Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Main Stand
ยืนยันแล้ว
•
ติดตาม
14 มี.ค. 2023 เวลา 14:00 • กีฬา
สติ๊กเกอร์ท้ายรถเครื่องมือสปอนเซอร์ของรถแข่งสู่ความฮาและภาพแทนสังคม
"รักสิบล้อ ต้องรอสิบโมง"
"ไม่อยากเจ็บ… อย่ายิ้มให้พี่"
"...โหด เหมือนโกรธ…"
"คุยแล้วไม่… เปลืองค่าเน็ตไอ้ส้นตีน"
"ก่อนจะขึ้นรถพี่ โปรดล้าง…ก่อนนะครับ"
"อม…จนแก้มตอบ เธอดันไปบอกชอบคนอื่น"
"มองตาเดี๋ยวรู้ใจ ถอดเสื้อในเดี๋ยวรู้เรื่อง"
"เห็นงานเป็นลม เห็น…สู้ตาย"
"มองแรกๆ น่ารัก มองสักพักชัก…"
โควทดังกล่าวข้างต้น เป็นโควทที่ปรากฎลงบนท้ายยานพาหนะ ไม่ว่าจะเป็นรถสิบล้อ สิบแปดล้อ หัวลาก กระบะแต่งซิ่ง เก๋งแต่งซิ่ง หรือมอเตอร์ไซต์แต่งซิ่ง ก็ตาม โดยทำออกมาในรูปแบบของ "สติ๊กเกอร์ท้ายรถ" ที่หาซื้อได้ตามอู่หรือร้านขายอุปกรณ์สำหรับซ่อมและแต่งรถทั่วประเทศไทย ขนาดบน Shopee Lazada ยังมีให้เห็น
แน่นอนว่า การสละเนื้อที่บนยานพาหนะ เพื่อติดโควทดังกล่าว ไม่ได้มีเพียงความ "เฮฮาบ้าบอ" ของเจ้าของเพียงเท่านั้น แต่เมื่อลงลึกถึงแก่นบางอย่างจะพบว่า แม้กระทั่งกลุ่มบุคคลที่กระทำการดังกล่าว กลับมีความ "เป็นอื่น" จากสังคมไม่มากก็น้อย โดยมีสติ๊กเกอร์ท้ายรถนี้ในการแสดงออกถึง "การดีลภาพแทน" ของตนเองกับสังคม เพื่อให้มีที่ทางและสปอตไลท์ฉายแสงลงมาหาแบบไม่น่าเชื่อ
ก่อนอื่นนั้นต้องทำความเข้าใจเรื่องของการติดสติ๊กเกอร์บนยานยนต์เสียก่อน โดยแรกเริ่มนั้น สิ่งนี้มีนิยามศัพท์เฉพาะที่เรียกว่า “Decal” ซึ่งหมายถึงการใช้วัสดุประเภทกระดาษหรือใกล้เคียง เพื่อประทับลงบนวัสดุประเภทเหล็ก
โดยศัพท์นี้ แตกต่างจากสติ๊กเกอร์ ตรงที่ว่า Decal จะเป็นการฉลุลายไวนิลลงบนวัสดุที่คล้ายกับกระดาษสาบางๆ สำหรับการทาบลงบนวัตถุเพื่อติด ส่วนสติ๊กเกอร์คือการพิมพ์ลายลงบนไวนิล และตัดแต่งให้ขอบลื่นไหลไปตามลักษณะลายนั้นๆ โดยต้องทำการลอกออกเพื่อติด
กรณีนี้ มักปรากฎบนรถแข่งหรือรถซิ่งเป็นสำคัญ โดยเป็นการติดเพื่อโฆษณาให้แก่บรรดาสปอนเซอร์ที่เป็น “หัวจ่าย” ในแก่ทีมแข่งนั้นๆ แน่นอน การเป็นสปอนเซอร์ใช่ว่าจะสนับสนุนกันแบบสถาพร ไปเรื่อยๆ ตลอดชีวิต ทุกอย่างมีระยะเวลาตามแต่ที่สัญญาระบุไว้หรือตกลงกัน แต่ส่วนมากจะอยู่ราวๆ 3-5 ปี
ดังนั้น หากจะให้มา “พ่นสี” ลงบนตัวถังยานยนต์ทับสีของรถไปทั้งกระบิ ย่อมเป็นการยากที่จะเปลี่ยนแปลงเมื่อถึงคราว โดยเฉพาะ ในกรณีกระทันหัน ที่หัวจ่ายเกิดผิดใจกับทีม และถอดแบรนด์ออกไปเสียดื้อๆ หากจะให้มานั่งทำสีตัวถังใหม่ อาจกินเวลาและไม่ทันกิน
ซึ่งกลวิธีของ Decal นั้นใช้มานานนม ตั้งแต่ช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ราวคริสต์ทศวรรษ 1930-40 แต่ในกลวิธีการผลิต รวมถึงวิธีการติดนั้น ยังมีความซับซ้อนอยู่มาก กลุ่มบุคคลที่ทำได้นั้น ต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญจากโรงงานผลิต หรือไม่ก็คนในวงบการรถแข่ง และที่สำคัญ การจะติด Decal ไม่ได้มาจุ๋มจิ๋ม ติดเฉพาะจุดสองจุด แต่ติดกันทีทั้งคัน แน่นอน แบบนี้ ไม่มีทางที่ประชาชนจะเข้าถึงได้
แต่ห้ามฟ้าห้ามฝนไม่ได้ฉันใด ห้ามสิ่งต่างๆ ไม่ให้ “Mass” ย่อมไม่ได้ฉันนั้น แน่นอนว่า ณ จุดนี้ สติ๊กเกอร์ จึงเข้ามาแทนที่ Decal แทน ด้วยความง่ายต่อการผลิต คือพิมพ์ออกมาปรี๊ดเดียว เป้นเนื้อเดียวกันทั้งดุ้น เพียงแต่ตัดขอบ วางจำหน่าย เป็นอัน complete สะดวกคนผลิตที่ไม่ต้องไปฉะลุอะไรมากมาย และสะดวกคนซื้อที่หอบชิ้นเดียวกลับบ้าน ไม่ต้องมานั่งระวังว่าดีไซน์จะขาดหาย ร่วงหาย หรือไม่
โดยสติ๊กเกอร์สำหรับยานยนต์ มีหลากหลาย แต่ที่นิยมมากที่สุด นั่นคือ สติ๊กเกอร์ที่ผลิตมาเพื่อให้ “ติดท้ายรถ” โดยเฉพาะ ซึ่งมีนิยมศัพท์เฉพาะที่เรียกว่า “Bumper sticker” แบบตรงตัว เนื่องจาก การติดตรงท้ายรถ จะทำให้เกิดการมองเห็นได้มากที่สุดในการจราจร อยากป่าวประกาศอะไร ทำได้อย่างชะงัด
แน่นอน ในยุคคริสต์ทศวรรษที่ 1940-50 โดยเฉพาะแหล่งกำเนิดอย่างสหรัฐอเมริกา คนติดสติ๊กเกอร์ท้ายรถกันอย่างระงมทั้งวันทั้งคืนเลย เรียกได้ว่าเป็น “กราฟฟิติ” ที่มีมาก่อนการพ่นกำแพง หรือสติ๊กเกอร์บอมบ์เสียอีก แต่เนื้อหาหลักๆ ส่วนมาก จะเป็นไปในลักษณะของ “การเมือง” และ “การเรียกร้อง” เป็นสำคัญ เช่น “เดโมแครตทั้งบ้าน” “รัปั๊บลิกันทั้งใจ” “เลือก…เพื่อชีวิตที่ดีกว่า” “เมือง…ต้องดีกว่านี้” “ร่วมกันเราทำได้” เป็นต้น
แต่เมื่อสิ่งดังกล่าว ข้ามน้ำข้ามทะเลมายังดินแดนโลกตะวันออก อย่างประเทศไทย สิ่งดังกล่าวกลับปรับแปรไปในลักษณะของการผนวก “ความฮา” เข้ามาอย่างถึงเครื่อง
ประเทศไทย นั้นมีความ “ติดฮา” ตลอด ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ หิวหรืออิ่ม เครียดหรือผ่อนคลาย ไม่ว่าจะเกิดขึ้นกับตนเอง คนอื่น หรือสังคมรอบข้าง ณ ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งก็ตาม พสกนิกรชาวไทย ต่างสามารถตะโกนหาสรรหาความฮาเข้ามาผนวกควบรวม และสรรสร้างเป็นสิ่งต่างๆ ขึ้นมาเพื่อ parody ได้แบบทันควัน
ซึ่งสิ่งดังกล่าว ดำรงอยู่ในสังคมไทยมานานกว่า 40 ปี (นับจากหลักฐานที่มีการกล่าวถึงสติกเกอร์ท้ายรถอย่างเป็น ทางการในหนังสือ “วรรณกรรมเก็บตก” ของ ทวีศักดิ์ ปิ่นทอง พ.ศ. 2523) แรกเริ่ม มาจากการเขียนข้อความ ตามท้ายรถด้วยชอล์กหรือการพ่นสีของกลุ่มชนชั้นแรงงาน ผู้ประกอบอาชีพขับรถบรรทุก ขับรถโดยสารประจำทาง ทั้งรถเมล์และรถสองแถว ลักษณะของข้อความที่ใช้มีทั้ง ข้อความธรรมดาทั่วไปและข้อความที่เป็นคำคล้องจองใน รูปแบบของคำกลอนหรือคำสุภาษิต
แต่ที่ขาดไปไม่ได้ นั่นคือการเน้นความฮา ไม่ว่าจะไปตะโกนหาสรรหาโควทมาจากที่ใด แต่ก็ได้มีการตัดแต่ง ประสบปนเป หรือเน้นหนักให้รถคันหลัง หรือใครหน้าไหนก็ตามได้ผ่านเข้ามาอ่าน ได้สัมผัสกับความฮาเข้าว่า ซึ่งสิ่งที่เป็นความฮามาช้านาน ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ต่างฮากันหมด นั่นคือ “เรื่อง 18+” ไม่ว่าจะเป็น “สวยๆ อย่างน้อง เห็นท้องมาเพียบ” “ยามกินพี่จะป้อน ยามนอนพี่จะปล้ำ” “รักน้องทุกวัน โยกกันทุกคืน”
กระนั้น เมื่อสิ่งดังกล่าวได้รับความนิยมแพร่หลายออกไป การเขียนข้อความตามรถยนต์ด้วยลายมือจึงเปลี่ยนรูปแบบกลายมาเป็นการผลิตเป็น “สติ๊กเกอร์” เพื่อให้สะดวกต่อการติดตามท้ายรถ โดยได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในช่วงปี พ.ศ. 2530 แต่ยังเป็นกลุ่มผู้ขับขี่รถโดยสารประจำทาง แต่หลังจากนั้นไม่นาน กลุ่มคนทั่วไปที่ใช้รถยนต์ก็ได้รับมาใช้งานต่อ
ณ จุดนี้ เรียกได้ว่า เป็นการขยับขยายความนิยม จากพวก “คนรถใหญ่” ไปสู่ “คนรถเล็ก” หรือ “รถยนต์ส่วนบุคคล” มาขับขี่กันไม่ต่ำกว่าหลักล้านคนในช่วงพุทธทศวรรษที่ 2530
ดังนั้น ข้อความที่ปรากฎ จะเป็นไปในลักษณะ “สุภาพชน” มากกว่าเป็นไหนๆ ไม่ว่าจะเป็น การใช้โควทเพื่อ Educated เพื่อนร่วมทาง เช่น “อย่าแซงซ้าย” “เมาไม่ขับ” “ให้เหล้าเท่ากับแช่ง” หรือการบ่งบอกว่าเป็นใครมาจากไหน เช่น “หลานย่าโม” “ลูกพ่อขุนเม็งราย” “ปักษ์ใต้บ้านเรา”
แต่เมื่อเวลาผ่านไป เมื่อรถยนต์กลายเป็นสินค้าที่ Mass มากยิ่งขึ้น ด้วยระบบ “ไฟแนนซ์” และ “เงินผ่อน” หรือก็คือ ไม่จำเป็นต้องหอบเงินเป็นแสนเป็นล้านเข้าไปที่โชว์รูม เพื่อถอยรถในฝันออกมาขับสัมผัสบรรยากาศร้อนตับแล่บของประเทศไทย หากแต่สามารถแบ่งจ่ายได้เป็นงวดๆ ตามแต่ระยะเวลาที่ตกลง ทั้ง 24 เดือน 36 เดือน 48 เดือน หรือกระทั่งโอนสิทธิ์เจ้าของได้หากจ่ายไม่ไหว
นั่นทำให้ บรรดาบุคคลที่อยู่ในสถานะรองต่างๆ สามารถที่จะ “ลืมตาอ้าปาก” ได้ ในแง่ของการเป็นเจ้าของในสินทรัพย์ดังกล่าว หรือก็คือ ช่องว่างระหว่างชนชั้นกลางกับชนชั้นต่ำมีลักษณะที่แคบลงเรื่อยๆ
แน่นอน สิ่งนี้เหมือนเป็นเรื่องของ Class Struggle ที่ไม่เหมือนชาวบ้านชาวช่อง เพราะที่อื่นๆ คืออีลีทตีกับประชาชน แต่สำหรับไทยแลนด์ โอนลี่ นั่นคือ “ชนชั้นกลางต่างระดับตีกัน” เรียกได้ว่าตีกันเองของประชาชนล้วนๆ เพียงแค่มีเรื่องของ “วิถี” บางอย่างที่ไม่อาจยอมรับซึ่งกันและกันได้ (หากนึกไม่ออก ให้นึกถึง การเมืองเสื้อสี ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา)
ซึ่งวิถีดังกล่าวนั้น สิ่งที่สะท้อนออกมาได้อย่างเด่นชัดที่สุด นั่นคือ สติ๊กเกอร์ท้ายรถ ดังที่กล่าวไป เพราะหลังจากที่ชนชั้นกลางล่าง ผ่อนรถได้แล้ว ความตลกโปกฮา เน้นสายปั่น ก็ได้ติดตามมายันเงา หรือก็คือ บรรดาโควททะลึ่งตึงตัง ได้ย้ายจากรถใหญ่ มาสู่รถเล็ก แถมยังได้ไป Activated ในบรรดาองคาพยพต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ร้านผลิตสติ๊กเกอร์ ร้านแต่งรถยนต์ต่างๆ ให้ผุดเป็นดอกเห็ดอีกด้วย
ซึ่งในช่วง 10-20 ปีหลัง บรรดาชนชั้นกลางล่าง ก็ได้มีทายาทออกมามากมาย โดยที่กลุ่มคนเหล่านี้ ได้รับการ Convert ชื่อเรียกไปต่างๆ นานา ตามยุคตามสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป แบบที่คุ้นหู นั่นคือ พวกแว้น สก๊อย จิ๊กโก๋ เด็กช่าง หรืออย่างในปัจจุบัน นั่นคือ พวกตลาดล่าง ทรงเอ ทรงซ้อ ทรงสืบ ทรงปลาหวาน พวกE3 หรือ พวกRadz โดยพวกคนดีย์ต่างคิดไปเรียบร้อยแล้วว่า แม้จะมีการเปลี่ยนผ่าน แต่อย่างไร Collective Self นั้นเป็นเรื่องของวิถีที่ติดตัวมาแต่กำเนิด สามารถถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมได้
สิ่งที่ตามมา ซึ่งถือได้ว่า “คลาสสิค” นั่นคือการประกอบสร้างอะไรบางอย่างมาเพื่อ “กดทับ กดขี่” ชนชั้นกลางล่างให้เหมือนเป็น “ตัวตลกของสังคม” เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาต้องการดำเนินตนตามวิถีของพวกเขา เช่น การเกิดขึ้นของวลีที่ว่า “พวกคนดีย์” พวกที่ประพฤติชอบ นอบน้อม ถ่อมตน กิริยาชดช้อย งดงาม ตามครรลอง ผิดกับพวก “ตลาดล่าง” ที่มีความห่าม ดิบเถื่อน กร่าง ไม่มีการศึกษา เน้นหาแต่คู่ครอง ผลิตทายาทออกมาเป็นปัญหาสังคม ความเป็นอยู่ที่อัตคัต ชอบรวมกลุ่มก่ออาชญากรรม เป็นที่ขยาดของประชาชน
เวลาที่ใครหน้าไหนก็ตาม อยู่ในจุดที่โดนกดทับ กดขี่ ให้อยู่ในสถานะรองมากๆ ย่อมเป็นธรรมดาที่จะมีการ Counter-attack ด้วยแรงส่งที่สะสมมาเป็นเท่าทวี นอกเหนือไปจากจากดักทำร้าย สร้างความรำคาญ บุกถล่มแบบซึ่งหน้า ซึ่งเป็นบทบาทเชิงรุกนั้น แต่บทบาทเชิงรับ ในการแสดงออกที่สำคัญ นั่นคือ การไปลงกับสติ๊กเกอร์ท้ายรถ อย่างไม่ต้องสงสัย
ข้อความที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก คือ “วัยรุ่นทำกิน” “วัยรุ่นสร้างตัว” “จิ๊กโก๋ทำกิน” “นักซิ่งแข่งทำกิน” หรือ “ธุรกิจวัยรุ่น” ต่างเป็นไปเพื่อนำมาต่อรองกับการนิยามตัวตนจากกลุ่มคนในสังคม ที่มองว่าไม่ทำมาหากิน แว้นไปวัน ๆ แต่ในความเป็นจริงกลุ่มเด็กแว้นเหล่านี้อาจมีช่วงเวลาในการทำมาหากินเหมือนกับกลุ่มคนอื่น ๆ แต่มักจะถูกมองในแง่ลบจากคนในสังคมเพียงแค่ช่วงเวลาที่พวก เขาประลองความเร็วบนท้องถนนเพียงเท่านั้น
ชุดข้อความในสติ๊กเกอร์ดังกล่าว จึงเป็นข้อความไม่กี่พยางค์ที่กลุ่มเด็กแว้นพยายามสะท้อนความ เป็นตัวตนและต่อสู้ต่อรอง ผ่านพื้นที่ชีวิตประจำวันที่ง่ายต่อการสื่อสารอย่างรถจักรยานยนต์และสติกเกอร์ท้ายรถ สำหรับกลุ่มคนขับรถรับจ้าง ผู้กระทำอาจไม่ใช่อำนาจจากรัฐโดยตรง แต่เป็นกฎกติกาในการประกอบอาชีพขับรถรับจ้าง ผู้ซึ่งถูกคาดหวังว่าต้องส่งผู้โดยสารหรือสิ่งของให้ถึงจุดหมายได้อย่างรวดเร็วมากที่สุด
ประกอบกับปัญหาด้านรายได้ของอาชีพคนขับรถรับจ้างในแต่ละวันที่ไม่มากนัก การขับรถเพื่อส่งคนหรือสิ่งของไม่ทันเวลาอาจส่งผลกระทบต่อรายได้ของคนกลุ่มนี้ การขับรถ ‘ซิ่ง’ จึงเป็นคุณสมบัติที่คนขับรถรับจ้างจำเป็นที่จะต้องมี และมักจะโดนกล่าวหาว่าเป็นกลุ่มคนที่ขับรถเร็ว อันตราย จนก่อให้เกิดอุบัติเหตุทางท้องถนนในหลาย ๆ ครั้ง
กฎกติกาในการประกอบอาชีพขับรถรับจ้าง ปัญหาทางด้านรายได้ รวมถึงการกล่าวหาของคนในสังคมจึงเปรียบเสมือนผู้กระทำ ที่ทำให้กล่มคนขับรถรับจ้างเลือกใช้พื้นที่รถยนต์และสติกเกอร์เป็นเครื่องมือในการต่อรองกับผู้กระทำเหล่านั้น โดยจะเห็นได้ว่า กลุ่มคนขับรถรับจ้างมักจะใช้สติกเกอร์ที่มีข้อความที่สื่อถึงการโต้แย้งประเด็นการขับ รถเร็ว แต่เป็นการขับรถเร็วเพื่อหน้าที่การงาน
เช่น “ไม่ได้ซิ่งแต่วิ่งตามใบงาน” “ไม่ได้ซิ่งแค่วิ่งตามเวลา” “ไม่เน้นซิ่งแค่ไว้วิ่งทำมาหากิน” “บรรทุกซิ่งวิ่งสร้างตัว” หรือใช้ “ซิ่ง” ผนวกกับภาระหน้าที่ที่ตนต้องรับผิดชอบ เช่น “พัสดุซิ่ง” “ปลาทูซิ่ง” หรือแม้กระทั่ง “ส้วมซิ่ง” เพื่อบ่งบอกถึงคุณลักษณะของการขับรถเร็วเพื่อหน้าที่การงาน ที่ส่งผลต่อความอยู่รอดในแต่ละวัน
รวมไปถึงการใช้สติกเกอร์เพื่อสะท้อนปัญหาชีวิต ใช้ระบายอารมณ์ หรือใช้ในเชิงคตธิรรมเพื่อขัดเกลาจิตใจของตนให้มีกำลังใจทำงานในแต่ละวัน เช่น “เหนื่อยก็ต้องทนจนนี่หว่า” “ความเจ็บที่เกินทนจะสอนคนให้ทนทาน” หรือ “ทำงานจนมืองอก็ไม่พอใช้หนี้” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสติกเกอร์ที่สะท้อนถึงสภาพชีวิตการทำงานของกลุ่มคนเหล่านี้
จะเห็นได้ว่า สติ๊กเกอร์ท้ายรถนั้น เป็นมากกว่าสิ่งที่เป็นจริงๆ เพราะไม่เพียงแต่เป็นที่ระบายของกลุ่มคนจำพวกหนึ่งที่สังคมร้องยี้ แต่ก็เหมือนเกลียดตัวกินไข่ เพราะได้อ่านเมื่อไหร่ ความฮาขี้แตกขี้แตนย่อมเกิดขึ้นเมื่อนั้น ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยสภาพแวดล้อมที่บังคับ สติ๊กเกอร์จึงได้รับการ “ฉวยใช้” จากบรรดาคนที่เป็นอื่นเหล่านี้ ในการดีลกับสังคม เพื่อปรับทัศนคติเสียใหม่ ว่าพวกเขาคิดผิด เรามีดีมากกว่านั้น
แต่ที่สำคัญที่สุด ในข้างต้นแม้จะเรียกแบบรวมๆ ว่าคนชั้นกลางระดับล่าง หรือพวกตลาดล่าง สารพัดทรงก็ตาม สิ่งที่ขาดไปไม่ได้ในการตระหนักถึงเรื่องดังกล่าว ที่อยากให้ท่องเอาไว้ในใจ นั่นคือ “ตลาดล่างไม่ใช่ฐานกำเนิด แต่เป็นผู้คน”
นั่นเพราะ หากให้เหตุผลแบบสืบเนื่องกันว่า “ชนชั้นกลางล่าง นำไปสู่ ตลาดล่าง” จะอธิบายพวกที่พ่อแม่รวยๆ มีกินมีใช้ แต่ยังทำตัวตลาดล่าง หรือพวก “วัยรุ่น Drug Lord” ที่ชอบใส่ทอง คอคาร์บอน ใส่เสื้อเสี่ย เปิดเว็บพนัน ขับเฟอรารี่ มีแฟนเป็นดารา หรือนางงาม ใช้ชีวิตดั่งพาโบล เอสโคบาร์ ได้ด้วยชุดวิธีคิดนี้อย่างไร?
แน่นอน “ความคิดรวบยอด (Conceptualization)” มีความสำคัญอย่างมาก หากแต่ในบางกรณี ความคิดรวบยอดอาจไปไม่ถึงจริงๆ เพราะไม่สามารถที่จะเคลมได้อย่าง Universal ไปเสียหมด ดังนั้น สำหรับสติ๊กเกอร์ท้ายรถแล้ว สิ่งที่สว่างว๊าบเข้ามาในหัว อาจจะต้องมานั่งทบทวนว่า ควรจะตัดคำว่าชนชั้นกลางล่าง ออกไปก่อนค่อยพิจารณาถึง “เนื้อหาสาระ” ในส่วนของโควททะลึ่งตึงตังหรือไม่?
หรือแท้จริงแล้ว ควรควบรวมไปแบบที่เป็นมา หากแต่ต้องคำนึงถึง “ลักษณะนิสัย” ของปัจเจก โดย “ตัดข้าม (Transcendent)” ในเรื่องของ “ชนชั้น (Class)” ไปด้วยกันเสียเลย เพราะหากยังมีชุดวิธีคิดเชิงชนชั้นในแง่นี้อยู่ ย่อมเป็นการยากที่จะพ้นไปจากสิ่งที่เรียกว่า “การเหมารวม” ได้
สุดท้ายนี้ อาจจะกล่าวได้ว่า “ฐานกำเนิด ไม่ใช่ทุกสิ่ง” ไม่ว่าจะเกินในซ่อง สลัม วัด หรือสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า แต่คนเราเลือกเกิดไม่ได้ เลือกที่จะเป็นคนที่ดีได้แค่ประการเดียว แม้จะมีอุปสรรคนานับประการ แต่คนดีย่อมเป็นคนดี แม้จะไม่ได้ขาวบริสุทธิ์ก็ตาม ดั่งทองเนื้อเก้าย่อมไม่เกรงกลัวไฟ และเลือกที่จะเปลี่ยงประกายสีทองระยิบได้แบบเฉิดฉายในตนเอง
แหล่งอ้างอิง
วิทยานิพนธ์ Stickers and Discourses in Thai Society
วิทยานิพนธ์ กราฟฟิติ (graffiti): การสื่อสารความหมายและอัตลักษณ์
วิทยานิพนธ์ กลวิธีทางภาษาที่สร้างอารมณ์ขันในข้อความท้ายรถ
บทความ Bumper Stickers : Literature on Car Drivers and Teenage Bikers and Social Disputes
บทความ Soapbox for the Automobile: Bumper Sticker History, Identification, and Preservation
https://www.nytimes.com/2012/09/23/magazine/who-made-that-bumper-sticker.html
https://www.chicagotribune.com/news/ct-xpm-2008-06-17-0806160579-story.html
บันทึก
10
2
10
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย