2 เม.ย. 2023 เวลา 14:07 • บันเทิง

"Obi-Wan Kenobi อดีตกับการก้าวข้ามผ่าน"

Hello there!
สวัสดีสหายเจไดทุกท่าน
รวมถึงเหล่าผู้กล้ามากมาย
ที่กระจายอยู่ตามกาแล็คซี่ต่างๆ
บทความนี้ได้เกิดขึ้นแล้วตามสัญญา
อาจจะช้าไปมาก แต่ก็ไม่อาจต้าน
ความตั้งใจที่ข้าอยากจะรักษาคำพูด
และความมุ่งมั่นที่คิดจะถ่ายทอด
เรื่องราวระหว่างทางจากซีรีส์
“Obi-wan Kenobi” อย่างดีที่สุด
.
.
.
หากลองจินตนาการถึงช่วงเลวร้ายในชีวิต
แค่คิดก็ไม่อยากจะสัมผัสมันอีกแล้วจริงมั้ยครับ
ยิ่งเป็นอดีตที่ปวดร้าว เมื่อคราวเราเคยทุกข์
ก็แทบจะอยากใช้ฟอร์ซกลบฝังมันเอาไว้แบบนั้น
แต่สำหรับโอบีวัน ทุกคืนที่ผ่านไป
ไม่เคยเป็นเรื่องง่ายสักนิดเดียว
เมื่อ “Anakin Skywalker”
ลูกศิษย์เพียงหนึ่งเดียว
ที่เขาเฝ้าฟูมฟักฝึกฝนสุดหัวใจ
เด็กหนุ่มผู้ถูกเลือกที่เคยยิ้มอย่างสดใส
เป็นเพื่อนร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล
เป็นดั่งน้องชายที่รู้ใจกันมานาน
กลับกลายเป็นคนหลงทาง
หัวใจโดนจิตวิญญาณด้านมืดครอบงำ
เห็นถูกเป็นผิด เห็นขาวเป็นดำ
เข้าห้ำหั่นกับผู้เป็นอาจารย์
จนสุดท้ายโอบีวันต้องจำใจกำราบกับมือ
เกิดเป็นปมอดีตที่สร้างรอยแผลใหญ่
ฝังลึกเกาะกินหัวใจเขามาตลอด
เจ็บปวด หมกมุ่น รุ่มร้อน
ยิ่งกว่าลาวาบนดาว Mustafar เสียอีก
แม้จะเป็นถึงสุดยอดอัศวินเจได
ที่ทั่วกาแล็กซี่ให้การยอมรับเพียงใด
แต่มันก็โคตรจะไร้ความหมาย
เมื่อลูกศิษย์ทั้งคนยังดูแลไม่ได้เลย
กลายเป็นชายแก่ผู้เจ็บปวด
อยู่กับฝันร้ายเมื่อยามตื่น
ในทุกวันคืนก็ยากที่จะข่มตาหลับ
สองมือที่เคยกวัดแกว่งไลท์เซเบอร์
กลับอ่อนล้าโรยแรง แววตาที่เคยมุ่งมั่น
พลันสิ้นแสงส่องประกายอย่างวันวาน
ท่ามกลางยุคสมัยที่เจไดหมดสิ้นตำนาน
และจักรวรรดิอิมพิเรียลกำลังเรืองอำนาจ
ยิ่งทำให้เขารู้สึกหมดหวัง หมดอาลัย
หลงทาง ปวดใจ เสียตัวตนทุกอย่างที่เคยมี
เสียอะไรไปมากมาย ไร้ซึ่งคนแนะนำและสหายร่วมทาง
นับเป็นช่วงเวลาที่บัดซบที่สุดในชีวิต
เหมือนคนตายที่ยังหายใจไปวันๆ
แห้งเหี่ยวยิ่งกว่าทะเลทรายบนดาวทาทูอีน
กระทั่งเมื่อพบว่าอดีตที่ว่านั้น
ยังคงเป็นผีร้ายตามมาหลอกหลอน
เมื่อรู้ว่าอนาคินไม่เพียงแต่ยังไม่ตาย
ซ้ำร้ายยังกลายเป็น “Darth Vader”
ที่มาพร้อมเสียงลมหายใจ
แห่งความเคียดแค้นรุนแรง
มุ่งมั่นอยากจะฟาดฟันเอาคืน
สิ่งที่โอบีวันเคยทำเขาไว้ให้สาแก่ใจ
นำมาสู่บททดสอบครั้งใหญ่ว่า
จะวิ่งหนีอดีต แกล้งลืมมันไปตลอด
หรือจะทำบางอย่างเพื่อ “ก้าวข้าม” มันให้ได้ในที่สุด
ซึ่งแม้ซีรีส์นี้จะไม่ได้เปรี้ยงปร้าง
สมดั่งที่แฟนๆ รอคอยมานาน
ทว่าก็ได้สอดแทรกเรื่องราว
และแง่คิดหลายอย่างที่ลึกซึ้งกินใจ
.
.
.
1. รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง
สุภาษิตจีนประโยคนี้ยังคงนำมาใช้ได้ทุกยุคทุกสมัย ยิ่งในมหาสงครามแห่งดวงดาวอย่างแฟรนไชส์ “Star Wars” การหวังจะชิงชัยอีกฝ่าย หาใช่ด้วยการมีฟอร์ซ มีขุมกำลังรบเหนือกว่าอย่างเดียว หากแต่ต้องมีกลยุทธ์และการรู้เท่าทันอีกฝ่ายให้ได้มากที่สุดถึงจะมีโอกาสมากกว่า
ซึ่งแม้โอบีวันจะโค่นศัตรูมาไม่รู้เท่าไหร่ ก็ไม่อาจเทียบได้กับอนาคินที่เคยร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ รู้ไส้รู้พุงกันหมด นั่นจึงทำให้ดาร์ธ เวเดอร์กลายเป็นศัตรูที่น่ากลัวที่สุด เพราะรู้นิสัย จุดแข็ง-จุดอ่อนของเขาดีทุกอย่าง และพวกเขามีฟอร์ซที่เชื่อมโยงถึงกัน
เราจึงได้เห็นการชิงไหวชิงพริบกันตลอดทาง โอบีวันหรือเบนล่าถอย เวเดอร์เข้าไล่ อ่านใจ วิเคราะห์กันไปมาแบบไม่มียอมกันง่ายๆ เห็นได้ชัดสุดใน Ep.5 เมื่อซิธลอร์ดผู้ทรงพลังได้ตามติดสัญญาณของโลล่ามายังดาวจาบีม อีกจุดที่พวกฝ่ายต่อต้านใช้พักรักษาตัวรอโอกาส ตอนนั้นที่ภาพความทรงจำเก่าๆ ได้หวนกลับคืน
ภาพของอนาคินที่ฝึกฝนประลองไลท์เซเบอร์กับโอบีวัน ตอนนั้นเคยเป็นมายังไง ตอนนี้ก็ยังเป็นเช่นเดิม อดีตพาดาวันผู้กระหายในชัยชนะและมุ่งมั่นจะเพื่อพิสูจน์ตัวเองเพื่อให้ได้รับการยอมรับจากผู้เป็นอาจารย์รวมถึงทุกคน จนนำมาซึ่งท่วงท่าต่อสู้ที่เต็มไปด้วยอารมณ์รุนแรง พุ่งพล่าน กระหน่ำฟาดฟันใส่โอบีวันจนไลท์เซเบอร์หลุดมือ “ความปรานีเอาชนะศัตรูไม่ได้หรอกอาจารย์ เพราะงั้นท่านถึงแพ้ไง!”
เหตุการณ์ในวันนั้น ทำให้ยอดเจไดรู้ดีว่าเวเดอร์ พร้อมจะบุกโจมตีโดยไม่รอแน่ โดยมีเป้าหมายที่เขาคนเดียว ขอเพียงบดขยี้โอบีวันให้แหลกเป็นชิ้นๆ ได้ ข้าก็ไม่ต้องการอะไร แต่แล้วเวเดอร์ก็ยังคงนิสัยพื้นเดิมที่เชื่อมั่นในพลังและความคิดของตัวเอง จากที่เคยบอกอาจารย์ว่าท่านประเมินพลังของข้าต่ำไป หาได้รู้ไม่ว่าตัวเองมักจะประเมินอีกฝ่ายต่ำเสียเองจนเผลอมองข้ามกลยุทธ์บางอย่าง เกิดเป็นช่องโหว่ให้โต้กลับ
อย่างการประลองที่เหมือนจะชนะ ปลดอาวุธอาจารย์ได้แล้ว กลับพลาดท่าให้ความเก๋าเกม เจอโอบีวันที่ทำท่าจะยอมจำนน แล้วสู้กลับแบบไม่มีอาวุธ พลิกชนะในที่สุด แสดงให้เห็นว่ากระบี่อยู่ที่ใจต่างหาก
“ความกระหายชัยชนะมันทำให้เจ้ามืดบอด เจ้าเป็นยอดนักรบ อนาคิน แต่ความอยากพิสูจน์ตัวเองของเจ้า มันคือความผิดพลาด หากเจ้าเอาชนะมันไม่ได้ เจ้าก็ยังเป็นแค่พาดาวัน”
โอบีวัน
และก็ไม่ผิดไปจากนั้นจริงๆ เมื่อเวเดอร์หลงกลโอบีวัน ที่ให้พรรคพวกฝ่ายต่อต้านปล่อยยานลำหนึ่งออกไปเป็นนกต่อ เพราะรู้ว่าซิธลอร์ดกัดไม่ปล่อยแน่ ก่อนจะใช้ลำจริงบินหนีไปได้ นี่แหละคือคลาสแห่งการต่อสู้
2. การที่ใครคนหนึ่งผิดพลาด ล้มลง ไม่ได้แปลว่าเขาจะพลาดตลอดไป
ดนี้ขอยืมประโยคเด็ดจากหนัง “X-Men: Days of Future Past” มาใช้สักหน่อยนะครับ เพราะสำหรับโอบีวัน ไม่เพียงแต่เขาจะสูญสิ้นศรัทธาในตัวเอง หลายคนก็สิ้นศรัทธาในตัวเขาเช่นกัน
“จะฝึกสอนลุคแบบที่สอนอนาคินน่ะเหรอ? ข้าไม่ยอมให้ท่านพลาดซ้ำสองหรอก”
โอเว่น
“แกไม่ใช่เจไดอีกแล้วเคโนบี แค่คนธรรมดา" -
นักล่าค่าหัว
“ไปเถอะ ท่านถูกตามล่า จะพาพวกเราซวยหมด อยากให้ข้าช่วย? เด็กๆ ที่ยกหินให้ลอยได้บนดาวโครัสซองก็เคยต้องการให้ท่านช่วย”
โรเค่น
ความฉลาดสดใสของเลอาได้เปิดหัวใจของโอบีวันอีกครั้ง
หากมองกันตามเนื้อผ้า โอบีวันดูไม่มีอะไรให้น่าเชื่อเหมือนก่อน แต่ท่ามกลางชีวิตอันว่างเปล่า ยิ่งมืดกลับยิ่งเห็นดาวชัดขึ้นไปอีก ตั้งแต่ “Bail Organa” สหายเก่าที่ยังคงเชื่อมั่นและศรัทธาในตัวเขาอยู่ ขอให้ช่วยพาเจ้าหญิง “Leia” ลูกสาวบุตรธรรมและลูกแท้ๆ ของอนาคินกลับมา
โอบีวันจึงย่อมอ่อนใจยอมกลับคืนสังเวียนโดยมองเป็นเพียงภารกิจชิงตัวหลาน แต่เมื่อได้พบกัน กลับเป็นความสดใส ฉลาดเกินวัยของเธอที่เปิดหัวใจอันแตกสลายของชายแก่ให้ค่อยๆ คืนกำลังวังชา ทำให้ค้นพบว่ายังมี “ความหมาย” บางอย่างในชีวิต ว่าอย่างน้อยเขาก็ยังเป็นที่ต้องการของใครสักคน หรืออย่างน้อยชีวิตนี้ก็ไม่ได้หมดหวังซะทีเดียว การได้เฝ้าดูลุคและเลอาเติบโต ก็เป็นหมุดหมายใหม่ๆ ที่ทำให้หัวใจอยากไปต่อ
ฟอร์ซที่หายไปพลันกลับคืน ความเก๋าเกม เต็มไปด้วยกลยุทธ์และชั้นเชิงก็กลับมา รวมถึงกระบวนท่า ความมั่นใจที่เกิดขึ้น จนรู้ตัวอีกทีก็ค่อยๆ กลับมาเป็นยอดเจไดคนเดิมแบบที่เขาควรจะเป็น
อย่าง “Haja Estree” เจไดกำมะลอที่ใช้ลูกเล่นโชว์ฟอร์ซตบตาชาวบ้านเพื่อหลอกเอาเงิน เมื่อถึงยามที่โอบีวันเข้าตาจน ก็เป็นเขาที่ขอไถ่บาป ช่วยเหลืออย่างเต็มกำลัง บอกทางขึ้นยานหนีไปจากไดยู แล้วไปพบกับพรรคพวกเขาที่ดาวมาพูโซ่ “จะว่าข้าทำผิดไว้มั้ย…ก็ใช่ แล้วรู้สึกผิดมั้ย…ก็มีบ้าง แล้วข้าชอบเงินมั้ย…ชอบสิ แต่ข้าพยายามจะไถ่บาป ข้าช่วยครอบครัวนั้นได้ และก็จะช่วยท่านเหมือนกัน ท่านไม่ได้โดดเดี่ยวหรอกนะโอบีวัน” ก่อนจะกลายเป็นอีกหนึ่งสหายที่เบนไว้ใจ สังเกตทุกครั้งที่ต้องออกไปสู้ ก็จะฝากเลอาไว้กับฮาจาเสมอ
หรือแม้แต่ “Reva Sevander” หรือภคินีที่ 3 อดีตเจไดตัวน้อยผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์ Order 66 แล้วต้องใช้ชีวิตอยู่กับความรู้สึกผิดที่ไม่อาจช่วยเพื่อนๆ จากเงื้อมมืออนาคินในตอนนั้นได้เลย มุ่งหน้าเข้ารับใช้จักรวรรดิเพียงเพื่อจะแก้แค้นให้สาสมใจ ยอมทำทุกวิถีทางทั้งล่าโอบีวัน จับเลอา ลอบสังหาร “The Grand Inquisitor” คนเก่าเพื่อให้ตัวเองได้แทนที่
สารพัดวิธีเพื่อเอาคืนเวเดอร์ให้ได้ ทว่าด้วยความใจร้อน พุ่งพล่านเลยทำให้เธอพลาด ไม่เคยรู้ว่าอีกฝ่ายมองออก เตรียมการรับมือไว้แล้วทุกอย่าง แม้จะสู้สุดชีวิตก็เหมือนมดไปชนช้าง พ่ายจนบาดเจ็บสาหัส แม้จะได้รู้ความลับเวเดอร์ว่ามีลูกอีกคนที่ดาวทาทูอีน เลยตามไปจะฆ่าลุคเพื่อทวงความยุติธรรมให้ตัวเอง สุดท้ายพอโอกาสมาก็ทำไม่ลง เสียใจกว่าเดิม
“เจ้าจะเลือกเป็นใคร อยู่ที่ตัวเจ้าเอง”
โอบีวัน
จะเห็นได้ว่าทุกคนล้วนเคยผิดพลาด นั่นคือธรรมดาของมนุษย์หรือแม้แต่เอเลี่ยนก็พลาดได้ แต่ไม่ได้แปลว่าพวกเขาจะต้องพลาด หลงทางไปตลอดเสียเมื่อไหร่ ไม่ว่าใครต่างก็คู่ควรที่จะได้รับ “โอกาส” อีกครั้งไม่มากก็น้อย ได้แก้ตัวและพัฒนาตัวเอง สร้างคุณค่าให้คนอื่นได้เช่นกัน
3. "อดีตบางอย่างมันลืมได้ยาก แต่เราสู้เพื่อให้มันดีขึ้นได้"
เป็นหนึ่งในใจความสำคัญที่ซีรีส์นี้ให้เรามา เมื่อตอนที่ “Tala Durith” บอกกับเบนหรือโอบีวันว่า “ร่างกายไม่ใช่สิ่งเดียวที่ต้องรักษานะเบน บางเรื่องในอดีตมันยากจะลืม ท่านแค่ต้องใช้เวลา” ก่อนที่เบนจะบอกว่า “บางอดีตมันก็ยากที่จะลืม” แม้เขาจะพยายามกัดฟันสู้เพื่อเลอามากเพียงใด ก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวั่นไหวไปกับภาพจำของวันวานและอนาคินที่ยังติดค้างคาในใจ
เธอเลยเล่าเท้าความให้ฟังว่า ตอนแรกที่สมัครเข้าทำงานในจักรวรรดิอิมพิเรียลก็นึกว่าเป็นหนทางที่ดีมีอนาคต แต่พออยู่ไปสักพักก็ค่อยๆ เห็นถึงความโหดเหี้ยม ป่าเถื่อน ไม่เลือกวิธี บนวิถีการปกครองแบบเผด็จการ ไม่ได้ตามล่าแต่เจไดอย่างเดียว แต่ล่าทุกคนที่เปน Force Sensitive ไม่เว้นแม้กระทั่งเด็ก
ซึ่งเธอได้แต่ดูโดย ได้แต่ทนเห็นเด็กๆ ถูกฆ่า โดยที่ไม่สามารถทำอะไรได้เลย จึงเลือกที่จะมา “ลุกขึ้นสู้” ในสิ่งที่เธอเคยช่วยไว้ไม่ได้ ให้มันมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นบ้าง สักนิดก็ยังดี เมื่อเห็นว่าตำนานเจไดที่ยังมีลมหายใจอยู่อย่างเบนได้หวนคืนเส้นทาง ก็ไม่ลังเลที่จะเข้าช่วยทั้งพาไป “เดอะพาท” เซฟเฮาส์ที่พักพิง
อีกทั้งยังช่วยชีวิตเขาไว้จากปากเหวและเงื้อมมือของมัจจุราชเวเดอร์ ในวินาทีที่ความตายเข้าใกล้มาเรื่อยๆ ก่อนจะพากันร่วมสู้ ชิงตัวเลอากลับมาได้อีกครั้ง ร่วมกันต่อต้านจักรวรรดิอย่างสุดกำลัง บนแสงแห่งความหวังที่มีในหัวใจ
"อดีตบางอย่างมันลืมได้ยาก แต่เราสู้เพื่อให้มันดีขึ้นได้"
ทาล่า
ประโยคนี้และการพลีชีพของเธอ ได้เป็นอีกหนึ่งเชื้อไฟที่กระตุ้นให้เบนกลับมาฮึดสู้ยิ่งกว่าเดิม “กล้า” ที่จะเอาชนะความ “กลัว” ออกไปลุยให้บางอย่างมันเปลี่ยนแปลงไป ดีกว่างอมือเท้าแล้วไม่ได้อะไรเลย
4. “อดีต” มีไว้ให้ข้ามผ่าน
หลังจากวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนมานาน เมื่อได้เห็นผู้บริสุทธิ์มากมายและคนใกล้ตัวซึ่งเปรียบดั่งครอบครัวเดียวที่เหลืออยู่ต้องมาเดือดร้อนเพราะตัวเอง นั่นจึงทำให้เบนมุ่งหน้าออกไปลุยกับเวเดอร์ให้มันรู้แล้วรู้รอดไป!
“ข้าต้องเผชิญหน้าเขาอาจารย์(ไควกอน) ไม่เขาก็ข้าที่ต้องตาย มันต้องจบลงวันนี้ ข้าจะทำสิ่งที่ต้องทำ!” ที่สุดแล้วโอบีวันก็เลือกที่จะสู้กับความจริง หยิบไลท์เซเบอร์คู่ใจออกไปวัดคมกับเวเดอร์ศิษย์เก่าอย่างสุดกำลัง
แม้ครั้งนี้โอบีวันจะพลิกตำราเข้าต่อสู้ได้ดีขึ้นกว่าแมตช์ก่อน แต่รายละเอียดในด้านพลังนั้น เขายังคงเป็นรองอยู่ นั่นจึงเป็นช่องโหว่ให้ซิธลอร์ดใช้ฟอร์ซซัดหินกลบฝังกะให้ตายทั้งเป็น ขณะนั้นเองภาพของพวกลุค เลอาก็ปรากฏขึ้นเป็นฉากๆ เข้ามาปลุกพลังให้เค้าฮึดสู้อีกครา บุกใส่เวเดอร์ไม่ยั้งและเต็มไปด้วยชั้นเชิง ราวกับภาพของโอบีวันคนเก่าได้กลับมาจริงๆ ก่อนจะระเบิดพลังยกก้อนหินระดมอัดใส่มัน
สีหน้าแห่งความเคียดแค้นของดาร์ธ เวเดอร์
ทุกก้อนที่พุ่งออกไปนั้นล้วนแฝงไปด้วยความรู้สึกและความทรงจำมากมาย ทุกข์ สุข มิตรภาพ ความผูกพัน ความผิดหวัง ภูมิใจ อัดกระหน่ำเข้าไป ตามด้วยไลท์เซเบอร์ที่ฟาดฟันอย่างสุดกำลัง สิ่งเหล่านี้ได้พูดแทนใจที่แตกสลายมานานของโอบีวัน ว่าที่ผ่านมานั้นข้าเองก็เจ็บปวดไม่น้อยไปกว่าเจ้าเลย ยิ่งได้เห็นหน้ากากที่แตกหักจนเผยโฉมของใบหน้าและแววตาอันเคียดแค้นของเวเดอร์ ราวกับจ้องจะฉีกเลือดเนื้อเขาให้ได้
แค้นทั้งที่ทำให้เขากลายเป็นครึ่งคน-ครึ่งไซบอร์ก แค้นที่ก่อนหน้านี้ไม่ว่าจะทำอะไรก็มักจะโดนขัดไปซะหมด แค้นที่ในยามน้ำตารินไหลหยด เจอกับวิกฤตชีวิตและความกลัวจะสูญเสีย “แพดเม่” ภรรยาสุดที่รักไป แล้วต้องพยายามจัดการกับปัญหาคนเดียวจนหลงทาง เหมือนที่แพดแม่เคยบอกว่าเจ้าก้าวไปในหนทางที่ข้าไม่อาจเข้าถึงได้เลย สายตาของเวเดอร์ที่ส่งมานั้นก็ยิ่งทำให้โอบีวันเข้าใจได้ดีและรู้สึกผิดจับใจ อนาคินเหรอ?
“อนาคินตายแล้ว ข้าคือซากที่เหลือ!”
ดาร์ธ เวเดอร์
“ข้าขอโทษ ข้าขอโทษอนาคิน สำหรับทุกอย่าง”
โอบีวัน
ขอโทษที่…ไม่ได้อยู่เคียงข้างมากพอ ในวันเที่เจ้าปราะบาง
ขอโทษที่…ในยามเคว้งคว้าง ไม่ได้พยายามชี้นำเจ้าดีๆ
ขอโทษที่…ทำให้เจ้าเป็นแบบนี้ ไม่มีวันไหนเลยที่ข้าไม่เสียใจ
แต่แล้วเวเดอร์ก็ตอบกลับอย่างไม่ใยดี
“ท่านไม่ได้ล้มเหลวเรื่องข้าหรอก โอบีวัน ท่านไม่ได้ฆ่าอนาคิน สกายวอล์คเกอร์ ข้าต่างหากล่ะ! เหมือนที่ตอนนี้จะขยี้ท่านซะ”
ประโยคนี้ได้ทำให้โอบีวันยอมรับและเข้าใจในปัจจุบันได้อย่างแท้จริง
“งั้นสหายข้าคงตายไปแล้วจริงๆ ลาก่อน ดาร์ธ!”
พูดจบเขาก็เลือกที่จะเดินหันหลังกลับให้ศิษย์เก่าอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ทำด้วยความรู้สึกที่แตกต่างออกไป ไม่มีอะไรคาใจอีกแล้ว ไม่จำเป็นต้องลงมือปลิดชีวิตอีกฝ่ายด้วยซ้ำ เพราะอนาคินคนเดิมได้ตายไปแล้วนั่นเอง สิ่งที่โอบีวันเลือกจะทำจึงไม่ใช่การ “ยอมแพ้” แต่เป็นการ “ยอมรับ” ในผลลัพธ์ว่าที่ผ่านมาเขาได้พยายามอย่างดีที่สุดแล้ว เมื่อสุดท้ายไม่อาจไปกันได้ ก็คงต้องจบลงแค่นี้ เพื่อก้าวไปต่อก็แค่นั้น
เวเดอร์ผู้พ่ายแพ้ก็เช่นกัน จากตอนแรกหลังจบศึกแล้วยังคงคุกรุ่นอยู่ มุ่งจะไล่ตามโอบีวันต่อจน “Darth Sidious (ดาร์ธ ซีเดียส)” หรือพัลพาทีน จักรพรรดิผู้ชี้นำสู่ด้านมืดก็ได้กล่าว “เจ้าดูร้อนรนนะสหายข้า เหมือนความคิดเจ้ายังขุ่นมัวอยู่ บางทีอาจเพราะความรู้สึกที่มีต่อ อาจารย์เก่า ทำเจ้าอ่อนแอ หากเจ้ายังก้าวข้ามอดีตไม่ได้ล่ะก็... นั่นจึงทำให้เวเดอร์เรียนรู้ที่จะก้าวข้ามผ่านอดีตเหมือนกัน หลังจากนั้นจึงไม่ได้ไล่ล่าอาจารย์เก่าอีกเลย เป็นเวลานานหลายปีทีเดียว
ขณะเดียวกัน “อดีต” ก็ใช่ว่าจะต้องมีแต่เรื่องเจ็บปวด เพราะความทรงจำบางอย่างที่เราอาจเผลอลืมไป ไม่เคยคิดถึงมาก่อน พอได้กลับมานึกย้อนแล้วก็แอบมีความสุขแปลกๆ แบบที่โอบีวันสัมผัสได้ถึงตัวตนของแพดเม่และอนาคินคนเดิมผ่านเลอาผู้เป็นลูกสาว “เจ้าหญิงเลอา เจ้าทั้งฉลาด ทรงปัญญา จิตใจงาม และดื้อ นั่นคือสิ่งที่ได้จากแม่ แต่เจ้ายังมุ่งมั่น กล้าหาญ ตรงไปตรงมา สิ่งนี้ได้จากพ่อ ทั้งสองเป็นคนยอดเยี่ยมที่ให้กำเนิดลูกสาวที่ยอดเยี่ยม”
5. เมื่อใดที่หลับตาลง เมื่อนั้นก็จะได้เห็นความจริง หนทาง,,,
ป็นอีกหนึ่งกุศโลบายที่สอดแทรกมาในเรื่องได้อย่างดี จะเห็นได้ว่ามีหลายครั้งที่โอบีวันพยายามจะเชื่อมต่อกับ Force Ghost ของไควกอนผู้เป็นอาจารย์ แต่ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนก็ไม่อาจสัมผัสได้เลย ไม่ต่างจากชีวิตจริงของคนเรา เมื่อจิตใจโศกเศร้า ขุ่นมัว เครียดกังวล ก็ยากที่จะใช้ความคิดได้เต็มประสิทธิภาพ อารมณ์เหมือนว่ายน้ำในทะเลขุ่นๆ เต็มไปด้วยตะกอนขยะและเศษซากเก่าๆ ทำให้เรามองเห็นสิ่งต่างๆ ได้ไม่สุด
ดังนั้นเมื่อโอบีวันเริ่ม “ปล่อย” อดีตแล้ว “วาง” ความรู้สึกแย่ทุกอย่างออกไปหมด เขาก็สามารถกลับมาเป็นอัศวินเจไดผู้เก่งกาจคนเดิมได้ใหม่และสัมผัสได้ถึงอาจารย์ “ไง กว่าเจ้าจะมาได้นะ ข้าอยู่ที่นี่เสมอแหละโอบีวัน แค่ตอนนั้นเจ้ายังไม่พร้อมที่จะเห็น มาเถอะ เรายังต้องไปอีกไกล!”
ทำให้เห็นว่าคุณค่าแห่งตัวตนของเราไม่เคยจากไปไหน ขอเพียงเรียนรู้ ยอมรับ และเข้าใจ ก็ย่อมก้าวไปต่อได้ในที่สุด!
"Luke Skywalker" ในวัยเยาว์
จริงอยู่ที่ซีรีส์เรื่องนี้
ทำผลงานได้ไม่แมสอย่างที่ควรจะเป็น
เมื่อเทียบกับการมีวัตถุดิบชั้นเยี่ยม
อย่างการกลับมาของนักแสดง
และตัวละครระดับตำนานชุดเก่า
ผู้เป็นดั่งไอค่อนของแฟรนไชส์
แต่กลายเป็นเคี่ยวเนื้อเรื่องได้ไม่เข้มข้นพอ
ปรุงรสให้จืดยืดยาน กว่าจะสนุก
ก็ปาไป Ep.5-6 ช่วงท้ายจนจบ
แล้วข้อดีล่ะ ก็มีไม่น้อยทีเดียวนะครับ
กับการที่ซีรีส์ได้นำเสนอ “Side Stories”
ที่สะท้อนเรื่องราว แง่มุม และความสัมพันธ์ต่างๆ
ระหว่างตัวละครให้เห็นเป็นภาพชัดใหญ่ขึ้น
รวมถึงการหยอด Ester Eggs
ที่แสดงการเคารพต้นฉบับได้ดี
เช่น ประโยคที่เวเดอร์บอกโอบีวัน
ว่าข้านี่แหละที่ฆ่าอนาคิน
ก็ตรงกับที่โอบีวัน(เบน) พูดกับลุคในภาค 4
ว่าพ่อเจ้าถูกเวเดอร์ฆ่าตาย
หรือทำไมเจ้าหญิงเลอา
ถึงพร่ำบอกในโฮโลแกรมว่า
“โอบีวัน ท่านคือความหวังเดียว!”
ซีรีส์นี้ก็ได้เฉลยเหตุผลทั้งหมดให้ดู
ว่าเธอรักและเทิดทูนเขายังไง
จนถึงวันหนึ่งที่มีลูกชาย
ก็ยังตั้งชื่อตามโอบีวัน
ว่า “เบน โซโล”
รวมถึงการเล่า “อีกด้าน” ของฮีโร่
ที่ไม่ได้มีแต่สีขาว เก่งกาจ ดีเลิศทุกอย่าง
หากแต่ยังมีความเป็นมนุษย์ธรรมดาอยู่
สมหวัง ผิดหวัง หลงทาง เจ็บปวด ยอมรับ เรียนรู้
อยู่กับปัจจุบันและก้าวไปหาอนาคตใหม่ๆ ต่อ
จนถึงวันหนึ่งที่เขายอมกระทั่งให้เวเดอร์ฆ่า
ก่อนจะไปเป็นหนึ่งเดียวกับพลังได้
เพื่อช่วยให้พวกลุคได้รอด
สิ่งเหล่านี้แหละที่ช่วยเติมเสน่ห์ให้โอบีวัน
เติบโตเป็นตัวละครที่มีหลากมิติขึ้นไปอีก
สำหรับอัศวินเจไดแห่งตำนานที่แม้
ต้องสูญเสียอาจารย์ผู้ชี้นำทางไป
ถูกโน้มน้าวให้เปลี่ยนฝ่าย
ร่ำไห้เมื่อหญิงสาวผู้เป็นที่รัก
ได้จากไปอย่างไม่มีวันกลับ
โดนกลุ่มลูกน้องหักหลัง
อีกทั้งบรรดาสหายร่วมรบ
ต่างถูกลอบสังหารตาย
ซ้ำร้ายยังถูกศิษย์รักหักหลัง
มุ่งหน้าเข้าด้านมืดกลายเป็นอีกคน
ที่เหมือนไม่เคยรู้จักกันมา
ทว่าโอบีวันก็ไม่เคยสูญเสียตัวตน
คุณธรรมและความเชื่อของตัวเอง
ไม่เคยอ่อนข้อเข้าสู่ด้านมืดเลยสักครั้งเดียว
“Ewan McGregor” และ “Hayden Christensen” ได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง
และที่สำคัญ “31 มีนาคม”
Happy Birthday to “Ewan McGregor”
ดีใจที่เห็นคุณและ “Hayden Christensen”
ได้กลับมาโลดแล่นในกาแล็กซี่เดียวกันอีกครั้ง
“May the force be with you, always!”
โฆษณา