21 มี.ค. 2023 เวลา 12:05 • หุ้น & เศรษฐกิจ

วิกฤติธนาคาร (Banking crisis) ปี 2023

Silicon Valley Bank (SVB) และ Signature Bank ที่พากันล้มไปเมื่อวันที่ 10 มีนาคม นับเป็นการล้มละลายของธนาคารที่ใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ปี 2008
หลังจากทั้งสองธนาคารล้มไปไม่กี่วัน First Republic Bank (FRC) ก็กลายเป็นรายที่สาม และล่าสุด ธนาคารใหญ่เป็นอันดับสองของสวิตเซอร์แลนด์ Credit Suisse ก็กำลังประสบปัญหาและถูก UBS เข้ามาซื้อกิจการไปอีกราย
วิกฤติในภาคธนาคารที่เกิดขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา อาจทำให้หลายคนนึกถึงสองเหตุการณ์ที่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นเหมือนกับโรคติดต่อทางการเงิน คือ วิกฤติการณ์การเงินเอเชียเมื่อปี 1997 ที่ทำให้เกิดเศรษฐกิจถดถอยไปทั่วเอเชีย และวิกฤติการณ์การเงินโลกในปี 2008 ที่ทำเอาเศรษฐกิจถดถอยไปทั่วโลก
หลายคนจึงเริ่มตั้งคำถามขึ้นมา ว่าสถานการณ์วิกฤติธนาคารที่กำลังจะเกิดขึ้นอยู่ จะเป็นอย่างไรต่อไป แล้วตอนนี้ธนาคารกลางหลายๆ แห่ง เตรียมวิธีรับมือไว้อย่างไรบ้าง
📌 ทำไมถึงเกิดวิกฤติธนาคาร?
รากฐานของวิกฤติธนาคารที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน มาจากการที่ Fed และ ECB ใช้เปลี่ยนมาใช้นโยบายการเงินแบบเข้มงวด หลังจากที่ใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายมาหลายปี ดังจะเห็นได้จากดอกเบี้ยที่ต่ำเกือบติดศูนย์ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เงินแบบง่ายๆ นี้เองที่ทำให้เกิดเงินเฟ้อขึ้นมาในปี 2022 จนธนาคารกลางเกือบทุกแห่งต้องเปลี่ยนมาใช้นโยบายการเงินแบบเข้มงวด และขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ
ธนาคารอย่าง SVB ที่มีกลุ่มลูกค้าหลักเป็นสตาร์ทอัพเทคซึ่งเข้าสู่ขาลงเมื่อช่วงที่ผ่านมา และยังเอาเงินฝากระยะสั้นจากลูกค้า ไปลงทุนเพื่อหวังผลตอบแทนในระยะยาว จึงเผชิญกับปัญหาเมื่อมีการขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้นจนเกินกว่าดอกเบี้ยจากการลงทุนในระยะยาวที่ธนาคารได้รับ จึงทำให้ทั้งส่วนของรายได้และส่วนของทุนลดลง เมื่อลูกค้ามองเห็นว่าสถานการณ์ไม่ดี จึงแห่ไปถอนเงินจนธนาคารขาดสภาพคล่องแล้วล้มในที่สุด
คุณ Shane Oliver หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ AMP มองว่าการที่ธนาคารล้มเช่นนี้ ไม่ได้คล้ายกับวิกฤติการเงินที่เคยเกิดขึ้นในอดีต เพียงแต่แสดงให้เห็นถึงความเสี่ยงว่า ความกังวลและความกลัวที่เกิดขึ้นในตลาดสามารถติดต่อกันได้จนทำให้เกิดวิกฤติจากธนาคารหนึ่งไปสู่อีกธนาคารหนึ่งได้เท่านั้น
แต่ส่วนอื่นๆ ในตลาด อย่างหุ้นเทคของสหรัฐฯ ก็ยังคงไปได้ดีช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นสัปดาห์ที่เต็มไปด้วยความผันผวน ชี้ให้เห็นว่าผลกระทบจากวิกฤติธนาคารเริ่มบรรเทาลง
📌 ธนาคารกลางแต่ละแห่งรับมืออย่างไรเพื่อไม่ให้ต้องล้มเป็นรายต่อไป?
ธนาคารกลางหลายแห่งก็ประกาศกลยุทธ์ที่จะช่วยให้เงินไหลเวียนไปในระบบเศรษฐกิจโลกได้ ซึ่งแนวคิดนี้ถูกริเริ่มขึ้นโดย Fed โดยหวังที่จะช่วยให้ธนาคารกลางอื่นๆ สามารถมีเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ในระบบง่ายขึ้นและจัดสรรกระจายไปยังธนาคารพาณิชย์ในประเทศของตนได้
1
ด้วยกลไกที่ว่า เรียกว่า “swap line” ซึ่งเป็นการตกลงร่วมกันระหว่างสองธนาคารเพื่อแลกเปลี่ยนสกุลเงิน โดยคาดว่าอย่างน้อยในช่วงปลายเดือนเมษายน Fed ก็จะเปิดให้มีการทำ currency swap แบบรายวัน เพื่อให้แน่ใจว่าธนาคารกลางในแคนาดา สหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น สวิตเซอร์แลนด์ และในกลุ่มยูโรโซนเพื่อให้มีดอลลาร์สหรัฐฯ เพียงพอสำหรับการดำเนินงานต่อไปได้
ข้อตกลงนี้เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้รักษาเสถียรภาพในระบบการเงิน และป้องกันไม่ให้ความตึงเครียดในตลาดไปกระทบกับเศรษฐกิจ เพราะตามข้อมูลของ ECB ในช่วงวิกฤติการเงินปี 2008 หลังการล้มของ Lehman Brothers ตลาดทุนเหือดแห้งเพราะคนกลัวความเสี่ยงจนเป็นการยากสำหรับธนาคารในแถบยุโรปที่จะได้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ เข้ามาหมุนเวียนในระบบ
เครือข่าย Swap lines ของเหล่าธนาคารกลางในหลายประเทศ จะช่วยเป็นกลไกที่อำนวยความสะดวกให้เกิดสภาพคล่องเพื่อผ่อนคลายความความตึงเครียดในตลาดเงินทุนทั่วโลก
การทำแบบนี้จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิด credit crunch หรือสถานการณ์ที่ระบบการเงินโลกตึงตัวจนทำให้ทั้งภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจกู้ยืมเงินได้ยากขึ้นในที่สุด…
ผู้เขียน: ชนาภา มานะเพ็ญศิริ Economist, Bnomics
ภาพประกอบ : จินดาวรรณ อรรถมานะ Graphic Designer, Bnomics
Bnomics - Bangkok Bank Economics
'Be an Economist for Everyone'
วิเคราะห์ เจาะทุกประเด็นเศรษฐกิจ ให้เป็นเรื่องง่ายสำหรับคุณ
References:
โฆษณา