19 เม.ย. 2023 เวลา 10:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ

ประวัติศาสตร์เรื่องน้ำมัน ทองคำสีดำสะเทือนโลก

ว่ากันว่า “น้ำมัน” คือ อาหารของอุตสาหกรรมโลก
เพราะฉะนั้น เราจะเห็นว่า หนึ่งในภารกิจสำคัญของสหรัฐฯ คือ การพยายามขยายอิทธิพลในตะวันออกกลาง เพื่อหาแหล่งน้ำมัน
เพราะอุตสาหกรรมจะเติบโตไม่ได้หากปราศจากน้ำมัน ผู้ควบคุม Supply ได้เปรียบเหมือนผู้ครองโลก
อย่างไรก็ตาม จนถึงตอนนี้ยังไม่มีข้อสรุปว่า สหรัฐมีการขุดบ่อน้ำมันในเชิงอุตสาหกรรมที่ไหนเป็นที่แรก
แต่เป็นไปได้ว่าจะเป็น Drake Well ซึ่งตั้งชื่อตาม Edwin Drake เป็น 1 ใน 2 ที่ไปขุดน้ำมันที่ City of Titusville ในรัฐเพนซิลวาเนีย สหรัฐฯ แล้วเจอ
หลังจากค้นพบว่า น้ำมันมีค่า ในสหรัฐฯมีการขุดน้ำมันหลายที่
แต่คนที่กลายเป็นมหาเศรษฐี คือ John D.Rockefeller
เขาไม่ได้ขุดแต่เป็นคนกลั่นน้ำมัน และตั้งบริษัทกลั่นน้ำมันชื่อว่า Standard oil
ตอนนั้นสหรัฐฯ เริ่มมีการใช้น้ำมันมากขึ้น แต่ยังไม่ได้ตั้งเป้าว่าอุตสาหกรรมจะโตไปถึงไหน เลยใช้วิธีขุดน้ำมันในบ้านตัวเอง
ขณะที่ประเทศอื่นๆ ก็มองว่า น้ำมันน่าสนใจ เพราะดีกว่าไอน้ำและถ่านหิน
เนื่องจากให้ความร้อนที่สูงกว่า เช่นรถยนต์ จุดระเบิดแล้วสามารถใช้งานได้เลย เป็นเชื้อเพลิงที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า เลยคิดจะไปขุดบ้าง
หนึ่งในนั้นคือ British Empire
คนที่สนใจคือ มหาเศรษฐีชื่อ William Knox D’Arcy คิดว่า ไปดูภูมิภาคไหนที่มีน้ำมัน เลยตัดสินใจไปเปอร์เซีย เจรจาขอขุดน้ำมัน เสนอว่าจะให้เงิน 20,000 ปอนด์ (ปัจจุบันคือ 2.2 ล้านปอนด์)
ถ้าขายน้ำมันได้จะให้ 16%ของผลกำไร
สุลต่านเปอร์เซีย ก็โอเค เพราะตอนนั้นคนเปอร์เซ๊ยยังไม่เห็นค่าน้ำมัน เพราะยังไม่มีอุตสาหกรรม
ในเวลานั้น มีบริษัทชื่อ Burmah Oil Company เป็นบริษัทขายน้ำมันของสก็อตแลนด์
ตั้งชื่อนี้เพราะเคยไปค้าน้ำมันและแก๊สที่พม่า ตอนนั้นยังเป็นส่วนหนึ่งของ British Empire ทาง William Knox D’Arcy เลยไปขอร่วมทุน
เพราะกว่าจะขุดน้ำมันได้ 1 บ่อ อาจจะต้องใช้เวลา 7-8 ปี แต่ถ้าขุดเจอ 1 บ่อ กินไป 30-40 ปี
จุดเริ่มต้นของการขุดน้ำมันในเปอร์เซียจึงเริ่มต้นในปี 1901 โดยบริษัทที่เกิดจากการ Joint Venture ขุดน้ำมันมา 9 ปี จนพบว่าใช้เงินไปราว 5 แสนปอนด์ก็ไม่เจอเลยถอดใจ ให้หัวหน้าวิศวกรที่ขายอุปกรณ์เอาเงินมาเป็นค่าโดยสารพาคนงานชาวอังกฤษกลับบ้าน
แต่หัวหน้าวิศวกรยังดื้อ​ ขุดต่ออีกสองอาทิตย์ ปรากฏว่าเจอน้ำมัน กลายเป็นบ่อน้ำมันที่ชื่อ Abadan ซึ่งกลายเป็นบ่อที่ใหญ่ที่สุดในโลกเป็นเวลา 30 ปี
พอได้บ่อน้ำมันมา เลยเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น “Anglo-Persian Oil Company”
ตอนนั้นใกล้สงครามโลกครั้งที่ 1 แล้ว
อังกฤษมองเยอรมนีเป็นภัยคุกคาม วินสตัน เชอร์ชิล ตอนนั้นเป็นนายกสภาการราชนาวีอังกฤษ มองว่า ถ้าปล่อยให้เรือดำน้ำ อาวุธสำคัญของเยอรมนีแข็งแกร่ง เราจะลำบาก
เพระฉะนั้น ต้องหาแหล่งน้ำมันเพิ่ม เพราะต่อให้เรือดำน้ำเก่งแค่ไหน ถ้าน้ำมันไม่พอ ต้องโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ ก็เหมือนนินจาที่ยืนกลางแดด
ตอนนั้น อังกฤษ ใช้แหล่งน้ำมันจาก Royal Dutch Shell ซึ่งต้องส่งน้ำมันให้กองทัพอากาศอังกฤษ
วินสตัน เชอร์ชิล บอกไม่ได้ เราต้องมีน้ำมันในมือ เลยไปขอเงินทุนในการซื้อหุ้นจากบริษัท Anglo-Persian Oil Company 50% อังกฤษ เลยซื้อบริษัทนี้ มาทำเป็นรัฐวิสาหกิจ
เยอรมนีรู้แผนการของอังกฤษ แต่มีอุปสรรคคือทางออกทะเล มีทั้งฮอลแลนด์และอังกฤษเป็นอุปสรรค เลยไปให้จักรวรรดิออตโตมานช่วย ทำรางรถไฟชื่อ Berlin - Baghdad Railway
เริ่มจากคอนสแตนตินโนเบิล ฝั่งยุโรปของตรุกี ผ่านแบกแดด
เพื่อที่ช่วงสงคราม จะได้มีเรือดำน้ำมุดใต้น้ำ และยิงระเบิดเพื่อยิงเรือผิวน้ำของอังกฤษ
แต่ตอนนั้นอังกฤษรู้ เลยพยายามจะเข้าควบคุมพื้นที่ของตุรกี เกิดเป็นสมรภูมิชื่อ Battle of Gallipoli แต่อังกฤษแพ้
ถึงอย่างนั้น แผนการทำทางรถไฟไปถึงแบกแดดก็ไม่สำเร็จ​
แต่พออังกฤษรู้ว่าพื้นที่ตรงนั้น ซึ่งเป็นที่ตั้งของซาอุดิอาระเบียในปัจจุบันมีน้ำมัน ก็อยากได้​ เลยส่งสายลับที่มีชื่อว่า T.E Lawrence หรือ Lawrence of Arabia เพื่อเตรียมพร้อมจะครอบงำพื้นที่
หน้าที่ของ Lawrence of Arabia คือ ทำให้คนอาหรับในพื้นที่ดังกล่าวปลดแอกออกจากออตโตมันให้ได้ เพื่อที่พอออตโตมันพ่ายแพ้สงครามอังกฤษจะได้เป็นพันธมิตรของพื้นที่ดังกล่าว
ตอนนั้น Lawrence of Arabia ก็ร่วมมือกับ Al-Hashimi จนชาวอาหรับปลดแอกได้
ต่อมา Al-Hashimi รู้ว่าอังกฤษไม่ได้จริงใจ เพราะไปทำสัญญาว่าถ้าได้พื้นที่มา จะมอบพื้นที่เล็กๆ ซึ่งก็คือพื้นที่อิสราเอลในปัจจุบันให้กับชาวยิวทั่วโลก สุดท้ายตกลงกันไม่ได้ อังกฤษเลยหันไปสนับสนุนอีกกองกำลังที่ชื่อว่า Al-Saud
Al-Hashimi สู้กับ Al-Saud ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสหราชอาณาจักรและฝรั่งเศส ขับไล่ Al-Hashimi ขึ้นไปทางเหนือ ไปเป็นเจ้าของราชวงศ์ที่ปกครองจอร์แดนในปัจจุบัน
ในปี 1932 กษัตริย์ Adulaziz bin Abdul Rahman Al-Saud ได้สถาปนาซาอุดิอาระเบีย
สิ่งที่อังกฤษได้ คือ ปกป้องแหล่งน้ำมัน Abadan ซึ่งมีน้ำมันให้อังกฤษใช้มากกว่า 30 ปี
มาที่สหรัฐฯ ตอนนั้นมีนโยบาย Open Door Policy หรือ ให้ออกไปให้โอกาสนอกประเทศ
Standard Oil แคลิฟอร์เนีย เลยไปขอสัมปทานสำรวจน้ำมันจากกษัตริย์ซาอุฯ
พระองค์ยินดีให้เข้าไปสำรวจพื้นที่ 9 แสนตารางกิโลเมตร จากพื้นที่ทั้งหมด 2 ล้านกว่าตารางกิโลเมตร ถ้าหาน้ำมันเจอให้สัมปทาน 60 ปี แลกกับเงิน
เพราะตอนนั้นเทคโนโลยีในการขุดเจาะน้ำมันของซาอุดิอาระเบียยังเป็นสเกลเล็ก ไม่ใช่สำหรับอุตสาหกรรม ที่สำคัญเอามาแล้วก็ไม่รู้ว่าเอาน้ำมันไปใช้กับอะไร
​ปรากฏว่าขุดไปขุดมาเจอน้ำมันที่ Al Dalam ตอนนั้นกษัตริย์ซาอุฯ ได้กลิ่นกำมะถัน ถามข้าราชบริพารว่ากลิ่นอะไร คำตอบที่ได้คือ กลิ่นแห่งความมั่งคั่ง
หลังจากขุดเจอบ่อแรก ใช้เวลา 9 เดือน สหรัฐฯถึงส่งออกน้ำมันได้
เท่ากับว่า สหรัฐฯ ประสบความสำเร็จในการปักหมุดพื้นที่มีน้ำมันมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
หลังจากนั้นปี 1951 หลังสงครามโลก สหรัฐฯเดินหน้าขุดบ่อที่ 2 ชื่อแหล่งน้ำมัน Sadaniya หลังจากนั้นยังเจออีกหลายบ่อ และกลายเป็นที่มาของบริษัทน้ำมันSaudi Aramco oil Company ของสหรัฐฯและซาอุฯ
ความสำเร็จในการควบคุมแหล่งน้ำมันของสหรัฐฯ ทำให้ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 สหรัฐฯไม่ต้องห่วงเรื่องน้ำมันเลย
ยิ่งหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ทั่วโลกฟื้นตัวไม่ได้ถ้าไม่มีอุตสาหกรรมน้ำมัน
ยุคนั้น ทั่วโลกเติบโตด้วยอุตสาหกรรมรถยนต์ น้ำมันจึงกลายเป็นสิ่งขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจโลก
ณะเดียวกัน ประเทศทางแถบตะวันออกกลางเริ่มตระหนักได้ถึงคุณค่ามหาศาลของน้ำมัน
 
ตอนนั้นอังกฤษมองว่า อิหร่าน ซึ่งปกครองโดย Mohammad Reza Shah น่าจะกระด้างกระเดื่อง อยากเอาลูก Reza Shah Pahlavi ที่หัวค่อนข้างเอียงไปทางโลกตะวันตกขึ้นแทน บวกกับตอนนั้นอิหร่านมีนายกชื่อ Mohammed Mosaddegh มองว่าทำไมอิหร่านต้องตกเป็นเบี้ยล่าตะวันตก และเสนอให้เอาบริษัทน้ำมันมาเป็นของชาวอิหร่าน
ฝั่งอังกฤษไม่ยอม หาวิธีทวงคืน ด้วยการส่ง CIA เข้าไปในอิหร่าน เพื่อปลุกระดมและทำให้เกิดม็อบประชาชน ไล่ Mosaddegh ออก จนเกิดการรัฐประหาร
ที่สุด โค่น Mosaddegh ได้ แต่ Anglo Iranian Oil Company ยังเป็นของอิหร่าน
แต่อังกฤษเตรียมการไว้แล้ว ตั้ง BP ซึ่งเป็น 1 ใน 7 บริษัท Seven Sisters ที่คุมน้ำมันโลก และให้พระเจ้า Reza Shah Pahlavi ครองบัลลังก์ต่อจากพ่อ
และนี่คือส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์เรื่องน้ำมัน ทองคำสีดำสะเทือนโลก..
ที่มา : Global Economic Background EP.13
โฆษณา