4 พ.ค. 2023 เวลา 11:30 • ท่องเที่ยว
Kawazu Sakura

เที่ยวญี่ปุ่น ครั้งแรก ก็ครั้งแรกแทบจะทุกอย่างจริงๆ Day 2

อรุณสวัสดิ์ครับ
มองออกไปนอกหน้าต่าง นอกจากเห็นวิวตึกแบบรูปปกแล้ว ก็เห็นกองแยกขยะแบบนี้แต่เช้าเลยครับ...
เช้าวันถัดมา เริ่มต้นด้วยการงัวเงียอาบน้ำ และก็พิสูจน์อากาศหนาวด้วยกาแฟเย็นที่ซื้อมาจากคอนบินิเมื่อคืน
แล้วก็มารู้สึกได้แล้วว่ากูทำอะไรลงไป......
กาแฟเย็น ที่เพิ่งออกมาจากตู้เย็น แล้วก็กินตอนที่อากาศนั้นยังโคตรเย็น..... / เป๊บซี่นั่นล้างปากครับ แต่โคตรดีมาก!!!
วันแรกอย่างเป็นทางการนี้ แฟนข้าพเจ้าได้เลือกไปที่ Kawazu ครับ เนื่องจากตั้งใจจะไปดูซากุระที่นั่น เนื่องจากที่เมืองนั้นจะเป็นพันธุ์ที่บานเป็นที่แรกๆ ของญี่ปุ่น
แรกไม่แรก ก่อนไปก็บานเต็มแล้วอะ
แจกความสดใสจากหัวหน้าทัวร์ครับ
เป็นการนั่งรถไฟญี่ปุ่นที่แฮปปี้กว่าขาเข้าจากนาริตะมากๆ เพราะได้นั่งกินข้าวด้วยนี่แหละเว้ยยยยยย!!!
หนึ่งในสิ่งที่อยากได้ลองทำเมื่อมาถึงประเทศเกาะนี้เลยนะ คือ
การหาซื้อ "ข้าวกล่องรถไฟ" นี่แหละครับ
ซึ่งตอนแรกก็คิดว่ามันจะหายาก
และก็...เพราะด้วยความที่เคยดูแต่ทีวีแชมป์เปี้ยนมาอย่างเดียว เลยเข้าใจแค่ว่าบางอันที่เคยดู เคยอยากกินนั้นมันต้องไปซื้อที่เมืองนั้นเมืองนี้เท่านั้น(เห็นไหมว่าเฟิร์มแวร์(aka. สมอง)เราอัพเดตไว้ตอนไหน.....) แต่สุดท้ายไอ้ทุกๆ อย่างก็มีให้เลือกซื้อเลือกกินที่สถานีโตเกียวนี่แหละ
หน้าร้านข้าวกล่องครับ
ขออภัยที่ไม่ทราบชื่อร้าน แต่ร้านนี้เป็นร้านที่รวมข้าวกล่องรถไฟอันสุดแสนว้าวไว้ที่นี่เยอะมาก อยากกินมันไปหมด โดยเฉพาะสองอันที่เราว้าวจริงๆ คือข้าวกล่องที่เป็นไห กับข้าวกล่องที่เป็นกล่องหัวชินคันเซนเลย
ข้าวกล่องที่มีตั้งมากมาย แต่เห็นแบบนี้นี่ก็ถูกเติมเรื่อยๆ นะครับ / ขายดีขนาดนี้ต้องรีบเลือกนะครับ ไม่งั้นอด
มาที่ชานชาลา แล้วก็เจอร้าน Newdays นี่ครับ เลยเดินเข้าไปกันอีกครับ
แต่ก็ไม่ได้ซื้อเพราะกลัวมันจะเกะกะกระเป๋า ก็เลยเลือกปลาหมึกยัดไส้ข้าว ข้าวกล่องที่เคยดูมาเมื่อหลายปีมากแล้วและเราจะมาพิชิตมันให้จงได้
และก็มีอื่นๆ อีกนิดหน่อยที่มันก็ดูธรรมดาๆ แหละเนอะครับ แหะๆ
รสชาติก็ไม่น่าผิดโผเท่าไหร่นะครับ
ใครกำลังไปก็ลองดูกันได้ครับ
และนี่ก็คืออออ!!! ข้างกล่องของเรานั่นเอง เงง เงง!
สุขใดไหนจะเท่าได้กินข้าวบนรถความเร็วสูงแบบชิลๆ แบบนี้!
โฉมหน้าของไอ้คนเขียนนี่แหละครับ กำลังฟินกับข้าวกล่อง ฮ่าๆๆ
เข้าเรื่องกันต่อ
การนั่งรถไฟไปนานๆ และไกลๆ นี่ ถ้าไม่มีสิ่งบันเทิงใจ นั่งเงกเลยจริงๆ นะ ยังดีนิดที่รถไฟมีไวไฟให้ใช้ด้วยแหละครับ เราเลยสามารถเอนจอยไปกับเพลงโปรดหรือไถเฟซบุคได้อยู่แบบไม่เบื่อ
รถไฟนี้...ไม่สิ รถไฟที่ประเทศนี้นั้น บรรยากาศรอบข้างนี่อย่างดีเลยครับ วิวข้างทาง ต่อให้เป็นตึกรามบ้านช่อง มันก็ดูดีไปหมด(ตื่นเต้นมากกว่านะ มึงอะ)
ถ่ายข้างทางมาเรื่อยๆ ครับ นี่น่าจะเป็นช่วงออกมาแล้วสัก 20 นาที
และเส้นทางที่เราไปก็ผ่านทะเลด้วย!!!
ไม่ได้รู้ว่ามันจะเห็นวิวทะเลแบบนี้!!
ไม่รู้ว่าเป็นโชคส่วนตัวไหม ที่เมื่อถ่ายรูปที่เจอบรรยากาศดีๆ ครั้งแรกสุด ต้องติดเสาเสมอ ฮ่าๆๆๆๆ
อะ ของจริงแล้วครับ / ทะเลอยู่ใกล้ขนาดนี้ สุดยอดเลยครับ
ผ่านไปชั่วโมงกว่าๆ(เร็ว!!!)ก็มาถึงคาวาสุ(หรือ"สึ" วะ? / เอาเป็น "สุ" ละกันนะ)
สิ่งแรกที่ตกใจเลยคือ คนเยอะมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
นี่แหละมั้ง พลังแห่งการมาชมซากุระของชาวเกาะ
แต่สิ่งที่ตกใจยิ่งกว่าคือ พนักงานสถานีที่ออกมาต้อนรับพร้อมกับถือป้ายต้อนรับนักท่องเที่ยวทุกคนที่มาถึงสถานีนี้
ช็อคในความน่ารักของชาวญี่ปุ่นมากๆ ถึงมากกกกกกกกกกเลยครับ แหะๆ
น่าเสียดายครับ ที่ไม่ทันได้หยิบมือถือออกมาถ่ายรูปไว้ และก็มวลประชาชนที่ออกมาจากรถไฟก็พาให้เราไหลไปตามทางแบบช่วยไม่ได้
ทางออกสถานีรถไฟนี่ ถ้ามีซอมบี้บุก คงไม่รอดซักคนจริงๆ นะ ฮ่าๆๆ เพราะแน่นขนัดไปหมด ทั้งคนญี่ปุ่นเอง คนไทยเอย ชาวต่างชาติอีกเพียบ!!!
กว่าจะออกไปได้ก็เหนื่อยกายพอสมควรครับ
ดูจำนวนคนนั่นสิ! / หัวหน้าทัวร์เรานี่ยิ้มทะลุแมสก์เลยครับ
จากที่ตอนเด็กๆ เห็นแต่ในอนิเมะบางเรื่อง ที่คนไปนั่งกินข้าว ชมซากุระกัน แล้วมันดียังไง วันนี้ได้เห็นแล้วว่าพลังแห่งการชื่นชมต้นไม้สีชมพูนี้ มันไม่ได้มีแค่การชมหรือมาถ่ายรูปเฉยๆ ครับ
มีความบันเทิงมากมายหลายอย่างที่ทำให้วันนี้มันดูคึกคัก ครึกครื้น และสนุกสนาน(และแน่นอน ถึงจะเจอความไม่โอเคบางอย่างเช่นกัน แต่ก็เป็นเรื่องปกติไปแล้วแหละเนอะ)
เหล่าร้านค้าริมทางเดิน นี่แค่ชุดแรกนะครับ
ร้านอาหารที่มีคนต่อคิวมากมาย คนที่สนุกสนาน ชื่นชมบรรยากาศ และพาลูกมาเดินเล่นด้วยกัน
อาาาาาาาา นี่เราอยู่ญี่ปุ่นแล้วจริงๆ สินะเนี่ยยยยยยยยย
อีกชุดนึงครับ / ใครใจอ่อนกับของกินญี่ปุ่นง่ายๆ นี่ต้องไปฝึกมาใหม่นะครับ อิอิอิอิอิอิ
คาวาสุนี่เป็นเมืองที่อยู่ติดทะเลด้วยแหละครับ ตอนแรกก็คิดว่าแค่ผ่านทะเลเฉยๆ
เราจึงได้บรรยากาศสองอย่างมาในครั้งเดียวนี่เลยด้วย
เป็นความประทับใจเป็นอย่างสูงครับที่ได้เจออะไรแบบนี้เข้า
ทะเลอยู่ข้างหน้านี่แหละครับ แต่ริมทะเลนี่ไม่ได้ถ่ายครับ ลืม แหะๆ
เอ้า มีนี่หว่า มาเจอทีหลัง / งั้นลงแยกละกัน ฮ่าๆๆ
สิ่งหนึ่งที่ผิดคาดไปนิดก็คงเป็นเรื่องของอากาศนี่แหละครับ เพราะไม่ได้ดูเลขด้วยแหละ และคิดว่ามันจะเย็นๆ แต่เปล่าเลยนะ อากาศเย็นแต่ไม่ค่อยมีร่มเท่าไหร่ มันก็ร้อนได้นะ แต่มันสดชื่นไปหมดจนรู้สึกได้ว่าไม่แย่เลย สบายๆ
แถมบรรยากาศให้สักหน่อยครับ / ขออวดแฟนหน่อยนะครับ แหะๆ
ซากุระ ซากุระ และก็ซากุระเต็มไปหมดเลยครับ
เหนื่อยแล้ววววว แต่แฮปปี้สุดๆ
หลังจากที่หนำใจกันหมดแล้วทั้งสองคน ก็ถึงเวลาที่ต้องกลับแล้ว(แน่นอนสิ จองตั๋วตรงเวลาไว้ ไม่รีบ ตกรถไฟนี่เขินเลยนะ) เราก็เดินทางกลับเข้าสู่เมืองกรุงกันอีกครั้ง
และก็เลือกกันแล้วว่าจะไปต่อที่ชินจูกุ(ชอบเรียกเองว่า "ชินจู้กรุ๊ก") ครับ
เพราะที่ทำงานเรานั้นมันเกี่ยวข้องกับการไปแคมป์ ฉะนั้นจึงรู้สึกแปลกๆ ปนอยากไปดู เมื่อเขากางเตนท์ Snow Peak ไว้หน้าร้านแบบเรียบง่ายๆ แบบนี้เลยครับ / ไว้กินข้าวก่อนนะแล้วค่อยมาเดินดู
เมื่อไปถึงชินจูกุแล้ว ที่เที่ยวที่เทิ่วอะไร พักไว้ก่อน เพราะกระเพาะมันตักเตือนมาอย่างนิ่มๆ ครับว่า
"ไปกินข้าวววววววววววว"
ฉะนั้นก็เลยต้องหาร้านกินข้าวก่อนเลย และในที่สึด(สุด!) ก็ได้มาเคลียร์บัญชีกับร้าน Saizeriya ซะทีครับ
เพื่อนในเฟซบุคก็เคยบอกว่าร้านนี้ดี ประหยัด(ซึ่งนี่คือสิ่งที่พลาดไปตอนไปไต้หวัน เพื่อนมาบอกทีหลังเลยนึกเสียดาย) ประกอบกับมาเจอวีดีโอของช่องๆ หนึ่ง ยิ่งทำให้เราต้องตั้งเป้าเป็นหลักเลยว่าต้องมากินให้ได้
แค่ว่า ก่อนจะไปกินได้เนี่ย ต้องเดินไกลๆ ก่อนนะครับ กับที่สาขาชินจูกุเนี่ย.....
ทางเดินนี่สวยดีมากครับ ทำให้เดินได้ง่ายด้วย
เพราะด้วยความตั้งใจที่จะต้องมาแถวนี้อยู่แล้ว จึงได้เลือกหาร้านที่เดินทางใกล้ที่สุดได้ แต่กระนั้นก็ยังต้องเดินไปอีกไกลพอสมควรอยู่ดี
พลังงานจะหมดเอาก็ตอนนี้แหละแม่เอ้ย
ถึง(ซะที)แล้วครับ.... / สาขานี้แอบในตึกด้วย เลยหลงไปด้วยเมื่อกี้ ฮ่าๆ
และเมื่อไปถึงก็ใช่ว่าจะได้กินเลยนะ รอคิวอีก...
ซึ่งพนักงานร้านนี้เห็นเราเป็นชาวต่างด้าว ก็พยายามพูดอังกฤษนิดๆ หน่อยๆ ไอ้เราก็พยายามฟังและแปลแบบงงๆ (เอ้า) แต่ก็ได้คิวและก็รอไม่นานก็ถึงคิวเราแล้ว(พนักงานผู้ชายหล่อด้วยนะเออ)
เดินเข้าโต๊ะ แล้วก็มาเลือกเมนู
และมีเป้าหมายอยู่ว่ส ต้องเป็นเมนูแบบที่ไม่เคยกินมาก่อนทั้งนั้น
และทั้งหมดคือไม่เคยกินมาก่อนทั้งนั้นแทบจะหมด....แล้วจะรอดมั้ยวะเนี่ย!
เมนูทั้งหมดครับ / ถ่ายมาเพื่อชวนกันไปกินครับ / กดที่ภาพเพื่อดูเต็มๆ ก็ได้ครับ บางอันถ่ายพลาด มาเป็นแนวนอนไปอะ
ร้านนี้เป็นร้านอาหารครอบครัวแบบสไตล์อิตาเลียนแหละครับ เลยจะเลือกไม่ค่อยถูกครับ
แย่สิครับแบบนี้ เพราะไม่รู้ว่าจะเลือกกินอะไรดีวะ อยากกินไปหมดทุกสิ่งอัน!(ทำเอาแอบคิดอยู่นะว่าเงินจะพอมั้ย...)
แต่ก็ต้องข่มใจไว้
ที่ร้านนี้ค่อนข้างดีเลยครับ บรรยากาศในร้านมันก็ไม่ได้จอแจขนาดร้านอาหารบ้านเรา ถึงแม้จะมีหลายๆ คน หลายๆ โต๊ะ แต่มันก็มีความอบอุ่นแบบครอบครัวอยู่ในร้านเต็มไปหมดเลยครับ
แอบแซวให้ฟังว่า โต๊ะข้างๆ ที่เราไปนั่งนี่คือเป็นนักเรียนมัธยมสองคนหนุ่มสาวมานั่งกินข้าวด้วยกัน แล้วก็เหใืแนจะนั่งจีบกันด้วยนะครับ
วัยรุ่นนี่มันดีจังน้าาาา..........
แล้วก็เลือกเมนูได้แล้วแหละครับ
มาสองคน สั่งสี่อย่าง แต่อิ่มไปแปดชาติ มีอยู่จริง!
ทุกท่านจะตบะแตกกันมั้ยนะครับ แหะๆ
เอร็ดอร่อยกันถ้วนหน้าครับ
เราสั่งเมนูเหล่านี้มา จานใหญ่มาก! ตอนแรกนี่คือกะจะสั่งมากอนกัน "แบบที่ชอบ" กันคนละสองแบบ แต่กลายเป็นว่าต้องมาแบ่งกันกินทุกเมนูนี่แหละครับ!
โอย ตายๆ
แล้วเรากก็บวกน้ำรีฟิลไปด้วยแหละครับ ซึ่งถูกใจเลย เพราะกินได้ตั้งแต่น้ำอัดลมยันกาแฟร้อน!
ต้องกินเพราะข้างนอกค่อนข้างเย็น
แต่ถึงจะว่าแบบนั้น แต่เรากดแฟนต้ามาบ่อยมากเลยนะ ฮ่าๆๆๆ(แต่ก็มานั่งเสียดายว่าทำไมไม่สั่งไวน์กินวะ เพราะไวน์แก้วละร้อยเยนเองนะ!)
กล้าอวดให้ฟังครับว่าทั้งหมดที่จ่ายไปคือ 2200 เยนเท่านั้น!!!!
ดีย์! งาม! เยี่ยม!!!
และหลังจากกินอิ่มแล้ว ก็ได้เวลาเดินเที่ยวเล่นไปเรื่อยๆ เพื่อย่อยครับ
สิ่งที่ตั้งใจมาดูแต่แรกก็คือ "จอโฆษณา 3 มิติ" ที่อยู่ที่ชินจู้กรุ๊กนี่แหละครับ
ได้ไปมาแล้วครับ แต่ดันไม่มีรูปมาให้ดูครับ ลืมไป ฮ่าๆๆ
ลองดูตัวอย่างที่อันนี้ละกันนะครับ : https://youtu.be/GqDBWIu3k7E
นี่น่าจะเป็นร้านมันเผาที่เราตามหามาตลอด แต่อิ่มอยู่เลยครับ ยัดไม่ไหวแล้ว แง
จำร้านที่กางเตนท์โชว์ได้ใช่มั้ยครับ? / ใช่ครับ เขาปิดแล้ว / ฮือออออ
และตั้งใจจะหาอย่างอื่นมากินเพิ่มครับ แต่ก็ไม่ได้เพิ่มนะครับ มันอิ่มเอมอยู่จนไม่อยากยัดเพิ่มแล้ว ฮ่าๆๆ
กลายเป็นว่า ชินจูกุนี่คือพื้นที่ที่เราเห็นชีวิตชีวาตอนกลางคืนมากเลยนะครับ
เป็นโซนที่เราไม่อยากออกห่างสักเท่าไหร่เลย มันดูมีคลื่นพลังความสุขเยอะมาก ทั้งจากคนในพื้นที่ และก็นักท่องเที่ยวทั้งหลายด้วย
รู้สึกว่าเสน่ห์ของญี่ปุ่นก็น่าจะเป็นอะไรที่ลอกเลียนแบบยากเหมือนกันนะ
เพิ่งรู้ตัวตอนกลับไทยแล้วว่าตัวเองไปถึงตึกที่มีก๊อตซิล่าแล้ว แต่ไม่ได้ไปข้างหน้าต่อครับ เศร้า.... / ดองกี้โฮเต้ ร้านที่เพื่อนๆ น่าจะรู้จักกันเป็นอย่างดี / ส่วนชื่อตรงกลางนั่น ใครรู้จัก แสดงว่าเรารู้กันนะครับ อิอิ
จากนั้น ก็ได้เข้าสู่โซนที่จ่ายเงินหนักที่สุดในวันนี้
น่าแปลกที่ไม่ใช่ค่าอาหาร แต่เป็นร้านทุกอย่าง 100 เยนครับ
...ได้ยังไงก็ไม่รู้ ฮ่าๆๆ
เราแวะไปที่ร้าน Can ⭐️ Do ครับ จำไม่ได้ว่าอยู่ในตึกอะไร แต่เป็นตึกที่มีสถานีรถไฟอยู่ข้างหน้า แบบหน้าเลยครับ
เข้าไปแล้วก็ได้ความรู้สึกเดียวกับร้านไดโสะที่ไทยเลยนั่นแหละครับ แค่ไฟสว่างกว่า และเครื่องดื่มขายเยอะกว่า แต่ที่ดีคือร้อนเยนทุกขวดด้วยนะ(ตู้กดข้างนอกแพงกว่าในบางอย่าง)
แต่อย่างเราหรอ จะได้ของแค่ 100 เยน....ไอ้ของที่เลือกซื้อมานี่ราคาเกิน 100 ทั้งนั้นเลยครับ แต่ถ้าเทียบเป็นเงินไทยมันก็ไม่แพงมากอยู่ดี
แต่ยอม!
ไอ้ที่เกิน 100 เยนนี่เยอะกว่าที่คิดครับ / ช่วงที่ไป Spy X Family น่าจะกำลังบูมสุดๆ ของขายในร้านยังมีเยอะขนาดนี้
สุดท้ายที่ได้มาก็มีประมาณนี้ครับ(บางอันลืมถ่ายรูป) / ถ้ามีคนเก็บไอ้สิ่งที่ชื่อ Kirby แบบรูปสุดท้าย คุณจะชอบมากครับ เพราะร้อยเยนทุกตัว
สุดท้ายหลังจากที่หน้ามืดในร้านนั้นมานาน ในที่สุดก็หาทางกลับที่พักได้ซะทีนะ....
เออกลับเถอะ ไม่งั้นหมดตังตั้งแต่วันนี้เลยนะเว้ย
จบวันแรกแล้วจ้า
แถม
เพราะที่พักมีคอนบินิอยู่ใกล้ๆ เลยแวะก่อนเข้าที่พักทุกครั้งเลยครับ แล้วไอ้โซนเครื่องดื่มสร้างแรงบันดาลใจนี่คือจุดเย้ายวนครับ ดั่งตอนที่แล้วที่ลงไป
แต่วันนี้เพิ่งไปเจออันนี้มาเลยครับ ซึ่งเป็นการดีมากเลยครับที่เราสามารถดื่มด่ำได้ทันทีแบบไม่ต้องไปตามหาแก้วให้เสียเวลา
ชอบเลยครับแบบนี้ แต่รสชาติไม่รู้นะครับ ต้องลองเอง อิอิ
ราคาช่างยั่วยวนใจเสียนี่กระไร
อีกอัน / ใครอยากร่วมงานกับไซเซริยะก็ลองดูนะครับ
โฆษณา