพื่อไทยนำทัพโดย นางสาว แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวทักษิณ ก็ได้มีการออกนโยบายที่เป็นกระแสสุดๆจนทำให้กระแส แลนด์สไลด์ กลับมาอีกครั้ง มาดูว่าพรรคเพื่อไทยออกนโยบายด้านเศรษฐกิจอะไรวบ้าง
1. ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ และขยายโอกาส ดัน(GDP) ของประเทศเติบโตอย่างต่ำเฉลี่ยร้อยละ 5% ต่อปี ใช้แนวคิด “รดน้ำที่ราก” เพื่อให้ต้นไม้งอกงามได้ทั้งต้น ทั้งที่น้ำมีจำกัด
2. ใช้ซอฟต์พาวเวอร์ ( Soft Power) ทำให้มีรายได้คนละไม่ต่ำกว่า 200,000 บาทต่อปี ประเทศไทยมี 20 ล้านครอบครัว สามารถสร้างงานทักษะสูงได้ 20 ล้านตำแหน่ง และมีรายได้รวมกันถึงปีละ 4 ล้านล้านบาท
3. ค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาทต่อวัน เงินเดือนของผู้จบการศึกษาระดับปริญญาตรี อยู่ที่ 25,000 บาทขึ้นไป
1.4 สร้างแนวทางหารายได้ใหม่ให้กับประชาชนด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่คู่ขนานไปกับรายได้ดั้งเดิม เพื่อล้างหนี้จนหมดสิ้น
4. หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือ 30 บาทรักษาทุกโรค อัพเกรด หรือยกระดับขึ้น สามารถรักษาได้ทั่วประเทศ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
มีโรงเรียน 2 ภาษาในทุกท้องถิ่น ซึ่งสอนภาษาต่างประเทศเช่น ภาษาอังกฤษและภาษาจีน ตั้งแต่ ป.1
5. นโยบายด้านพลังงาน ราคาพลังงาน ค่าน้ำมัน ค่าแก๊ส ค่าไฟ ลดลงทันที จะรณรงค์และส่งเสริมพลังงานแสงอาทิตย์ในระดับครัวเรือน ทำให้ลดการพึ่งพาน้ำมันลง
เปิดโอกาสให้คนที่ต้องการสร้างเนื้อสร้างตัว หรือวิสาหกิจชุมชนที่กำลังเติบโต สามารถเข้าถึงแหล่งทุนได้หลากหลายด้วยดอกเบี้ยต่ำ มีกองทุนหมู่บ้านที่ขยายบทบาทมากขึ้น กองทุนร่วมทุน และการระดมทุนแบบ crowdfunding ส่งเสริมการแข่งขันพัฒนาธุรกิจของขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ด้วยการอำนวยความสะดวกในการทำธุรกิจทุกขั้นตอนแบบ one stop service , สร้างกติกาการแข่งขันที่เสรีและเท่าเทียม ทลายการผูกขาดในธุรกิจและอุตสาหกรรมที่กีดขวางความคิดสร้างสรรค์ของรายเล็กรายย่อย เช่น สุรา เบียร์ ไวน์ผลไม้
เปิดแนวคิดด้านเศรษฐกิจของคนในพรรคเพื่อไทย
1.วิสุทธิ์ ไชยณรุณ ประธาน ส.ส. พรรค กล่าวถึงนโยบาย ‘ผ่าตัดเกษตรกรรม’ ว่าประเทศไทยติดหล่ม เกษตรไทยตกหลุม เพราะเกาไม่ถูกที่คัน จึงทำให้เกษตรไทยอยู่ในวงเวียนวัฏจักรแบบเดิมโดยเกษตรจะต้องเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ ให้ตลาดผลิตสิ่งที่ตลาดต้องการ ใช้ความรู้และเทคโนโลยีสมัยใหม่ ด้วยโครงการทั้งระยะสั้น-กลาง-ยาว เช่น โคขุนเงินล้าน นโยบายพักหนี้เกษตรกร และโครงการบำนาญเกษตรกร มีเป้าเปลี่ยนผืนแผ่นดินเดิมจากที่เคยสร้างรายได้ 10,000 บาท/ไร่/ปี เพิ่มเป็น 30,000 บาท/ไร่/ปี
2. เผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการพรรค เป็นคนถัดมาที่นำเสนอนโยบาย ‘เขตธุรกิจใหม่’ (New Business Zone; NBZ) ประกอบไปด้วย 4 แห่ง คือ เชียงใหม่ กรุงเทพ ขอนแก่น และหาดใหญ่ ผ่านกุญแจดอกแรก เพื่อปลดล็อกปัญหาการทำธุรกิจ ดึงการลงทุนจากต่างชาติ รวมถึงแก้ปัญหาทั้งด้านใบอนุญาต แรงงาน นำเข้าส่งออก และการธุรกรรมระหว่างประเทศ
นอกจากนี้ เผ่าภูมิ ยังกล่าวถึง การเพิ่มสิทธิประโยชน์ใหม่ ภายใต้ภาษีรูปแบบต่างๆ รวมถึงสร้างระบบนิเวศน์ใหม่ ที่มี สาธารณูปโภคและโครงสร้างพื้นฐานใหม่สนับสนุน
เราจะเห็นได้ว่าพรรคเพื่อไทยนั้นมีความชำนาญด้านปัญหาปากท้องพอสมควรและล่าสุดได้ทีมเศรษฐกิจระดับมืออาชีพอย่าง เศรษฐา ทวีสิน เข้ามานั่งที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย เพียงวันเดียว 3 มี.ค.66 พรรคเพื่อไทยก็มีคำสั่งแต่งตั้งทีมเศรษฐกิจของพรรคทันที รวม 14 คน โดยมี นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช หรือ หมอมิ้ง เป็นประธาน พร้อมผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจด้านต่างๆ ทั้งรุ่นใหญ่ รุ่นใหม่
สำหรับนโยบายเพื่อไทยนั้นต้องรอประกาศเพิ่มอีกหรือไม่เกี่ยวกับด้านเศรษฐกิจต้องติดตามดูกันต่อ
พรรคไทยสร้างไทย
พรรคคุณแม่ หรือที่รู้จักกันในนาม หญิงหน่อยกับภารกิจสุดท้ายในเส้นทางการเมืองสู้เพื่อคนตัวเล็กโดยพรรคไทยสร้างไทยนั้นมีคุณหญิง สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เป็นหัวหน้าพรรคและนำทัพลุยศึกเลือกตั้งก่อนหน้านี้คุณหญิงก็เคยร่วมงานกับพรรคเพื่อไทยมาเป็นเวลานานและเลือกตั้งในปี 62
ก็เป็นคนนำทัพเพื่อไทยแต่สุดท้ายเมื่อบ้านหลังเก่ามันใหญ่จึงต้องแยกตัวออกมาตั้งพรรคของตัวเองที่มีชื่อว่า พรรคไทยสร้างไทย ที่กำลังเป็นกระแสในภาคอีสานโดยเป้าหมายของพรรคคือสู้เพื่อคนตัวเล็กมาดูว่า นโยบายด้านเศรษฐกิจนั้นจะเพื่อคนตัวเล็กอย่างไร
1 .บำนาญประชาชน 3,000 บาท เป้าหมาย 5 ล้านคน (มีสมัครเป็นเครือข่ายบำนาญประชาชนแล้วกว่า 2,000,000 คน)
8
2 . แก้หนี้ โดยเปิดตัว 3 กองทุน คือ
-กองทุนฟื้นฟูหนี้เสีย “ปลดล็อกเครดิตบูโรให้ประชาชน”
-กองทุน SMEs เพื่อช่วยเหลือในการทำธุรกิจ ทั้งภาคท่องเที่ยว และวิสาหกิจชุมชน และ
-.กองทุนเครดิตประชาชนเพื่อจะแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ ให้ประชาชนสามารถผ่อนชำระได้โดยไม่ต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ดอกเบี้ยต่ำ และผ่อนชำระรายวันได้
3
3.1. พนักงานบริษัท ที่มีรายได้ ไม่เกิน 40,000 บาทต่อเดือน หรือมีรายได้สุทธิต่อปี 300,000 บาทลงมา ไม่ต้องเสียภาษีรายได้บุคคลธรรมดาอีกต่อไป
2. งดการเก็บภาษีผู้ประกอบการ SMEs เป็นเวลา 3 ปี ซึ่งได้รับผลกระทบจากช่วงวิกฤตโควิด
2
3. เเก้หนี้ เติมทุน ให้SMEs และStart up ด้วย”กองทุนสร้างไทย” เพื่อSMEs และ Start up จำนวน 300,000 ล้านบาท
4. การพักใช้กฎหมาย ที่เกี่ยวกับใบอนุญาต ที่เป็นอุปสรรคต่อการทำมาหากินของประชาชนคนตัวเล็ก ประมาณ 1,400 ฉบับ เช่นใบอนุญาตอย. ซึ่งพรรคไทยสร้างไทยได้ร่างเสนอกฎหมายนี้ เข้าสภาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
2
คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวว่า พรรคไทยสร้างไทย จะเดินหน้าสร้างนโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษ
1 เขตเศรษฐกิจพิเศษอันดามัน 5 จังหวัด จะเป็นกลุ่มจังหวัดเพื่อการท่องเที่ยว ทั้งกระบี่ ภูเก็ตพังงา ระนอง ตรัง
2
2.เขตเศรษฐกิจพิเศษ สามจังหวัดชายแดนใต้ เพื่อยกระดับจังหวัดเหล่านี้ให้เป็นศูนย์กลางการผลิตอาหารฮาลาล ส่งออกไปยังภูมิภาคต่างๆทั่วโลก ทั้งยังเป็นการยกระดับราคาสินค้าเกษตร เพิ่มราคาและสามารถแปรรูปได้
1
3. เขตเศรษฐกิจพิเศษอ่าวไทย ซึ่งจะสามารถยกระดับให้เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยว และอุตสาหกรรมแปรรูปยางพารารวมทั้งสินค้าเกษตรอื่นๆ
ต้องบอกว่าสมกับที่ประกาศไว้จริงๆว่าทำเพื่อคนตัวเล็กเพราะหากดูจากนโยบายแล้วจะลงลึกถึงฐานรากหญ้าพอสมควรเลย ซึ่งในอนาคตทางพรรคไทยสร้างไทยอาจมีการประกาศนโยบายออกมาเพิ่มก็ต้องมาติดตามกันดูว่าจะมีอะไรที่จะมาแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน 'สุดารัตน์'ลั่นทำทุกนโยบายไทยสร้างไทยที่ประกาศให้สำเร็จใน3ปี
2
พรรคพลังประชารัฐ
พรรคลุงป้อมก็ไม่น้อยหน้าออกนโยบายเศรษฐกิจมาชนซึ่งจะสู้ได้หรือไม่ก็อยู่ที่พี่น้องประชาชนแล้วละว่าจะเอาไงต่อไป หากพูดถึงกระแสนั้นพลังประชารัฐยังคงเป็นพรรคไทยรู้จักกันในนาม บัตรคนจน หรือ คนละครึ่ง ของประชาชน ทั้งนี้ลุงป้อมพร้อมเป็นนายกรัฐมนตรีเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ
1 นโยบายบัตรประชารัฐ 700 บาทต่อเดือน รายได้ไม่เกิน 1 แสนบาท (คนที่เคยได้รับสิทธิตามบัตรมาพิจารณา) ประมาณ 18 ล้านคน คาดว่าจะต้องใช้งบประมาณเดือนละ 1.2 หมื่นล้านบาท หรือ ปีละ1.5 แสนล้านบาท
2
2 นโยบายที่ดินประชารัฐ
3 ซื้อหน่วยลงทุนก็มาหักภาษีได้ ระดมทุนจากนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ เพื่อตั้ง 4 กองทุน คือ
-กองทุนพัฒนาชีวิตผู้พิการ
-กองทุนช่วยแม่เลี้ยงเดียว
-กองทุนผู้ที่ติดคุกมีงานทำ
-กองทุนที่จะช่วยเกษตรไทย
4 ลดค่าแก๊สหุงต้ม ค่าเดินทาง จิปะถะ
แฟนๆลุงป้อมชอบกันไหมครับ
พรรคภูมิใจไทย
พรรคภูมใจไทยหนึ่งในพรรคของเสี่ยหนู อนุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขที่มีกระแสพลังดูด ต้องบอกว่ารอบนี้ไม่ของเป็นรองนายกหรือนายกชั่วคราวแต่ขอเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทยจึงได้มีการออกนโยบายด้านเศรษฐกิจดังนี้
ยังไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการ แต่มีเขียนไว้ในเว็ปไซต์ของพรรค ดังนี้
1 พักหนี้ 3 ปี หยุดต้น ปลอดดอกคนละไม่เกิน 1 ล้านบาท
2 เกษตรกรร่ำรวย รู้ราคาก่อนปลูก รับเงินก่อนขาย เสียหายมีประกัน Contract Farming ขายข้าว 12,000 บาท/ตัน ข้าวหอมมะลิ 18,000/ตัน มันสัมปะหลัง 4 บาท/กก. ปาล์มทลาย 5 บาท/กก. น้ำยางสด 62 บาท/กก. ยางแผ่าน 65 บาท/กก.
3 พลังงานสะอาด ลดรายจ่ายประชาชน
-ฟรีหลังคาโซล่าเซลล์ ลดค่าไฟฟ้า หลังคาเรือนละ 450 บาท
- มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า ผ่อน เดือนละ 100 บาท 60 งวด
4 ด้านสาธารณสุข
- เพิ่มค่าตอบแทน อสม. เป็นเดือนละ 2,000 บาท ศูนย์ฟอกไตฟรี "ทุกอำเภอ"
รายละเอียดอื่นๆยังไม่ทราบแต่หากดูๆแล้วที่หน้าพึ่งพอใจต่อประชนชนก็หน้าจะเป็นพักหนี้ 3 ปี เพราะช่วยแบ่งเบ่าภาระไปได้ชั่วขณะ
พรรครวมไทยสร้างชาติ
พรรคของนายกตู่ที่ต้องบอกว่ามาครั้งนี้ต้องได้ ส.ส อย่างน้อย 25 คนขึ้นไปเพื่อเสนอกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยอีกครั้ง แต่หากกลับมาแล้วไม่แก้กฎหมายก็จะอยู่ได้เพียง 2 ปี ในวาระ ซึ่งรวมไทยสร้างชาตินั้นกระแสส่วนใหญ่จะอยู่ภาคใต้ จึงมีนโยบายออกมา แต่นโยบายด้านเศรษฐกิจดูเหมือนจะยังไม่ชัดเจนทางเราจึงหยิบเอานโยบายพรรคที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจเอาเป็น นโยบายด้านเศรษฐกิจไปก่อนรอการประกาศนโยบายเพิ่ม
1.ตั้งกองทุนพยุงราคาสินค้าเกษตร ราคาข้าว ราคายาง เพื่อช่วยให้เกษตรกรมีรายได้ ทำให้ระบบเศรษฐกิจมีเงินหมุนเวียน
2.เพิ่มเงินสนับสนุนต้นทุนปลูกข้าว จากที่เคยได้ไร่ละ 700 บาท เป็นไร่ละ 2,000 บาท ครอบครัวละ 5 ไร่ เพื่อให้ทันกับต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น
3.เพิ่มสิทธิบัตรสวัสดิการพลัสเป็น 1,000 บาทต่อเดือน เริ่มจากกลุ่มรายได้น้อย
พรรคก้าวไกล
หนึ่งในพรรคที่ต้องบอกได้ว่าเป็นที่นิยมในหมู่คนรุ่นใหม่อย่างมาก โดยเฉพาะกลุ่มหัวก้าวหน้า พรรคก้าวไกลนำโดยคุณ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลเป็นหนึ่งในคนที่เคยทำธุระกิจในด้านเกษตรมาก่อนโดยการแปลรูปข้าวจนทำให้ราคาสินค้าได้กำไรเพิ่มขึ้น ซึ่งหากได้คุณ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรีก็อาจนำพาประเทศกลับมา
ให้ได้รับฉายา อาหารโลก ก็เป็นได้ แต่ทางด้านพรรคก้าวไกลสิ่งแรกที่เขาจะทำคือโครงสร้างของรัฐมาก่อนปากท้องเพราะหากไม่แก้โครงสร้างของรัฐได้มันก็จะไม่สามารถที่จะแก้ไขปัญหาปากท้องได้อย่างสมบูรณ์
ก้าวไกลมีการพูดในด้านเศรษฐกิจเยอะมากแต่แอดมินไม่สามารถยกมาได้หมดจึงยกตัวอย่างที่เกี่ยวข้องมาคราวๆให้คุณผู้อ่านได้อ่านกัน
ต้องบอกเลยว่าแม้ทีมเศรษฐกิจจะไม่สู้เพื่อไทยแต่ทุกนโยบายไม่น้อยหน้าเลยทีเดียว
นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวว่า เราจะกำหนดนโยบายเศรษฐกิจอย่างไรให้ตรงใจตลาดโลก แต่ในการนี้ตนต้องขอคิดต่าง ว่าคำถามที่ถูกต้องคือ เราจะกำหนดนโยบายเศรษฐกิจอย่างไร ให้ตรงใจคนไทย และตลาดโลก ไปพร้อมกัน เพราะที่ผ่านมาเรามีเศรษฐกิจที่ตรงใจตลาดโลกมามากแล้ว ทั้งของถูก และมีคุณภาพ แต่จะมีประโยชน์อะไร ถ้าสิ่งนั้นต้องแลกมาด้วยการเสียสละของคนไทย
1
ดังจะเห็นได้ว่าประเทศไทยที่ส่งออกข้าวเป็นอันดับ 1-3 ของโลกมาตลอด แต่เกษตรกรส่วนใหญ่ของประเทศยังยากจน คิดเป็นถึง 66% หรือ 2 ใน 3 ของคนจนอยู่ในภาคการเกษตร จะมีประโยชน์อะไรกับการที่รายได้การท่องเที่ยวของประเทศก่อนโควิด สูงถึง 2 ล้านล้านบาท แต่ 74% กระจุกตัวอยู่แค่ใน 5 จังหวัดจากทั้งประเทศ และจะมีประโยชน์อะไรกับการที่ประเทศไทยมีภาคธนาคารที่เข้มแข็งเป็นอันดับที่ 21 ซึ่งถือเป็นอันดับต้นๆ ของโลก แต่สัดส่วนหนี้ครัวเรือนของประเทศไทยพุ่งทะยานไปถึง 89% ของจีดีพีแล้ว
นายพิธา กล่าวอีกว่า ธนาคารโลกล่าสุดคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกปีหน้า จะโตช้าที่สุดในรอบ 30 ปี นี่คือโจทย์ที่รัฐบาลไทยต้องออกแบบนโยบายให้สอดคล้องกับสถานการณ์ จะเอาแต่พึ่งการส่งออก การลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ รวมถึงการท่องเที่ยวอย่างเดียวไม่ได้แล้ว สิ่งที่เราต้องการวันนี้คือ วิธีคิด ซึ่งพรรคก้าวไกลมีกระบวนการวิเคราะห์ กำหนดเป้าหมาย ที่จะนำไปสู่การกำหนดนโยบายอย่างเป็นระบบ พรรคก้าวไกลเริ่มต้นจากการวิเคราะห์หาจุดแข็ง-จุดอ่อน-โอกาส-ภัยคุกคาม (SWOT analysis) ที่ทำให้เราได้เห็นภาพของประเทศไทยในปัจจุบัน
กล่าวคือ ประเทศไทยมีจุดแข็งคือ ความสร้างสรรค์ ห่วงโซ่อุปทานที่ดีระดับหนึ่ง และมีเสถียรภาพทางการเงินการคลัง ในขณะเดียวกันก็มีจุดอ่อนคือ การก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างเต็มตัว การมีระบบรัฐราชการรวมศูนย์ที่เต็มไปด้วยการคอร์รัปชัน และความเหลื่อมล้ำที่สูงมาก หากมองในแง่โอกาส แนวโน้มการลงทุนของโลกในขณะนี้กำลังมุ่งไปที่การกระจายความเสี่ยงออกจากฐานการผลิตเดิม ขณะเดียวกันกำลังจะเกิดการปฏิรูปภาษีโลกครั้งใหม่ (Global Minimum Tax)
หรือ GMT แต่โลกก็กำลังมอบโจทย์ความท้าทายให้กับประเทศไทยในหลายด้านเช่นเดียวกัน ทั้งในเรื่องภาวะโลกร้อน ปัญหาทางภูมิรัฐศาสตร์เช่น สงคราม และราคาโภคภัณฑ์ที่ผันผวน
หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวว่า เมื่อได้ภาพปัจจุบันของประเทศดังนี้แล้ว การกำหนดยุทธศาสตร์ของพรรคก้าวไกลจึงเกิดขึ้นภายใต้โจทย์เพื่อให้เศรษฐกิจไทยเติบโตไปพร้อมกับการลดความเหลื่อมล้ำ นำมาสู่นโยบาย “สร้างงาน ซ่อมประเทศ” หรือการนำปัญหาร้อยแปดพันเก้าที่เรื้อรังมาข้ามทศวรรษ ไม่ว่าจะเป็นการเข้าไม่ถึงระบบขนส่งสาธารณะ น้ำประปาที่ไม่สะอาด ปัญหาพลังงาน ความเหลื่อมล้ำ ฯลฯ เปลี่ยนให้เป็นโอกาสในการสร้างงาน เพื่อซ่อมประเทศ กล่าวคือ
(1) เพิ่มจุดแข็ง ด้วยนโยบายกองทุนภาพยนตร์ เพื่อนำไปสู่การส่งออกเศรษฐกิจสร้างสรรค์ การเปิดเสรีโซลาร์เซลล์ให้ประชาชนดำเนินการติดตั้งโซลาร์เซลล์ได้ง่ายขึ้น และสามารถขายไฟส่วนเกินคืนให้รัฐได้ และคูปองเมืองรองเพื่อสร้างแรงจูงใจให้เกิดการกระจายนักท่องเที่ยวไปยังหัวเมืองรองต่างๆ
(2) ลดจุดอ่อน ด้วยนโยบายหวย SMEs ให้ใบเสร็จจากการซื้อสินค้าจากผู้ประกอบการรายย่อยแลกเป็นสลากกินแบ่ง เพิ่มแรงจูงใจในการอุดหนุน SMEs ให้มีแต้มต่อแข่งกับทุนใหญ่ การกระจายอำนาจให้นำไปสู่การเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด การสร้างระบบ AI ตรวจจับการทุจริต และการเปิดเผยข้อมูลภาครัฐ การลดจำนวนใบอนุญาตที่ผู้ประกอบการต้องขอลง 50% และแก้ไขกฎระเบียบการออกใบอนุญาต ให้ต้องทราบผลภายใน 15 วัน ไม่เช่นนั้นให้มีผลเท่ากับการอนุมัติในทันที
(3) คว้าโอกาส ด้วยแนวทางการสร้างเทคโนโลยีที่เป็นของประเทศไทยเองขึ้นมา เพื่อสนับสนุนการเติบโตของอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า รวมถึงโซลาร์เซลล์ที่กล่าวไปข้างต้น
(4) ป้องกันภัยคุกคามที่เกิดจากความท้าทายของโลก เช่น ภาวะโลกร้อน ด้วยการสร้างระบบขนส่งสาธารณะรถเมล์ไฟฟ้าในทุกจังหวัด การกำหนดเพดานการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และการสร้างรัฐสวัสดิการเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ
พรรคชาติพัฒนากล้า
พรรคชาติพัฒนากล้า จัดกิจกรรมแถลงข่าวรื้อโครงสร้างเศรษฐกิจ ด้วยการเปิด 12 นโยบาย และแนวทางการหาเงินเข้าประเทศเพิ่มอีก 5 ล้านล้านบาท เพื่อให้สอดคล้องกับแนวคิดหลักของพรรคคือ ‘งานดี มีเงิน ของไม่แพง’ โดยมีแกนนำพรรค เช่น สุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรค, กรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรค, อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี รองหัวหน้าพรรค และ กอร์ปศักดิ์ สภาวสุ ประธานยุทธศาสตร์และนโยบายเศรษฐกิจของพรรค ร่วมแถลงข่าว
1. นโยบายในเรื่องการที่จะสร้างเศรษฐกิจใหม่ ที่จะมาหล่อเลี้ยงระบบเศรษฐกิจที่จะนำไปสู่เม็ดเงินประมาณ 5 ล้านล้านบาท
2. นโยบายลดค่าใช้จ่าย จะจัดโครงสร้างภาษีใหม่ บุคคลเงินเดือน 40,000 บาทแรกไม่ต้องเสียภาษี
3. นโยบายสร้างเกษตรใหม่ที่จะเป็นแพลตฟอร์มใหม่ทางด้านเศรษฐกิจเป็นจุดแข็งของประเทศ
4. นโยบายสินเชื่อ จากปัญหาเรื่องเครดิต จะผ่อนคลายให้ทุกคนกลับมาใช้สินเชื่อกันได้ใหม่
5. นโยบายการใช้ระบบดิจิทัลมาปรับปรุงระบบราชการ เพื่อให้เกิดความคล่องตัว รวดเร็ว โปร่งใส
6. นโยบายทางด้านการท่องเที่ยว ที่จะมาสร้างเงิน สร้างงาน สร้างรายได้ เพิ่มนักท่องเที่ยว 2 เท่า
7. นโยบายด้านพลังงานในเรื่องของราคาไฟฟ้าและราคาน้ำมัน
8. นโยบายด้านการศึกษา เพิ่มทักษะให้คนมีโอกาสทำงานมากขึ้น ประเทศไทยต้องเรียนรู้หลายภาษา
9. นโยบายทุนธุรกิจสร้างสรรค์ สูงสุดรายละ 1 ล้านบาท ไม่จำกัดวุฒิและวัย
10. นโยบายสูงวัยไฟแรง งานใหม่ 500,000 ตำแหน่ง
11. นโยบายอารยสถาปัตย์ปรับปรุงบ้าน 50,000 บาทให้ผู้สูงวัยและผู้พิการ
12. นโยบายมอเตอร์เวย์ทั่วไทย 4 ทิศ 2,000 กิโลเมตร
โฆษณา