4 เม.ย. 2023 เวลา 15:22 • ไลฟ์สไตล์

ทำยังไง ไม่ต้อง อ้วน เวอร์ชั่นมนุษย์เงินเดือน

"อ้วน" คำนี้เป็นคำที่ทิ่มแทงใจหลายๆ คน โดยเฉพาะคุณผู้หญิง คนส่วนใหญ่ที่ผมรู้จักมักจะบ่นให้ผมฟังว่าตัวเองอ้วน และต้องทำการควบคุมน้ำหนักอยู่บ่อยๆ วันนี้ผมเลยขอแบ่งปันวิธีในการปฏิบัติตัว เพื่อที่จะ ทำยังไง ให้ไม่ต้อง อ้วน เวอร์ชั่นมนุษย์เงินเดือน  แปลว่าไม่ต้องเปลืองเงินทองมากมาย คนเดียวก็ทำได้ ที่ผมใช้มาหลายปี และเห็นผล มาเล่าสู่กันฟังครับ
ก่อนอื่นเลย เราควรต้องรู้ก่อนว่า เราอ้วนจริงๆ หรือเปล่า เพราะหลายคนมักจะเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น แล้วเอามาตรฐานของคนอื่นเป็นตัวตั้ง ทำให้รู้สึกว่าเราอ้วนเกินไป โดยที่ในความเป็นจริง เราอาจจะมีน้ำหนักที่สมส่วนอยู่แล้ว
วิธีง่ายที่สุดในการรู้น้ำหนักที่เหมาะสมของตัวเรา ให้เอาความสูงหน่วยเป็นเซ็นติเมตรของเรา ลบด้วย 100 สำหรับผู้ชาย และลบ 110 สำหรับผู้หญิง ค่าที่ได้คือน้ำหนักโดยประมาณที่เหมาะกับเรา โดยอาจจะบวก ลบ 0.5 - 1 กิโลกรัม ถ้าอยู่ในเกณฑ์นี้ คุณไม่ได้น้ำหนักเกิน แต่คุณอาจจะดูท้วมๆ นิดนึง แต่ถ้าอยากดูสลิมขึ้นไปอีก ขอให้ใช้สูตรลบเพิ่มไปอีก 10 จากปกติ โดยที่ผู้ชายจะลบ 110 และลบ 120 สำหรับผู้หญิง
หากคำนวณแล้ว คุณมีน้ำหนักเกินเกณฑ์อยู่ ขอให้เอาตัวเลขที่ได้ เป็นเป้าหมายของน้ำหนักที่เราต้องทำให้ได้
พอได้เป้าหมายแล้ว มาลองดูวิธีการกันครับ ผมเลือกที่จะออกกำลังกาย โดยไม่ได้อดอาหาร และไม่ได้กินยา หรือสารควบคุมอะไร ทำให้วิธีนี้ นอกจากจะทำให้เราแข็งแรงแล้ว มันยังปลอดภัย และประหยัดงบของเราด้วย
แน่นอนครับ ตามหัวข้อเลย ทุกวันนี้ผมทำงานเป็นพนักงานบ.เอกชน มีเวลาเข้างาน เลิกงานแบบคนทำงานกินเงินเดือนทั่วไป ที่ผมลุกขึ้นมาออกกำลังกาย เพราะเคยป่วยบ่อยๆ เอะอะก็เจ็บคอ เอะอะก็เป็นแผลในปาก ร้อนใน โน่น นี่ นั่น จนเกิดความรู้สึกว่า ไม่อยากเป็นแบบนี้อีกแล้ว ก็เลยหาวิธีในการออกกำลังกายในแบบฉบับของตัวเอง ลองทำมาเรื่อยๆ จนเริ่มลงตัว เริ่มกันเลยนะครับ วิธีของผมมีดังนี้
1. ไม่จำเป็นต้องออกกำลังกายทุกวัน อันนี้ผมพิสูจน์มาแล้วว่าทำแล้วดีจริง ทุกวันนี้ ผมออกกำลังกายประมาณอาทิตย์ละ 3 - 4 ครั้งเท่านั้น แต่ขอให้ทำสม่ำเสมอ ต่อเนื่องในระดับนึง ไม่ใช่ทำอาทิตย์ หยุดไปเดือนนึง อันนี้ก็จะไม่ได้ผลซะเปล่าๆ
2. ออกกำลังกายครั้งละ 30 - 45 นาทีก็เพียงพอ
3. เลือกช่วงเวลาในการออกกำลังกายให้เหมาะสมกับชีวิตของเรา จะเลือกเช้าก่อนเข้างาน หรือเย็นหลังเลิกงาน ขอให้เลือกที่เหมาะกับเราที่สุด โดยหากเลือกออกเช้าก่อนเข้างาน (ผมเลือกเช้า) ให้เอาเวลาของการเข้างานเป็นตัวตั้ง และลบเวลาเดินทาง + ระยะเตรียมตัวก่อนออกเดินทาง ก็จะได้เวลาในการตื่นของเราในวันที่ออกต้องออกกำลังกาย เช่น เราต้องเข้างาน 8 โมงเช้า ใช้เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมง
เวลาในการเตรียมตัวอาบน้ำ กินข้าว แปรงฟัน 1 ชั่วโมง เท่ากับเวลาตื่น 6 โมงเช้า แต่ผมแนะนำว่า เราควรเผื่อเวลาเอาไว้สำหรับการพักหลังออกกำลังกาย ทำโน่นนี่นั่นแบบไม่ต้องรีบ อีก 1 ชั่วโมง ดังนั้นเวลาที่เหมาะสมในการตื่นคือ ตีห้า นั่นเอง หากเลือกเป็นหลังเลิกงานก็อาจจะต้องกะเวลาดีๆ ถ้าให้ผมแนะนำ อยากให้เลือกรอบเช้าจะง่ายกว่า (ในความรู้สึกผมนะครับ)
4. สลับประเภทของการออกกำลังกาย ไม่ควรออกอย่างเดียวเพราะจะจำเจ และร่างกายอาจได้ออกกำลังกายเฉพาะส่วนเกินไป ทำให้ล้า และบาดเจ็บได้ง่าย โดยของผม ผมเลือกวันนึงทำโยคะ วันนึงเล่นเวท อีกวันนึงเต้น โดยหากอาทิตย์ไหนสามารถออกได้ 4 วัน ก็อาจจะเล่นเวท 2 ครั้ง ประมาณนี้ แต่ส่วนใหญ่จะออกไม่เกิน 3 ครั้ง และทั้งหมดผมทำที่บ้าน ค่าใช้จ่ายก็จะมีในส่วนของ อุปกรณ์เวท ถุงมือ และเบาะแบบนอนเล่น รวมๆ น่าจะประมาณสี่พันกว่าบาท ใช้งานกันยาวๆ ส่วนเต้น กับโยคะก็เปิดคลิปจากมือถือ หรือต่อออกทีวีเอา
5. ข้อสุดท้ายสำคัญที่สุดนั่นคือ ความตั้งใจของเรา ขอให้แน่วแน่ในการทำเรื่องนี้ให้เป็นวาระแห่งชาติของตัวคุณเองให้ได้ ข้อนี้จริงๆ ถือว่าเป็นข้อที่ท้าทายมากที่สุด เพราะคนรู้จักผมส่วนใหญ่เกินครึ่งมักจะท้อ และเลิกกลางคันไปซะก่อน ดังนั้นความตั้งใจ เอาจริงเอาจัง สำคัญมาก ถ้าเริ่มแล้ว ควรทำให้ต่อเนื่องอย่างน้อย 4 อาทิตย์ต่อเนื่อง
ที่เหลือคือหาวันดีๆ และเริ่มลงมือทำ แนะนำให้วันแรกควรเรื่องวันที่วันถัดไปเป็นวันหยุดจะดีมาก เผื่อคุณเพลีย จะได้มีเวลาพักผ่อน ด้วยวิธีนี้ ระยะเวลาที่คุณออกกำลังกาย คิดเป็นแค่ 1% จากจำนวนชั่วโมงทั้งหมดใน 1 สัปดาห์ ซึ่งน้อยมาก มันเหมือนกับการลงทุนที่แสนจะคุ้มค่า เพราะสิ่งที่คุณจะได้จากการลงทุนนี้คือ สุขภาพที่ดี ที่ไม่สามารถหาซื้อได้ด้วยเงิน
รวมถึงน้ำหนักที่เหมาะสม ไม่ "อ้วน" นี่ยังไม่นับถึงความสุขในการใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ เพราะคุณไม่ต้องเจ็บป่วย ประหยัดเงินในการต้องไปจ่ายค่าหมอ ค่ายา เอาเงินตรงนี้ไปทำอะไรได้อีกเยอะแยะ มันคุ้มซะยิ่งกว่าคุ้ม สำหรับการลงทุนแค่ 1% แล้วได้ผลตอบแทนขนาดนี้นะครับ ลองดู แล้วคุณจะติดใจ
โฆษณา