Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
TODAY Bizview
•
ติดตาม
11 เม.ย. 2023 เวลา 04:05 • สิ่งแวดล้อม
คณะวิทย์ มธ. เตือน กทม. เสี่ยงจมบาดาลในอีก 50 ปี
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ไตรเทพ วิชย์โกวิทเทน อาจารย์ประจำสาขาวิชาวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ม.ธรรมศาสตร์ (SCI-TU) เปิดบทวิเคราะห์ผลกระทบจากภาวะโลกรวน (Climate Change) โดยระบุว่า กรุงเทพมหานครเป็นหนึ่งในมหานครที่มีความเสี่ยงจมบาดาลภายใน 50 ปี
3
ซึ่งมีสาเหตุสำคัญจาก 3 ปัจจัย คือ
1.การทรุดตัวของชั้นดินเฉลี่ย 2-3 เซนติเมตรต่อปี
2.น้ำทะเลหนุน
3.การสูญเสียน้ำใต้ดินจากการใช้น้ำบาดาลในอดีต
4
โดยนอกจาก กทม. แล้ว ยังพบว่าเมืองหลวงหรือมหานครหลายแห่งของประเทศต่างๆ ก็มีความเสี่ยงเช่นกัน อาทิ อินโดนีเซีย, ไนจีเรีย, รัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา, รัฐเวอร์จิเนีย สหรัฐอเมริกา, รัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา, รัฐลุยเซียนา สหรัฐอเมริกา, บังคลาเทศ, อิตาลี, เนเธอร์แลนด์, อียิปต์
4
ซึ่งส่วนใหญ่มีทำเลที่ตั้งอยู่ใกล้กับเส้นทางคมนาคมทางน้ำ ติดทะเล มีลักษณะเป็นเมืองท่า ที่มีความสำคัญง่ายต่อการเดินทางสัญจร การติดต่อค้าขายตั้งแต่อดีต ที่มีความเสี่ยงในลักษณะเดียวกัน และเป็นปัญหาที่หลายประเทศเร่งหาทางออก ซึ่งบางประเทศได้ตัดสินใจย้ายเมืองหลวง อาทิ อินโดนีเซีย
3
จากการวิเคราะห์ความเป็นไปได้ในการแก้ไขปัญหาน้ำทะเลรุกคืบจาก ภาวะโลกรวน (Climate Change) และ 3 ปัจจัยเสี่ยงของมหานครที่เป็นเมืองท่าติดทะเล พบว่า การย้ายมหานครควรเป็นทางเลือกสุดท้าย เนื่องจากกระทบต่อประชาชนที่ต้องเคลื่อนย้าย และใช้งบประมาณที่สูงมากกับการจัดผังเมืองเมือง สร้างอาคาร ที่อยู่อาศัย และระบบสาธารณูปโภค
4
โดยคณะวิทย์ มธ. มีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการ ‘ปรับผังเมือง’ โดยยึดหลักไม่ ‘ทุบ รื้อ ถอน’ ซึ่งเน้นการปรับฟังก์ชั่นการใช้งานประกอบด้วย 3 แนวทาง ได้แก่
1. การลดพื้นที่อเนกประสงค์บริเวณชั้น 1 โดยใช้งานตั้งแต่ชั้น 2 ขึ้นไป เพื่อลดผลกระทบจากเหตุน้ำท่วมฉับพลัน
1
2.การเพิ่มทางเดินลอยฟ้า (Sky walk) ที่เชื่อมจากอาคารออฟฟิศ เพื่อใช้เป็นเส้นทางสัญจรของผู้คนที่เชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าโดยไม่ต้องเดินลุยน้ำ ซึ่งมีต้นทุนไม่สูงมากถ้าเทียบกับการรื้อผังเมืองเพื่อสร้างใหม่หรือการย้ายมหานคร
2
3.การเสริมแนวคันกั้นน้ำประสิทธิภาพสูง ไม่มีร่องฟันหลอตลอดแนวแม่น้ำเจ้าพระยา
นอกจากนี้ คณะวิทย์ มธ. ยังมองถึงปัญหาของกลุ่มจังหวัดที่เป็นพื้นที่รอยต่อชายทะเลของภาคกลาง อาทิ กทม. สมุทรปราการ สมุทรสาคร และสมุทรสงคราม ที่เริ่มเห็นผลกระทบจากการรุกคืบของน้ำทะเล และการกัดเซาะชายฝั่ง ทำให้สูญเสียพื้นที่บกตามแนวชายฝั่งไป
1
ซึ่งการการลงพื้นที่พบว่าแนวป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งอย่าง ‘ป่าชายเลน’ มีไม่มากพอที่จะทำหน้าที่ชะลอความแรงของคลื่น และเพิ่มการตกตะกอน จนนำไปสู่การเกิดแผ่นดินงอกใหม่ได้
1
แม้ว่าที่ผ่านมาจะมีหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนดำเนินโครงการปลูกป่าชายเลนอย่างต่อเนื่อง แต่จากการศึกษาในพื้นที่พบว่า เมื่อจบขั้นตอนการปลูกแล้ว ไม่มีการดูแลติดตามผล ซึ่งปัญหาที่พบส่วนใหญ่ คือ ปัญหาการระบายน้ำและของเสียภายในแปลงปลูก
3
เนื่องจากบริเวณป่าชายเลนจะประกอบไปด้วยโคลนและตะกอน เมื่อสะสมเป็นเวลานานโดยไม่มีการไหลเวียนของน้ำ ทำให้เกิดการสะสมของสารอินทรีย์ในปริมาณมาก ดินตะกอนเกิดการเน่าเสีย จนส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของกล้าไม้ที่ปลูก และทำให้กล้าไม้ตายในที่สุด
จากการศึกษายังพบว่า มีการใช้แปลงปลูกป่าชายเลนหลายแห่งเพื่อปลูกเวียน ปลูกซ้ำ ซึ่งทำให้พื้นที่ป่าชายเลยไม่ได้เพิ่มขึ้น และในทางกลับกัน บริเวณชายฝั่งถูกกัดเซาะเพิ่มขึ้นทุกปี
ซึ่งคณะวิทย์ มธ. มีคำแนะนำสำหรับการปลูกป่าชายเลน คือ ต้องสร้างความตระหนักรู้กับประชาชนว่า เมื่อปลูกแล้วต้องติดตามการเติบโต หมั่นดูแลการไหวเวียนของน้ำและระบบนิเวศแปลงปลูก ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ควรทำต่อเนื่องและวัดผลจากพื้นที่ป่าชายเลนที่เพิ่มขึ้น แทนการวัดด้วยจำนวนต้นที่ปลูกใหม่
โดยแนะนำให้เสริมกิจกรรมการปักแนวไม้ไผ่ชะลอคลื่น เพื่อเพิ่มเกราะป้องกันแนวป่าชายเลนที่ปลูกใหม่ ซึ่งทั้งการปลูกป่าชายเลนที่มีการติดตามผลอย่างต่อเนื่อง และการเสริมแนวไม้ไผ่กันคลื่นก่อนปะทะแนวป่าปลูกใหม่ จะช่วยลดผลกระทบการกัดเซาะชายฝั่ง และลดความเสี่ยงน้ำทะเลหนุนของ กทม. และจังหวัดที่มีติดชายฝั่งทะเลได้อีกทางหนึ่ง
1
ขณะเดียวกัน คณะวิทย์ มธ. ยังห่วงค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 และ PM 10 ที่กระทบการดำเนินชีวิตประจำวันของประชาชน ที่ส่วนใหญ่เกิดจาก ‘การเผาของภาคเกษตรกรรม’ และรองลงมาคือ ‘ไฟป่า’ โดยเสนอไอเดียสำหรับการแก้ปัญหา ‘ฝุ่นละอองขนาดเล็ก’ ในระยะยาวที่เริ่มได้ทันที ด้วยการเพิ่มแรงจูงใจเพื่อหยุดการเผา ที่ช่วยลด Hot Spot อย่างยั่งยืน และไม่ควรหนุนการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าปีต่อปี โดย คณะวิทย์ มธ. มีแนวทางเพื่อคืนสุขภาพปอดที่ดีให้แก่คนไทย 2 แนวทาง ดังนี้
2
1.เพิ่มรางวัลจูงใจแก่ชุมชนที่ปลอดการเผา 100 เปอร์เซ็นต์ อาทิ ให้งบประมาณอุดหนุนการซื้อปุ๋ยในราคาพิเศษ, คูปองส่วนลดน้ำมันกลุ่มดีเซลสำหรับเกษตรกรในพื้นที่ บรรเทาความเดือดร้อนจากปัญหาต้นทุนการผลิตสูง ควบคู่กับการลงโทษด้วยการจับปรับ ที่มีกระบวนการที่ล่าช้า และมีประสิทธิภาพน้อยกว่า
2.ส่งเสริมการท่องเที่ยวเพื่อการอนุรักษ์ อาทิ พื้นที่ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ‘ดอยหลวงเชียงดาว’ ที่มีแนวทางบริการจัดการที่น่ายกย่องให้เป็นแบบอย่างของวิถีชุมชนกับป่าและการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน คือ เน้นสร้างการมีส่วนร่วม ให้คนในชมชนร่วมเป็นเจ้าของ ตั้งกำลังคนในชุนชนทำงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐในการทำแนวกันไฟอย่างสม่ำเสมอ เพิ่มพื้นที่ชุ่มน้ำ ไม่ทำลายทรัพยากร และอนุรักษ์ป่าต้นน้ำ จนกลายเป็นพื้นที่ป่าต้นแบบที่ไม่มี ‘ไฟป่า’ เกิดขึ้นต่อเนื่องหลายปี
2
ซึ่งทำให้ชุมชนสามารถต่อรองเพื่อของบประมาณเพื่อพัฒนาการท่องเที่ยว จนเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่มีชื่อเสียงในปัจจุบัน
“อย่างไรก็ดี เรื่องของ ‘สิ่งแวดล้อม’ ยังคงเป็นเรื่องสำคัญต่อการพัฒนาเมือง และคุณภาพชีวิตของประชากรโลก ซึ่งถือเป็นเทรนด์ของการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs)"
2
"จึงเป็นโอกาสของคนรุ่นใหม่ ที่จะได้เติบโตบนเส้นทางสู่ ‘นักวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม’ ที่จะเป็นเรี่ยวแรงสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กร หน่วยงานต่างๆ ที่จะถูกยกระดับจากทีมเบื้องหลังในห้องปฏิบัติการ สู่ทีมงานแถวหน้าที่มีความสำคัญของทุกองค์กร ในการขับเคลื่อนการพัฒนาและการทำธุรกิจที่มุ่งสู่ Net Zero เพื่อชะลอความเสี่ยงจากภาวะโลกรวน (Climate Change) ร่วมกับหลายประเทศทั่วโลกที่มีภารกิจร่วมกันให้สำเร็จ” ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ไตรเทพ กล่าวทิ้งท้าย
1
#TODAYBizview
#MakeTomorrowTODAY
สิ่งแวดล้อม
ข่าว
62 บันทึก
62
4
149
62
62
4
149
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย