27 มี.ค. 2023 เวลา 05:18 • ข่าว

ถึงเวลาที่สตรีมมิ่ง จะกลับมาง้อโรงหนังอีกครั้ง

Bloomberg รายงาน Apple กำลังวางแผนลงทุนใหญ่หลักพันล้านดอลลาร์ สร้างหนังยักษณ์ฉายลง Apple TV+ และในโรงภาพยนต์ไปพร้อมๆ กัน หวังดันยอดผู้ใช้งาน Apple TV+ ให้โตและเป็นที่รู้จักมากขึ้น
จากรายงานข่าวบอกว่า Apple ได้ติดต่อสตูดิโอภาพยนตร์ เพื่อภาพยนตร์ 2-3 เรื่องในปีนี้ โดยมีรายชื่อภาพยนตร์หลุดมาคือ Killers of the Flower Moon ของมาร์ติน สกอร์เซซี แสดงโดยลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ, ภาพยนตร์ระทึกขวัญสายลับเรื่อง Argyll จากผู้กำกับ แมทธิว วอห์น และนโปเลียน บทละครของริดลีย์ สก็อตต์ เบื้องต้น Apple ให้สัญญากับทางโรงภาพยนต์ว่าจะฉายอย่างน้อยเป็นเวลา 1 เดือน
นอกจาก Apple แล้ว Amazon ก็ลงทุนฉายหนังในโรงภาพยนตร์ด้วยเช่นกัน โดย Amazon เปิดตัวหนึ่งในบ็อกซ์ออฟฟิศที่ใหญ่ที่สุดแห่งปี Creed III และมีเป้าหมายที่จะสร้างหนัง 12-15 เรื่องต่อปี เพื่อเข้าฉายในโรง รวมมูลค่าการลงทุนเป็นพันล้านเหรียญ
1
ธุรกิจโรงภาพยนตร์จะได้รับผลกระทบสาหัสช่วงโควิด จนหลายคนสงสัยว่า โรงภาพยนตร์จะกลับมาฟื้นได้หรือไม่ ยังไม่นับสตรีมมิ่งที่เข้ามาดิสรัปโรงภาพยนตร์เข้าไปทุกวันๆ
แต่เมื่อดูกระแสจาก Apple, Amazon ไปจนถึงสตูดิโอสร้างหนังรายใหญ่ (ยกเว้น Netflix) จะพบว่าอุตสาหกรรมสร้างหนัง ยังคงเชื่อในโรงภาพยนตร์อยู่
2
ทำไมสตรีมมิ่ง ถึงกลับมาให้ความสำคัญกับโรงภาพยนตร์
มีเหตุผลที่พอจะอธิบายได้ 2 ข้อ คือ
1
Apple และ Amazon ต้องให้สัญญากับผู้สร้างหนังว่าจะออกฉายในโรงภาพยนตร์ เพื่อที่จะได้โปรเจกต์หนังยักษ์หนังดีมาไว้ในมือ
ถ้าไม่ทำแบบนี้ Apple ก็คงไม่ได้ดีลหนัง Formula One ที่นำแสดงโดย Brad Pitt กำกับโดย Joseph Kosinski (ผู้กำกับ Top Gun: Maverick) มาไว้ในมือ เนื่องจากเป็นหนังทุนสร้างสูง ผู้สร้างมีอำนาจกำหนดเงื่อนไขได้ และผู้สร้างหนังก็มักอยากให้หนังของตัวเองฉายโรงภาพยนต์อยู่แล้ว
โรงภาพยนตร์ เป็นวิธีการตลาดชั้นดี ที่จะสร้างการรับรู้เกี่ยวกับแบรนด์สตรีมมิ่ง
Apple TV+ มีผู้ใช้งานประมาณ 1 ใน 8 ของ Netflix ส่วน Prime Video คิดเป็นสัดส่วนน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของผู้ชม Netflix ในสหรัฐฯ ซึ่งหากบริษัทเหล่านี้ ลงทุนในหนังแพงๆ สักเรื่องหนึ่ง คุณก็ต้องมั่นใจว่า หนังต้องเข้าถึงคนและสร้างแบรนด์ตัวเองให้เป็นที่รู้จักมากพอ
เพราะสตูดิโอ ผู้สร้างหนัง มักจะทุ่มเงินหลายล้านดอลลาร์เพื่อโปรโมท กระตุ้นให้คนออกจากบ้านมาดูหนัง ซึ่งจะส่งผลประโยชน์เมื่อหนังลงฉายสตรีมมิ่งในอีก 2-3 เดือนต่อมา
ส่วน Netflix มีความเชื่อว่าลูกค้าสมควรที่จะได้ชมภาพยนตร์ที่บ้าน และไม่เชื่อว่า บริษัท จะสามารถทำเงินได้มากพอจากการปล่อยภาพยนตร์ในโรงภาพยนตร์ ทีต้องใช้แรงคนแรงเงินในการฉายและทำการตลาด
ตรรกะนี้ สมเหตุสมผล เมื่อคุณเป็นบริษัทสตรีมมิ่งที่มีผู้ใช้งานแบบจ่ายเงิน 235 ล้านราย แต่ไม่สมเหตุสมผลกับบริษัทสตรีมมิ่ง ที่มีผู้ใช้งานที่ 30 ล้านราย
ดังนั้น Apple, Amazon ถ้าอยากจะสร้างแบรนด์สตรีมมิ่งให้เป็นที่รู้จัก ให้มีผู้ใช้งานมากขึ้น พวกเขาก็ยังจำเป็นต้องพึ่งพาโรงภาพยนตร์ต่อไป
โฆษณา