29 มี.ค. 2023 เวลา 09:31 • ประวัติศาสตร์

Desmond Thomas Doss "เดสมอนด์ โทมัส ดอส" วีรบุรุษสงครามผู้ไม่ยอมจับปืน

สิบโท เดสมอนด์ โทมัส ดอส วีรบุรุษผู้ออกรบในสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยที่เขาไม่ได้จับปืนยิงใครแม้แต่คนเดียว ชายผู้นี้เสี่ยงชีวิตตนเองเพื่อช่วยเหลือเพื่อนร่วมรบ ท่ามกลางสมรภูมิที่เต็มไปด้วยการฆ่าฟัน ห่ากระสุนที่พร้อมจะเจาะหัวเขาได้ทุกเมื่อ แต่เขาก็ไม่ยอมให้อุปสรรคเหล่านั้นมาทำลายปณิธานอันแน่วแน่ของเขาได้
เดสมอนด์ โทมัส ดอส เกิดในปี ค.ศ.1919 ในรัฐเวอร์จิเนีย สหรัฐอเมริกา ครอบครัวของเขาเคร่งในศาสนาคริสต์อย่างมาก เขาเติบโตมาด้วยคำสอนต่างๆและประกอบกิจกรรมทางศาสนาอยู่เสมอ
ในพระบัญญัติ 10 ประการ มีข้อหนึ่งกล่าวไว้ว่า “ห้ามฆ่าคน” การฆ่าคนเป็นบาปที่ร้ายแรงที่สุดในบัญญัติของพระเจ้า นั่นเป็นเหตุผลที่เขาตัดสินใจที่จะไม่แตะต้องอาวุธใดๆในสนามรบ
แต่ในปี ค.ศ.1939 สงครามโลกครั้งที่สองได้เกิดขึ้น ดอส ก็ได้สมัครทหารเพื่อไปร่วมรบในสงครามครั้งนี้ด้วย ในตอนแรกครอบครัวของเขาก็ไม่พอใจ และไม่สนับสนุนเขา แต่เขาก็ได้ให้เหตุผลว่า “ผมจะทนอยู่บ้านเฉยๆได้อย่างไร หากผู้ชายคนอื่นออกไปร่วมรบเพื่อรับใช้ชาติกันหมด”
ผลพวงของสงคราม ทำให้พ่อของดอสติดเหล้าและโมโหร้าย ใช้กำลังกับภรรยา ซึ่งทำให้ดอสและน้องชายของเขารู้สึกเกลียดพ่อ ครั้งหนึ่งเขาแย่งปืนจากมือพ่อของเขามาได้จนเกือบจะเหนี่ยวไกฆ่าพ่อของเขาเองจากความโกรธ
 
แม้ในวันนั้นดอสจะไม่ได้เหนี่ยวไกยิงพ่อของเขาจริงๆ แต่ในใจของเขาได้ยิงพ่อตนเองไปแล้ว
เพื่อไม่ให้เป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติ ที่ไม่ให้คร่าชีวิตเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
นับแต่นั้นมา ดอสจึงให้สัญญากับพระเจ้าว่า “เขาจะไม่จับอาวุธปืนอีกเลย”
ดอสสมัครเข้าร่วมกองทัพในหน่วยเสนารักษ์หรือแพทย์ทหาร โดยใส่หมายเหตุไว้ว่า เขาคัดค้านการใช้อาวุธและขอร่วมรบโดยการไม่ใช้อาวุธ
แต่คำขอของเขาไม่เป็นผล ดอสถูกส่งไปสังกัดอยู่ที่กองร้อยไรเฟิลซึ่งเขาก็ต้องจำใจฝึกอยู่ที่นั่น ในช่วงที่อยู่ที่ค่าย ดอสต้องผ่านการฝึกทหารตามหลักสูตรทหารทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นฝึกระเบียบวินัย ฝึกความแข็งแรง ฐานทดสอบกำลังใจ และที่ขาดไม่ได้สำหรับทหารเลยก็คือการยิงปืน ในขณะที่ครูฝึกสั่งให้พลทหารแต่ละคนเลือกปืนคู่ใจเพื่อใช้เป็นอาวุธประจำกายในการรบ ดอสไม่ยอมไปเลือกปืน เขาบอกว่าเขาไม่จำเป็นต้องใช้ปืน
ครูฝึกของดอสไม่พอใจ และได้รายงานไปยังผู้กองจนเรื่องนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่ เป็นความผิดรุนแรง ฐานขัดขืนไม่ปฏิบัติตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา ถึงขั้นขึ้นศาลทหารเลยทีเดียว แต่ในขณะที่ถูกสอบเขาก็ยังยืนยันคำเดิมกับพนักงานสอบสวนว่า ที่เขาไม่ยอมจับปืนเป็นเพราะพระเจ้าบอกว่าการฆ่าคนเป็นสิ่งที่ผิด แล้วเขายังบอกอีกว่าเขายอมทำทุกอย่างที่ทหารต้องทำ ขอแค่อย่างเดียวคือไม่จับปืนและฆ่าใคร สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่ได้ถูกปลดแถมยังได้ประจำการที่นี่ต่อในฐานะแพทย์สนาม
1
เดสมอนด์ ดอส และโดโรธี แฟนสาวของเขาซึ่งเป็นพยาบาล
จากเหตุการณ์นั้นทำให้ ผู้กอง ครูฝึก รวมไปถึงเพื่อนเขาในกองร้อย มองว่าเขามีสิทธิพิเศษเหนือคนอื่น คอยกลั่นแกล้งต่างๆนานา ทั้งใช้งานหนัก สั่งทำโทษ สั่งกักบริเวณ และถูกเพื่อนๆรุมทำร้ายในตอนดึก เพื่อนบางคนโกรธถึงกระทั่งด่าทอเขาด้วยถ้อยคำที่รุนแรง บอกว่า “ดอสไม่สามารถรอดจากสนามรบได้หรอกถ้าไม่ใช้ปืน และถ้าหากว่าดอสรอดออกมาได้ เขานี่แหละจะเป็นคนยิงหัวของดอสเอง”
ช่วงเวลาในการฝึกของดอสเป็นไปอย่างไม่ราบรื่นนัก เขาอดทนต่อสู้ เขาไม่ยอมให้ใครหรืออะไรมาเปลี่ยนแปลงตัวเขาและความเชื่อของเขาได้ จนสุดท้ายดอสก็สามารถฝึกจนจบหลักสูตรการเป็นแพทย์ทหารจนได้ ก่อนจะลงสนามรบด้วยคติประจำตัวที่ว่า “ในสนามรบที่คนอื่นต่างพรากชีวิตกันและกัน แต่ตัวเขานั้นจะช่วยเหลือชีวิตผู้คน”
ในปี ค.ศ.1945 กองพันของดอสก็ได้รับภารกิจให้ไปเข้ายึดภูมิประเทศสำคัญที่ โอกินาวา บริเวณหน้าผา Hacksaw โดยไปปฏิบัติภารกิจแทนกองพันก่อนหน้าที่พ่ายแพ้ต่อกองทัพทหารญี่ปุ่น เมื่อไปถึงสถานที่จริง หน่วยของดอสก็ได้พบกับหน้าผาที่สูงชัน จนทหารจะต้องไต่ตาข่ายขึ้นไปด้วยความยากลำบาก และเมื่อปีนพ้นขอบหน้าผาแล้วก็ยังต้องเจอกับกองทัพญี่ปุ่นที่ตั้งป้อมรออยู่ด้านบนยิงสวนมา ด้วยภูมิประเทศทำให้ทหารอเมริกาเสียเปรียบอย่างยิ่ง แต่หน่วยของเขาก็ไม่ยอมแพ้ ปฏิบัติหน้าที่อย่างห้าวหาญ
หน่วยของเขายิงต่อสู้กับทหารญี่ปุ่นอย่างดุเดือด สมรภูมิเต็มไปด้วยห่ากระสุนของทั้งสองฝ่ายลอยเคว้งไปมา ในขณะเดียวกัน เดสมอนด์ ดอส ก็ได้ทำหน้าที่ของเขาอย่างสุดความสามารถ หน้าที่ที่เขาต้องคิดถึงชีวิตของคนอื่นก่อนชีวิตตัวเองแม้จะอันตรายแค่ไหนก็ตาม หลายชีวิตที่เขาได้ช่วยไว้ และหลายชีวิตที่เขาไม่สามารถช่วยได้ทัน โดยวิธีการของเขาก็คือลากคนเจ็บจากสนามรบมาที่ขอบหน้าผา จากนั้นก็ใช้เชือกผูกกับคนเจ็บแล้วค่อยๆหย่อนลงมาเพื่อให้หน่วยแพทย์สนามที่อยู่ด้านล่างสามารถนำคนเจ็บไปรักษาต่อที่ฐานได้
แต่ในที่สุดสถานการณ์ก็ไม่เป็นใจ หน่วยของดอสต้านทานกำลังของกองทัพญี่ปุ่นไม่ไหว ต้องร่นถอยลงมาตั้งหลักด้านล่างของหน้าผาก่อน แต่ดอสก็ไม่ได้ถอยออกมาด้วย เขาซ่อนตัวอยู่ในสนามรบเพราะยังมีเพื่อนทหารที่ยังไม่เสียชีวิตนอนบาดเจ็บอยู่ทั่วไปหมด
ท่ามกลางสนามรบที่เต็มไปด้วยทหารที่นอนรอความตายอย่างสิ้นหวัง ยังมีดอส ที่คอยช่วยเหลือเพื่อนทหารของเขาทีละคน แม้แต่เพื่อนคนที่ขู่จะยิงหัวเขาเช่นกัน ในระหว่างที่ช่วยเหลือก็ต้องคอยหลบการตรวจการณ์ของทหารญี่ปุ่นที่เดินหาคนที่ยังไม่ตายไปด้วย ทำแบบนี้อยู่นานเรี่ยวแรงที่เขามีก็เริ่มหมดลง เขาเอนกายนอนลงกับพื้น ถึงแม้ร่างกายเขาจะอ่อนแรง แต่จิตใจของเขายังคงเข้มแข็งอยู่
เขาอธิษฐานขอพรต่อพระเจ้า “ขออีกสักคน ขอให้ลูกได้ช่วยอีกสักคนหนึ่ง” แล้วเขาก็มีแรงฮึดลุกขึ้นไปช่วยเพื่อนได้อีกคนหนึ่ง เมื่อช่วยได้แล้วเขาก็อธิษฐานแบบเดิมอีก และไปช่วยเพื่อนเพิ่มได้อีกเขาทำเช่นนี้ซ้ำๆ จนไม่เหลือผู้บาดเจ็บหลงเหลืออยู่ในสนามรบอีก
ทางด้านทหารที่อยู่ข้างล่างก็เกิดความสงสัยว่ามีผู้บาดเจ็บส่งลงมารักษาอยู่ตลอดทั้งคืนได้อย่างไร ผู้บังคับกองร้อยของดอสก็ได้ถามกับผู้บาดเจ็บคนหนึ่งว่าใครเป็นคนช่วยเขา แล้วมีกันอยู่กี่คน ทหารนายนั้นก็ตอบว่า “เดสมอนด์ ดอส ครับเขาทำทั้งหมดนี้คนเดียว” การกระทำอันกล้าหาญ และเสียสละของดอส ทำให้ทหารคนอื่นๆยกย่องนับถือในจิตใจของเขา วีรกรรมอันเด็ดเดี่ยวของเขาได้เป็นแรงบันดาลใจ และสร้างความฮึกเหิมให้หน่วยของเขา บุกขึ้นไปอีกครั้ง และสามารถยึดพื้นที่ได้สำเร็จ
ในสมรภูมิครั้งนั้น ดอสช่วยชีวิตเพื่อนทหารของเขาได้มากถึง 75 นาย ที่รอดชีวิตจากสงครามและมีโอกาสได้ใช้ชีวิตต่อไป หลังสงครามสิ้นสุดลงดอสได้กลับภูมิลำเนาของเขาที่อเมริกา
เรื่องราวของเขาถูกเล่าขานต่อกันมากมายในกองทัพ เพราะไม่เคยมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ ทหารที่ไปรบโดยไม่ได้จับปืน ไม่ได้ใช้ปืนยิงใครเลยแม้แต่คนเดียว แต่ยังรอดชีวิตมาได้มิหนำซ้ำยังช่วยชีวิตทหารอเมริกาได้อีกมากมาย วีรกรรมความกล้าหาญของเขาทำให้เขาได้รับเหรียญกล้าหาญขั้นสูงสุดของอเมริกา มอบโดยประธานาธิบดี Harry S. Truman
เดสมอนด์ โทมัส ดอส ได้กลับไปสร้างครอบครัวแสนอบอุ่นในบั้นปลายชีวิต และเสียชีวิตลงเมื่อวันที่ 23 มีนาคม ค.ศ.2006 ด้วยอายุ 87 ปี ในปี ค.ศ.2016
เรื่องราวชีวิตของเขาได้ถูกถ่ายทอดออกมาสู่สายตาสาธารณชนผ่านภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ชื่อ “Hacksaw Ridge” จากพลทหารผู้ถูกตีตราว่าขี้ขลาด อ่อนแอ ไม่ยอมจับปืน ถูกกลั่นแกล้งและใช้งานอย่างหนัก สู่วีรบุรุษที่สามารถช่วยชีวิตเพื่อนทหารไว้ได้อย่างมากมาย ความกล้าหาญ และจิตใจอันดีงามของเขา จะถูกจารึกลงในประวัติศาสตร์เพื่อเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับคนรุ่นหลัง
โฆษณา