29 มี.ค. 2023 เวลา 01:00 • ประวัติศาสตร์

ที่นี่บราซิล ลักซีเซียม ตายระอุดับสลด

ปรากฎการณ์หายนะสารซีเซียม ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย สร้างความตระหนก สั่นไหวในสังคมอย่างมาก แม้ขณะนี้สถานการณ์จะดูทุเลาลงมาบ้าง แต่ความรุนแรงอันตรายของสารดังกล่าว ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เพราะมันเคยสร้างความหายนะในประเทศบราซิลเมื่อปี 1987 มาแล้ว
.
เหตุการณ์นั้นมีคนเจ็บ คนตาย สังคมแหลกสลาย เป็นแผลเป็นทิ้งไว้ อย่างเจ็บปวด มันย้ำเตือนว่า อย่าประมาทสารซีเซียมเป็นอันขาด เพราะอดีตมีบทเรียนมาแล้ว หวังว่าประเทศไทยจะประวัติศาสตร์ไม่ซ้ำรอยอีกเป็นอันขาด
.
.
สำหรับเหตุการณ์นี้ เริ่มขึ้นในช่วงระหว่างวันที่ 10-13 กันยายน ปี1987 พี่น้องตระกูลฟาเบียนโน 2 คน ซึ่งทำงานเก็บขยะ ได้แอบเข้าไปในคลินิกรักษาโรคมะเร็ง ในเมืองโกยาเนีย ซึ่งห่างจากเมืองหลวงบราซิลเพียง 200 กิโลเมตร โดยคลินิกแห่งนี้ถูกปล่อยทิ้งไว้อย่างรกร้าง สองพี่น้องได้เข้าไปขโมยอุปกรณ์รักษาด้วยรังสี ซึ่งใช้บำบัดผู้ป่วยโรคมะเร็งออกมา
.
ทั้งคู่ได้นำแคปซูลที่อยู่ข้างใน ไปขายที่ร้านขายของเก่า จุดเริ่มต้นของหายนะเกิดขึ้น ณ วินาทีนั้น
.
ทางคนเก็บขยะได้แงะอุปกรณ์รักษาด้วยรังสี สาวไปถึงแคปซูลทำจากเหล็กและตะกั่ว มันมีขนาดเพียง 19 กรัม เล็กๆ เมื่อแกะออก ก็พบหินอัญมณีเรืองแสงสีฟ้า แวววาว สวยงามมาก
.
หัวขโมยคิดว่ามันเป็นสิ่งของมีค่า จึงนำมันไปแจกเพื่อนบ้านและญาติ ก่อนที่จะแงะเอาหินขนาดจิ๋วที่อยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งมีขนาดเพียงเม็ดข้าว ไปขายแก่ร้านรับซื้อของเก่า
.
ระหว่างนั้นทุกคนที่ได้สัมผัสหินนี้ มีอาการป่วยอย่างไม่ทราบสาเหตุ แต่พวกเขาก็ยังแจกจ่ายหินสีแวววาวนี้ ซึ่งต้องประคองอย่างระมัดระวังเนื่องจาก สิ่งนี้เปราะบางมาก หากแตะแรง ก็จะสลายเป็นผุยผง
.
ทุกคนคิดว่ามันเป็นของมีค่า ซึ่งความจริงมันก็เป็นของมีค่าอย่างมาก แต่ในความหมายที่ประชาชนทั่วไปไม่ทราบ เพราะใครเลยจะรู้จักคำว่า สารซีเซียม นอกจากผู้เชี่ยวชาญจริงๆ
.
โดยทุกคนที่ได้สัมผัสมัน ต่างคิดว่า สิ่งนี้คือของล้ำค่าจริงๆ เพราะมันคล้ายเครื่องประดับแวววาว แต่กินเวลาไม่นาน อัญมณีแห่งนี้ก็คายพิษสงอย่างรุนแรง หลายคนเริ่มท้องเสีย อาเจียน มีไข้สูงและผมร่วง หายนะได้คืบคลานครอบคลุมสะท้านไปทั่วเมืองแล้ว
.
ขณะนั้นไม่มีใครรู้ว่าต้นเหตุอาการป่วยเกิดจากอะไร จนเมียของเจ้าของร้านรับซื้อของเก่า คิดว่าหินเรืองแสงสีฟ้าในแคปซูลที่คนเก็บขยะ นำมาขายนั้น อาจเป็นสาเหตุของทั้งหมด จึงนำใส่ถุงพลาสติก นั่งรถเมล์ ไปสถานีอนามัยท้องถิ่น ซึ่งก็ไม่มีใครรู้ว่ามันคืออะไร ก่อนจะเก็บมันไว้
.
และทำให้พิษสงของสารซีเซียมแพร่กระจายไปทั่ว
.
ใครที่ใกล้ชิดสารซีเซียม ต่างล้มป่วยเป็นจำนวนมาก นี่ทำให้หมอโรงพยาบาลเริ่มสงสัยคิดว่า อาจมีการรั่วของกัมมันตรังสี จึงเชิญนักฟิสิกส์การแพทย์มาตรวจ เมื่อเขานำอุปกรณ์ตรวจจับกัมมันตรังสีไปดูพื้นที่ พบว่าที่สถานีอนามัย มีค่าพบวัตถุกัมมันตรังสีสูง ชนิดที่ว่า คนตรวจนึกว่าเครื่องเสีย
.
หลังจากนั้นหายนะก็สำแดงฤทธิ์อย่างสะท้านเมือง สารซีเซียมส่งผลให้คนเข้าโรงพยาบาล ป่วยกันนับร้อย เพียงเพราะมีคนเอาสารดังกล่าวใส่กระเป๋า ไปเที่ยวบาร์ มันเลยกระจายคล้ายโรคระบาด ที่ทำเอาโรงพยาบาลแทบรับมือไม่ไหว
.
16 วันแห่งวิกฤติสารซีเซียมรั่วไหล มันกระจายไปทั่วเมือง ทำเอาคนเสียชีวิต 4 ราย ป่วย 249 คน และต้องเฝ้าระวังนับแสน โดยค่ากัมมันตรังสีที่พบ เทียบเท่ากับเหยื่อที่ถูกทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ในเมืองฮิโรชิม่า กับนางาซากิ ประเทศญี่ปุ่น ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
.
เวลาต่อมามันถูกขนานนามว่า วิกฤตินิวเคลียร์ครั้งร้ายแรงที่สุด นับตั้งแต่เหตุการณ์เชอร์โนบิล ในยูเครนเลยทีเดียว
.
เหตุการณ์นี้สะท้อนปัญหาหลายอย่าง คลินิกที่ควรจัดการดูแลอุปกรณ์การแพทย์ ซึ่งมีสารรังสีอันตราย แต่กลับละเลยที่จะจัดเก็บกำจัดมัน ความยากจนของพลเมือง ทำให้พวกเขาต้องเข้าไปงัดแงะและนำอุปกรณ์ไปขาย โดยไม่รู้ว่ากำลังกำยาพิษไว้ในมือ จากนั้นมันก็แพร่กระจาย เพราะความไม่รู้ของประชาชนคนธรรมดา
.
มันสามารถสะท้อน จิ้มนิ้วไปยังรัฐบาลสุดห่วยแตก ที่ควรจะจัดการปัญหาได้ดีกว่านี้ แต่กลับไม่ทำ โดยขณะนั้นบราซิลเพิ่งล้มเผด็จการทหาร และมีรัฐบาลพลเรือน แต่ผลพวงของเรื่องทั้งหมด รัฐบาลที่ปกครองโดยกองทัพ ไม่อาจปฏิเสธความผิดได้
.
แม้สุดท้ายจะไม่มีใครถูกดำเนินคดีอะไรเลย นอกจากโอบรับคราบน้ำตาแห่งความสูญเสียเก็บไว้ในความทรงจำ
.
เหตุการณ์นี้ ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ และสะท้อนว่าสารซีเซียม ไม่ใช่สิ่งที่ควรละเลยประมาทเป็นอันขาด เพราะหากไร้การควบคุม แจ้งข้อมูลข่าวสารไม่ชัดเจน มาตรการไม่รอบคอบ หายนะจะเกิดขึ้นแก่คนธรรมดาที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร เป็นจำนวนมากด้วย
.
และมันจะจบด้วยความสูญเสีย
.
นี่จึงเป็นบทเรียนครั้งสำคัญของโลก และหวังว่ามันจะไม่เกิดขึ้นที่ประเทศไทยแห่งนี้อีก เป็นอันขาด
.
เราได้แต่หวังว่ามันจะเป็นแบบนั้น
โฆษณา