16 เม.ย. 2023 เวลา 03:13 • การศึกษา

พระราชบัญญัติประถมศึกษาพ.ศ. 2464

เรื่องการศึกษาภาคบังคับนี้  เป็นเรื่องที่อยู่ในความคิดของนักการศึกษามานานแล้ว  แต่ยังขัดข้องด้วยเครื่องมือที่มีไม่พร้อม  ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯก็ได้มีการเริ่มวางแผนเป็นการกรุยทางไว้บ้างแล้วในเรื่องการศึกษาของทวยราษฎร์  โดยอาราธนาพระสงฆ์ตามวัดต่างๆ  ให้ช่วยสั่งสอนเด็กที่อยู่ในปกครองตามแบบโรงเรียนหลวงมาตั้งแต่ พ.ศ. 2441
ต่อมาในพ.ศ. 2451 ถึง 2452 ได้จัดให้มีการประชุมเทศาภิบาล  หารือเรื่องการจัดการศึกษาให้แพร่หลายออกไปตามหัวเมือง  กระทรวงมหาดไทยรับมอบหมายหน้าที่ให้เป็นผู้จัดการศึกษาเบื้องต้นให้ราษฎรได้เล่าเรียนทั่วกันทุกคน  เพราะถือว่าเป็นกระทรวงปกครองท้องที่ทั่วพระราชอาณาจักร
แต่การจัดของกระทรวงมหาดไทยในชั้นต้นเป็นเพียงจัดให้นักเรียนอ่านออกเขียนได้เท่านั้นก่อน  จัดให้มีกรรมการตำบลขึ้นคณะหนึ่งประกอบด้วยกำนัน แพทย์ประจำตำบล  และเจ้าอธิการวัดสำคัญในท้องที่นั้นรวม 3 คน  มีหน้าที่จัดให้เด็กที่มีอายุควรเรียนหนังสือได้  ได้รับการศึกษาหนังสือไทย  และเมื่อถึงคราวสำรวจสำมะโนครัว  ก็ให้เด็กลองอ่านหนังสือดู  ถ้าเด็กอายุ 13 ปีอ่านหนังสือออกก็เป็นอันใช้ได้
ต่อมาในพ.ศ. 2454 ได้มีการตกลงระหว่างกระทรวงศึกษาธิการ  และกระทรวงนครบาลในเรื่องที่เกี่ยวกับการศึกษาประชาบาลอีกว่า เรื่องการศึกษาชั้นต้นนั้น  จำเป็นต้องมีอยู่ทุกตำบลทุกหมู่บ้าน  ให้เพียงพอแก่จำนวนเด็กชายและหญิงที่มีอายุระหว่างศึกษาเล่าเรียน  โดยจัดให้มีโรงเรียนที่บรรดาประชาชนตั้งขึ้น    ดำรงอยู่ได้ด้วย  ภาษี  อากร  ส่วย  หรือเงินอื่นที่จะพึงหาได้ เรียกว่า"โรงเรียนประชาบาล"
เป็นหน้าที่ของกระทรวงนครบาลที่จะจัดตั้งโรงเรียนประชาบาลขึ้น ให้เพียงพอสำหรับเด็กชายและหญิง  ที่มีอายุระหว่างเล่าเรียน  ซึ่งกำหนดไว้ว่ามีอายุย่างเข้า 8 ปี  ตลอดจนมีหน้าที่ชักนำให้เด็กเข้าเรียน  หาครู  และหาเงินมาดำเนินการทั้งสิ้น
การศึกษาประชาบาลได้ก่อตั้งขึ้นทีละเล็กละน้อยตามกำลัง  แต่ยังมิได้มีการบังคับทั่วไป  แม้ว่าในโครงการศึกษาพ.ศ. 2458   จะได้มีการกล่าวถึงการศึกษาภาคบังคับ  คือการประถมศึกษาอยู่แล้วก็ตามแต่ยังคงผ่อนผันกันตลอดมา
จนถึง  พ.ศ. 2464  พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ  ทรงพระราชดำริว่า  เป็นเวลาสมควรที่จะบังคับให้ประชาชนได้รับการศึกษา  อย่างน้อยที่สุดในชั้นประถมศึกษาโดยทั่วถึงกันแล้ว  จึงโปรดให้ตราพระราชบัญญัติประถมศึกษาพ.ศ. 2464 ขึ้น  เมื่อวันที่ 1 กันยายน พ.ศ.  2464  โดยมีสาระสำคัญพอที่จะสรุปได้สั้นๆ ดังนี้
1.  บังคับให้ผู้ปกครองส่งเด็กทุกคนที่มีอายุครบ 7 ปีบริบูรณ์ เข้าศึกษาเล่าเรียนในโรงเรียนประชาบาลจนกระทั่งอายุครบ 14 ปีโดยไม่ต้องเสียงเงินค่าเล่าเรียนแต่อายุที่กำหนดไว้นี้  อาจขยับขึ้นไป  8  หรือ  9  หรือ 10 ปีก็ได้(แต่ไม่เกิน 10 ปี)ในกรณีที่มีความจำเป็นเกี่ยวกับท้องถิ่นที่ยังไม่มีโรงเรียนประชาบาล  เด็กที่ไม่อยู่ในเกณฑ์บังคับ  จะเข้าในโรงเรียนรัฐบาลหรือโรงเรียนราษฎร์ที่สอนตามหลักสูตรประถมศึกษา  หรือหลักสูตรอื่นที่กระทรวงศึกษาธิการเห็นว่าเทียบเท่าก็ได้  แต่ต้องเสียค่าเล่าเรียนตามที่หวังไว้
2.  ในปีหนึ่งโรงเรียนจะต้องมีเวลาเปิดเรียนไม่น้อยกว่า 320 เวลา(วันหนึ่งนับเป็น 2 เวลา คือเช้าและบ่าย) หรือ 800 ชั่วโมง  และเด็กขาดเรียนติดต่อกันเกิน 30 วันโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือไม่มีเหตุผลอันสมควรไม่ได้
3.  ให้มีสารวัตรศึกษาคอยตรวจตราดูแล  ถ้าผู้ปกครองไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับในพระราชบัญญัตินี้  ให้สารวัตรศึกษาแจ้งความเป็นลายลักษณ์อักษร  ให้ปฏิบัติตามภายในเวลาอันสมควร  ถ้ายังขัดขืนโดยไม่มีเหตุผลจะต้องได้รับโทษปรับไหมมากน้อยตามความผิด
4.  พระราชบัญญัตินี้บัญญัติเรื่อง  การยกเว้นเด็กที่อยู่ในเกณฑ์บังคับให้เข้าเรียนโรงเรียนประถมศึกษาไว้ด้วยเหมือนกัน  ได้แก่เด็กที่มีผู้ปกครองขอทำการสอนเองในครอบครัว  แต่จะต้องส่งเด็กนั้นไปให้ศึกษาธิการอำเภอทำการสอบไล่ดูปีละครั้งถ้าได้ผลไม่เป็นที่พอใจ  จะต้องให้เข้าศึกษาในโรงเรียน  คือถูกถอนการยกเว้น
นอกจากนั้นยังยกเว้นเด็กที่เรียนจบชั้นประโยคประถมศึกษา  หรือเทียบเท่าที่ยังมีอายุไม่ถึง 14 ปี  หมายความว่า  ถ้าเรียนจบแล้วก็ไม่ต้องเรียนซ้ำซากอยู่จนกว่าอายุจะครบ 14 ปี จึงจะพ้นเกณฑ์  เด็กที่กำลังกาย กำลังความคิดไม่สมประกอบ  หรือเด็กเป็นโรคติดต่อที่ร้ายแรง  หรืออยู่ห่างจากโรงเรียนที่เปิดทำการสอนเกินกว่า 3,200 เมตร  หรือไม่สามารถจะไปให้ถึงโรงเรียนได้ด้วยเหตุใดเหตุหนึ่ง  ก็ได้รับการยกเว้น ไม่ต้องถูกเกณฑ์ให้เข้าเรียน
โรงเรียนประชาบาลอาจตั้งขึ้นได้โดยประชาชนในท้อง ถิ่นนั้นสมัครใจ  รวมกันตั้งขึ้นเอง  หรือมิฉะนั้นก็ให้นายอำเภอเป็นผู้จัดตั้ง  โรงเรียนประชาบาลที่นายอำเภอเป็นผู้จัดตั้ง  อาจมีรายได้มาจับจ่ายใช้สอยโดยเรียกเก็บเงินจากราษฎรเป็นรายปีเรียกว่า"เงินศึกษาพลี"  เก็บจากผู้ชายทุกคนที่มีอายุระหว่าง 18 ถึง 60 ปี อัตราที่เรียกเก็บ ระหว่าง 1 บาทถึง 3 บาทแล้วแต่ท้องที่จะกำหนด  มียกเว้นไม่เก็บจากผู้ที่ทำมาหาเลี้ยงชีพไม่ได้  บรรพชิตในศาสนาต่างๆ  พลทหารและตำรวจประจำการ
ส่วนคนที่ได้ออกเงินบำรุงโรงเรียนประชาบาลที่พวกตนจัดตั้งขึ้นแล้วในปีนั้น    เป็นจำนวนเงินไม่น้อยกว่าเงินที่จะพึงชำระเป็นค่าศึกษาพลี  ก็ได้รับการยกเว้นไม่เก็บด้วยเช่นเดียวกัน
พระราชบัญญัติประถมศึกษาพ.ศ. 2464  มิได้ประกาศใช้บังคับทั่วราชอาณาจักร  ท้องที่ใด  ตำบลใดพร้อมที่จะจัดการศึกษาชั้นประถมศึกษาได้  เช่นมีตัวโรงเรียนและมีครูผู้สอนพร้อมแล้ว  ก็ประกาศใช้พระราชบัญญัติประถมศึกษาเฉพาะตำบลนั้นๆ
ต่อมาได้มีพระราชบัญญัติประถมศึกษาแก้ไขเพิ่มเติม  พุทธศักราช 2473 และครั้งสุดท้ายได้ประกาศใช้พระราชบัญญัติประถมศึกษา พุทธศักราช 2478  บังคับใช้ทั่วทุกตำบลในพระราชอาณาจักร  ยกเลิกเก็บเงินศึกษาพลีตามพระราชบัญญัติเดิม  และยกเว้นบังคับเด็กที่อยู่ให้ห่างโรงเรียนจาก 3,200 เมตร เหลือเพียง 2,000 เมตรเท่านั้น
--------------------
ประมวล/สรุปจาก..พงศ์อินทร์ ศุขขจร(ประวัติการศึกษาไทย, 2512)
Cr. เจ้าของภาพ
โฆษณา