12 มี.ค. 2023 เวลา 06:06 • ความคิดเห็น

Region-Beta Paradox – เรื่องยิ่งร้ายยิ่งกลายเป็นดี

ลองคิดภาพว่าเย็นวันนี้อากาศไม่ร้อน ค่าฝุ่น PM เป็นสีเขียว แล้วเราอยากจะไปตัดผมที่ร้านหน้าปากซอยซึ่งอยู่ห่างจากบ้านเรา 500 เมตร เราอาจตัดสินใจเดินไป ใช้เวลาประมาณ 10 นาที
แต่ถ้าเราคิดจะไปตัดผมกับอีกร้านหนึ่งที่อยู่อีกซอยหนึ่ง ระยะทางจากบ้านเรา 1 กิโลเมตร เราคงไม่เดิน แต่จะปั่นจักรยานไปแทน และใช้เวลาแค่ 6 นาที
ร้านตัดผมซอยข้างๆ อยู่ไกลกว่าร้านตัดผมหน้าปากซอย แต่เรากลับไปถึงร้านไกลได้เร็วกว่าร้านใกล้
นี่คือสิ่งที่เรียกว่า Region-beta paradox (รีจิ้น เบต้า พาราด็อกซ์)
ศัพท์นี้มาจากงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในปี 2004 ของ Daniel Gilbert และคณะ มีชื่อว่า The Peculiar Longevity of Things Not So Bad
1
ประเด็นที่เขาต้องการนำเสนอก็คือ บางทีการเจอเรื่องร้ายหนักๆ ไปเลยอาจจะดีกว่าการเจอเรื่องร้ายแบบเบาๆ เพราะถ้าเราเจอความทุกข์ที่พอทนได้ เราก็จะยอมทนไปเรื่อยๆ แต่ถ้าเราเจอเรื่องร้ายแบบเกินจะทน เราอาจจะลุกขึ้นมาทำอะไรบางอย่างเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลง
4
ยกตัวอย่างเช่น หากเรามีงานประจำที่เราไม่ได้ชอบ เงินเดือนพอถูไถ หัวหน้าโหดไปนิด แต่เพื่อนร่วมงานก็โอเค เราก็อาจทำงานนี้ต่อไปได้เรื่อยๆ
2
แต่ถ้าเราดันเจอหัวหน้าแย่ๆ เพื่อนร่วมงานกลั่นแกล้ง เราอาจตัดสินใจหางานใหม่ และได้งานที่ใช่กว่าเดิม
2
อีกตัวอย่างหนึ่ง หากแฟนที่เราคบนั้นยังไม่คลิก แต่ก็อยู่กันไปได้เรื่อยๆ ก็มีแนวโน้มที่เราจะคบกับเขาไปแบบเบื่อๆ อยากๆ
1
แต่หากคนที่เราคบเขานิสัยแย่มาก แถมยังมานอกใจเราอีก เราก็อาจจะบอกเลิก และอาจได้แฟนใหม่เป็นคนที่ใช่มากกว่าเดิม
2
ประเด็นที่จะสื่อไม่ใช่ให้เราหางานใหม่หรือหาแฟนใหม่ แต่ให้ตระหนักว่าอะไรที่ทำให้เราเจ็บรอนๆ พอทนได้ เราก็จะเคยชินและอาจจะ “ติด” อยู่กับสิ่งนั้นไปอย่างยาวนาน แต่อะไรก็ตามที่มันเจ็บเกินจะทน มันจะมี activation energy ที่มากพอให้เราลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่างจนสุดท้ายแล้วเราได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า
1
-----
ผมเองก็เคยเจอปรากฎการณ์ที่ออกแนว region-beta paradox ด้วยเช่นกัน
สมัยมัธยมปลายที่ผมเรียนอยู่นิวซีแลนด์ ผมพยายามจะเล่นกีตาร์โซโล่เพลง Don’t Look Back in Anger ของวง Oasis แต่ก็ไปได้ไม่ถึงไหน
จนกระทั่งช่วงปิดเทอม ผมไปนอนบ้านเพื่อนอีกเมืองหนึ่งเป็นเวลา 1 สัปดาห์ ใช้ชีวิตแบบไร้ระเบียบสุดๆ นอนตีสี่ ตื่นเที่ยง สั่งพิซซ่ามากิน เช่าหนังมาดู เล่นเกม ดื่มเบียร์ นั่งคุยกับเพื่อนจนรุ่งสาง วนหลูปตลอด 7 วัน
1
เมื่อกลับถึงบ้าน พร้อมเงินในกระเป๋าที่หายไปไม่น้อย ผมก็รู้สึกโกรธตัวเองว่าทำตัวได้ไร้สาระมาก self-esteem ตกต่ำ ก็เลยอยากลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่างเพื่อชดเชย
และสักอย่างที่ว่าก็คือการตั้งใจฝึกโซโล่เพลง Don’t Look Back in Anger อย่างเอาเป็นเอาตายจนกระทั่งเล่นได้ ทั้งที่ก่อนหน้านั้นพยายามมาหลายครั้งก็ไม่เคยสำเร็จ
2
ข้อสรุปที่ผมได้จาก region-beta paradox ก็คือ
หนึ่ง เราควรสำรวจชีวิตเรามีอะไรที่มัน “ร้าว” อยู่หรือไม่ แต่เป็นการร้าวแบบที่เราทนได้หรือเคยชินไปแล้ว
สอง อะไรที่มันร้าวและพอจะซ่อมได้ ก็ควรลงมือซ่อม – fix what’s broken
สาม แต่อะไรที่มันเกินจะซ่อม บางทีอาจจะคุ้มกว่าถ้าเรายอมให้มัน “แตกหัก” ไปเสีย เพื่อที่จะได้มีโอกาสเริ่มต้นใหม่
1
แน่นอนว่ามีความเสี่ยง แต่ก็มีโอกาสที่ในระยะยาวแล้วชีวิตเราจะดีขึ้นกว่าเดิมครับ
2
โฆษณา