4 พ.ค. 2023 เวลา 08:51 • นิยาย เรื่องสั้น

คนหนึ่งยืน คนอื่นนั่ง

ได้รับหนังสือ วรรณกรรมรางวัล พานแว่นฟ้ามาเป็นเดือนแล้ว ตามระเบียบที่จะต้องกองดองไว้ก่อน วันนี้ได้ฤกษ์เบิกโรงซะที เนื่องจากเป็นวันหยุดติดต่อกันหลายวัน
ใช่แล้วค่ะ วันนี้จะพูดถึง วรรณกรรมรางวัลพานแว่นฟ้า ประจำปี 2565 รางวัลจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
ประเภทเรื่องสั้น
ประเภทบทกวี
ขอแนะนำเรื่องสั้นที่ได้รับรางวัลรองชนะเลิศ เรื่อง "คนหนึ่งยืน คนอื่นนั่ง" ซึ่งเป็นผลงานของคุณอุเทน พรมแดง เป็นเรื่องคล้ายคลึงในชีวิตประจำวัน (สำหรับผลงานที่ได้รับรางวัลชนะเลิศ เป็นเรื่องสั้นที่ยาวมาก) ตามมาค่ะ
"เราหาดูหนังกันสักเรื่องแล้วค่อยกลับบ้านดีไหม?"
จู่ๆ สามีหันมาถาม เขาเดินนำหน้าขณะฉันสาวเท้าตามเลี้ยงมาทางด้านหลัง
"เอางั้นหรือ?" ฉันไม่รู้จะว่าอย่างไรดี เราไม่ได้วางแผนกันมาก่อนว่าจะดูภาพยนตร์
"อือ.. ไม่ได้ดูหนังในโรงนานมากแล้ว" เขาพูดแล้วยกมือขึ้นดูนาฬิกา
ภาพเก่าเล่าเรื่อง
"ดูจบขับรถกลับบ้าน น่าจะพอดีรับลูกที่โรงเรียน"
เราขนของซื้อจากซุปเปอร์มาเก็ตไปเก็บในรถ แล้วเดินเลยไปยังโรงภาพยนตร์ซึ่งเป็นอีกอาคารแยกออกจากตัวห้างสรรพสินค้า ฉันสำรวจโปรแกรมฉายพบว่ามีภาพยนตร์ ให้เลือกร่วมๆ 10 เรื่องทีเดียว ทั้งภาพยนตร์แนวสยองขวัญ แนวรักวัยรุ่น แนวแฟนตาซี ไปจนถึง Action หรือฆาตกรรม และแน่นอนว่ามีทั้งหนังไทยและหนังเทศให้เลือกชมตามชอบ
พิพิธภัณฑ์ภาพยนตร์ไทย
"ดูเรื่องนี้เนอะ" ฉันชี้ที่โปสเตอร์หนังรักวัยรุ่นของไทยเราเอง
"OK เรื่องไหนก็ได้ที่เมียอยากดู" คนรักบอกพร้อมกับทำหน้าทะเล้น
ฉันรู้ดีว่าสามีไม่ชอบดูภาพยนตร์แนวรักๆ ใคร่ๆ อะไรพวกนี้ เขาแทบไม่ดูภาพยนตร์ไทยเลยด้วยซ้ำ ยามอยู่บ้านเขานั่งชมภาพยนตร์แนวที่ชอบผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ในห้องทำงานของตัวเอง แต่เมื่อมีโอกาสออกมาดูหนังในโรงภาพยนตร์ด้วยกันเช่นนี้เขาเลือกจะตามใจฉันมากกว่า ส่วนหนึ่งคงเพราะรู้ดีว่าหากเลือกดูตามใจตัวเองซึ่งย่อมเป็นหนังที่ไม่ตรงกับรสนิยมคนเป็นภรรยาอย่างฉัน อาจเก็บอาการหงุดหงิดไว้ไม่อยู่และพลอยทำให้เขานั่งชมภาพยนตร์อย่างไม่มีความสุขไปด้วย
เราต่างคนต่างรู้รสนิยมของกันและกันดี สามีของฉันชอบดูภาพยนตร์ประเภทซับซ้อนซ่อนนัย ต้องอาศัยการตีความหรือตั้งใจดูอย่างจดจ่อเพื่อปะติดปะต่อเรื่องราว ส่วนฉันชอบภาพยนตร์ดูเข้าใจง่าย ไม่มีอะไรลึกลับซับซ้อน ส่วนหนึ่งอาจเพราะฉันไม่ได้เป็นคนฉลาดเฉลียวหรือชอบใช้ความคิดความอ่านมากมายอะไรนัก
แทบจำไม่ได้แล้วว่าครั้งล่าสุดที่ฉันกับสามีเข้าโรงภาพยนตร์ผ่านมานานแค่ไหนแล้ว ที่แน่ๆ คือเนิ่นนานไม่น้อยกว่า 8 ปีเห็นจะได้ ตั้งแต่ตั้งท้องจนกระทั่งลูกสาวคนเดียวของเราอายุ 7 ขวบแล้ว ฉันกับสามีไม่เคยเหยียบย่างเข้าโรงภาพยนตร์เลย เคยคิดอยากลองพาลูกเข้าไปดูหนังสนุกสักเรื่องก่อนหน้านี้ แต่ว่าลูกก็ยังเด็กเกินไปเกรงว่าจะเข้าไปแหกปากร้องไห้จ้าในโรงหนังซึ่งทั้งมืดและเสียงดัง
พอลูกโตพอพูดจารู้ความ โรคระบาดก็แพร่ลามไปทั่วโลก ในห้วงเวลา 2-3 ปีมานี่เราออกจากบ้านเท่าที่จำเป็น เรื่องจะเข้าโรงภาพยนตร์เป็นไม่ต้องพูดถึง
ซื้อตั๋วแล้วเราเดินเข้าโรงภาพยนตร์พร้อมกัน ด้วยไม่ใช่วันหยุดอีกทั้งเป็นภาพยนตร์รอบบ่าย ผู้ชมในโรงจึงมีไม่มากนัก กะประมาณด้วยสายตาน่าจะมีอยู่ราว 20-30 คนเท่านั้น และส่วนใหญ่ดูแล้วเป็นเด็กวัยรุ่นและพวกนักเรียนนักศึกษา
ภาพยนตร์ยังไม่เริ่มต้นฉาย บนจอมีภาพเคลื่อนไหวของสปอร์ตโฆษณาซึ่งส่วนใหญ่เคยเห็นทางหน้าจอโทรทัศน์แล้ว ฉันยกสมาร์ทโฟนขึ้นมารูดหน้าจอฆ่าเวลา สามีก็ทำอย่างเดียวกัน หน้าเฟจ Facebook ของฉันมีข่าวสารสาระอยู่แค่ไม่กี่อย่าง พวกเพจร้านชุดสวยๆ สำหรับเด็ก เพจขายเสื้อผ้าของผู้หญิง เพจข่าวซุบซิบในแวดวงบันเทิง นอกนั้นก็เป็นโพสต์สารพัดสารพันจากเพื่อนๆ ทั้งเพื่อนสมัยประถม มัธยม ไปจนถึงมหาวิทยาลัย หรือเพื่อนในโลกออนไลน์ซึ่งบังเอิญมารู้จักทักทายกันภายหลัง ฟีด Facebook ของฉันไม่มีเรื่องราวหนักสมองอันใด
แตกต่างจากของสามี ฉันเคยหยิบสมาร์ทโฟนของเขามาเลื่อนดูหน้า Facebook เล่นๆ เจอแต่เรื่องน่าปวดหัวชวนไมเกรนกำเริบ ทั้งเรื่องการเมือง ศาสนา ปรัชญา วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ตลอดจนหนังสือหนังหาที่เขาชอบอ่านเป็นนักหนา
ครูหนึ่งส่ำเสียงในโรงภาพยนตร์เงียบหาย ได้ยินเสียงเหล่าผู้ชมภาพยนตร์คนอื่นๆ คุยกันพึมพำ แล้วคำร้องคลอทำนองเพลงคุ้นหูมาแต่เล็กแต่น้อยก็ดังกังวาน
จิตใต้สำนึกกระตุ้นให้ฉันลุกพรวดขึ้นโดยที่สมองไม่จำเป็นต้องสั่งการ ยืนตรงแล้วฉันชำเลืองมองสามีแม้รู้ดีอยู่แล้วว่าเขาจะไม่ลุกขึ้นยืน
ฉันยืนตรง ทว่าไม่ได้ยื่นมือดึงให้สามีลุกตาม เขาเองก็นั่งนิ่งไม่ได้ยื่นมือฉุดห้ามไม่ให้ฉันลุก หรือเหนียวรั้งให้กลับลงนั่งเหมือนกันกับเขา
ลองหันมองไปรอบตัว แล้วก็พบว่าฉันเป็นคนเดียวในโรงภาพยนตร์ที่ยืนตรงอยู่ในขณะนี้ ผู้ชมในโรงภาพยนตร์ส่วนใหญ่ ก้มหน้าก้มตาเล่นสมาร์ทโฟนในมือโดยไม่สนใจลุกยืนตรง บางคนก้มหน้าซุบซิบคุยกับคนที่มาด้วย
ฉันรู้สึกแปลกประหลาดใจและคนสับสนงวยงงอยู่ไม่น้อย ครั้งหลังสุดที่เข้าโรงภาพยนตร์เมื่อเกือบ 10 ปีมาแล้ว จำได้ว่าคนเกือบทั้งโรงภาพยนตร์ลุกยืนเมื่อบทเพลงคุ้นหูดังขึ้น มีแค่สามีของฉันกับอีกไม่กี่คนเท่านั้นที่เลือกจะไม่ลุกยืนตรง ทว่าตอนนี้ไม่เหลือคนยืนตรงเลยแม้สักคนเดียว ฉันคล้ายเป็นตัวประหลาดแปลกปลอมอะไรสักอย่างที่หลุดหลงเข้ามาอยู่ในโลกที่ไม่คุ้นเคย
ไม่ได้คิดไปเองคนเดียวหรอกว่าฉันเหมือนเป็นตัวประหลาด เพราะฉันเห็นสายตาหลายคู่ในโรงภาพยนตร์กำลังจับจ้องมองมาที่ฉันราวกับเห็นสิ่งมีชีวิตจาก ต่างมิติ บางคนยกสมาร์ทโฟนขึ้นมาเหมือนกำลังลอบถ่ายรูปฉันด้วยซ้ำ คนถ่ายอาจตั้งใจนำเอาภาพยืนตรงของฉันไปโพสต์เรียกยอดไลค์ใน Social Media
แล้ววินาทีต่อมาฉันก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้น
"นั่งลงเถอะป้า อายคนอื่นเขา นี่มันยุคไหนสมัยไหนแล้ว ยังไม่เลิกเป็นทาสอีกหรือ" เป็นเสียงเด็กหนุ่มดังมาจากกลุ่มวัยรุ่น แต่ฉันไม่กล้าหันไปมองว่าคนพูดเป็นคนไหน
ฉันทำในสิ่งที่ตัวเองคิดว่าควรทำ และไม่คิดว่าเป็นเรื่องน่าอายตรงไหน กระนั้นฉันก็ยังรู้สึกอับอายจนใบหน้าร้อนผ่าววูบวาบ ฉันไม่ได้อยากเป็นคนเดียวที่ยืนตรงในโรงภาพยนตร์หรอก แต่ถ้าจะให้นั่งลงตอนนี้ฉันก็ไม่อาจทำได้เช่นกัน
ไม่กล้าเอ่ยปากโต้แย้งอะไรออกไป ได้แต่ก้มหน้างุด รอเวลาให้เสียงเพลงจบเพื่อฉันจะได้นั่งลงเสียที
หากมีการกำหนดเกณฑ์มาตรฐานความรู้ความฉลาดของผู้หญิงไทยขึ้นมา ฉันคิดว่าตัวเองคงตกเกณฑ์เป็นแน่แท้ ฉันเป็นผู้หญิงแสนธรรมดาหรืออาจต่ำกว่าธรรมดาด้วยซ้ำ ฉันเรียนไม่เก่ง ไม่ฉลาดปราดเปรื่อง เรียนโรงเรียนวัดใกล้บ้านตั้งแต่ระดับชั้นประถมจนจบมัธยมต้น ต่อชั้น ปวช. และ ปวส. นายวิทยาลัยอาชีวศึกษาไร้ชื่อเสียง จากนั้นเรียนต่อระดับอุดมศึกษาคณะบริหารธุรกิจอีก 2 ปีในวิทยาเขตแยกย่อยของมหาวิทยาลัยพอเป็นที่รู้จักแห่งหนึ่ง
ฉันเรียนจบปริญญาตรีก็จริง หากทว่าแทบไม่มีความสามารถหรือถนัดถนี่ในเรื่องไหนเลย ฉันรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษแค่ระดับพื้นฐาน ใช้คอมพิวเตอร์แทบไม่เป็น ไม่มีพรสวรรค์ด้านศิลปะ ดนตรีหรือว่ากีฬาใดๆ แม้แต่น้อย แถมฉันยังรู้สึกว่าตัวเองไม่ใช่คนกล้าหาญ ไม่กล้าคิดกล้าตัดสินใจเจรจาต่อรองเรื่องไหนก็ไม่ถนัดทั้งสิ้น
ตอนได้มาเจอกับสามี ฉันอายุ 28 แล้ว ตอนนั้นฉันสรุปกับตัวเองด้วยซ้ำว่าชีวิตนี้คงไม่แต่งงานแล้ว ฉันชอบอยู่กับตัวเองคนเดียว ไม่ได้โหยหาความรัก มีผู้ชายเข้ามาชอบพออยู่บ้าง ทว่าอย่างมากก็เป็นได้แค่เพื่อนคุยแก้เหงา ไม่มีคนไหนพัฒนาก้าวข้ามความเป็นเพื่อนไปได้
กระทั่งมาเจอเขาคนนี้ แรกเห็นไม่สะดุดตา เขาไม่ใช่คนหล่อเหลา ไม่ใช่ผู้ชายตัวสูงอย่างที่ฉันชอบ ทว่าหลังจากคุยกันทางโทรศัพท์และนัดพบเจอกันไม่กี่ครั้ง คล้ายมีพลังงานประหลาดอะไรบางอย่างดึงดูดฉันเข้าหาเขา ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมฉันจึงนึกรักชอบเขาอย่างรวดเร็ว อาจฟังดูชวนกระดากปนน้ำเน่าหากบอกว่าทั้งหมดคือเรื่องของพรหมลิขิต ทว่าบางครั้งฉันก็อดคิดอย่างนั้นไม่ได้
ฉันยอมตกปากรับคำเป็นแฟนกับเขาหลังจากคุยกันแค่ 2 สัปดาห์ ทั้งที่ก่อนหน้านั้นเคยคุยกับผู้ชายคนอื่นนานแรมปียังไปไม่ถึงไหน และหลังจากคบหากันได้เพียงเดือนเศษๆ เราก็พูดถึงเรื่องแต่งงานกันแล้ว
เมื่อฉันบอกว่าจะแต่งงาน ไม่มีเพื่อนคนไหนเชื่อ ทุกคนคิดว่าอำเล่น เพราะเมื่อเดือนที่แล้วฉันยังบอกใครๆ อยู่เลยว่าไม่มีแฟนและไม่คิดแต่งงาน งานแต่งของเราจัดขึ้นอีกราว 4-5 เดือนหลังจากพบเจอกันครั้งแรก
ฉันกับคนรักมีอะไรบางอย่างคล้ายกันก็จริง แต่ส่วนต่างดูเหมือนมีมากมายกว่า พูดให้ถูกคือฉันกับสามีช่างแตกต่างกันจนไม่น่าอยู่ร่วมชีวิตกันได้ด้วยซ้ำ ฉันสนใจแค่เรื่องพื้นๆ อย่างผิวพรรณ เสื้อผ้า ละครหลังข่าว ข่าวคราววงการดารานักร้อง กลางเดือนและปลายเดือนก็มักซื้อลอตเตอรี่ไว้เสี่ยงดวงบ้างตามประสา
ส่วนสามีของฉันไม่สนใจเรื่องการแต่งเนื้อแต่งตัว ชอบดูแต่ภาพยนตร์หรือซีรีย์เข้าใจยาก อ่านหนังสือวรรณกรรมหนักๆ น่าปวดหัว เขาไม่เคยซื้อหวยสักครั้งเดียวในชีวิต เขาเคยบอกว่าน่าตลกที่คนมากมายไปคาดหวังลมๆ แล้งๆ กับโอกาสหนึ่งในล้านเช่นนั้น สามีของฉันยังเก่งภาษาอังกฤษ และถนัดเรื่องคอมพิวเตอร์ไม่แพ้ใคร 10 กว่าปีที่แล้วก่อนเราแต่งงานกัน ฉันไม่เคยเล่น Facebook มาก่อน เป็นสามีนั่นเองที่สมัครและสอนใช้งานให้
จำได้ว่าตอนคบหากันใหม่ๆ มีอยู่หลายครั้งที่ฉันอยากไปไหว้พระหรือเข้าวัดทำบุญ คนรักไม่เคยอิดออดหากขอให้พาไป ทว่าเมื่อไปถึงเขาจะรอที่รถ ฝ
เขาบอกว่าเอาแผ่นทองไปปิดพระพุทธรูปเป็นเรื่องไร้สาระ พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนให้กราบไหว้วัตถุธาตุ การไปทำบุญใส่บาตรกับพระภิกษุก็เป็นเรื่องตื้นเขิน
เขาว่าพระพุทธเจ้าสอนวิธีทำบุญไว้มากมาย โดยเฉพาะการเจริญสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐานซึ่งให้อานิสงส์สูงส่ง การทำบุญหาใช่มีเพียงหิ้วปิ่นโตเข้าวัดหรือถวายปัจจัยเงินทอง อีกอย่างพระสงฆ์สมัยนี้หาประเภทที่น่ากราบไหว้ได้ยากเต็มที ตั้งแต่รู้จักกันมาฉันไม่เคยเห็นสามียกมือไหว้พระภิกษุรูปไหนสักรูป การนับถือศาสนาพุทธตามวิถีทางของเขาคืออ่านพระไตรปิฎกและปฏิบัติกรรมฐานอะไรเทือกนั้น
"เราเชื่อในเรื่องไหนก็เชื่อไป แต่ต้องไม่บังคับให้คนอื่นเชื่อตาม ให้พี่พาไปไหว้พระวัดไหนพี่ไปได้หมด แต่จะให้พี่ไปก้มกราบพระพุทธรูปพี่ขอผ่าน เราควรศึกษาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ไปกราบอิฐไหว้ปูนแล้วบนบานให้ตัวเองร่ำรวยมีความสุข เหมือนติดสินบนไม่มีผิด" เขเขาเคยอธิบายทำนองนั้น
นับแต่แต่งงานกันมา ฉันยกหน้าที่ช้างเท้าหน้าให้เขาด้วยความเต็มใจ เขาเป็นเสาหลักหาเงินให้ครอบครัว ยามต้องตัดสินใจเรื่องไหนฉันเพียงแสดงความคิดเห็นและยกให้เขาตกลงใจขั้นสุดท้ายไม่ว่าจะเกิดปัญหาอะไรเขาจะเป็นคนแก้ เขาเป็นเหมือนหลักยึดสำหรับชีวิตของฉันไปแล้ว ถ้าว่าสามีของฉันก็ไม่เคย กดข่มหรือแสดงอำนาจเหนือกว่าแต่อย่างใด เราเป็นเหมือนทั้งคนรักและเพื่อน อยู่อย่างให้เกียรติและเท่าเทียมกัน เพียงแต่ฉันยกให้เขาเป็นผู้นำครอบครัวเพราะยอมรับว่าเขาฉลาดรอบรู้กว่า ตัดสินใจได้ดีกว่า มีความรู้และเท่าทันโลกมากกว่า
อีกเรื่องหนึ่งซึ่งเราทั้งสองคนคิดอ่านแตกต่างกันคือความรักเทิดทูนในสถาบันเบื้องสูง สำหรับฉันแล้วสถาบันพระมหากษัตริย์ ควรดำรงคงอยู่เช่นเดิมไปชั่วลูกชั่วหลาน
ฉันเติบโตมากับภาพในหลวงประกอบพระราชกรณียกิจนานา เห็นทรงเสด็จไปทั่วแถบถิ่นทุรกันดารแทบไม่เว้นวัน เห็นพระองค์ใส่พระทัยทุกข์สุขของอาณาประชาราษฎร์ ภาพจำฉายซ้ำนับพันนับหมื่นครั้งเหล่านั้นฝังตรึงในจิตใต้สำนึก
ฉันคิดง่ายๆ ตามประสาตัวเองว่าในหลวงเป็นพระมหากษัตริย์ หากพระองค์เลือกจะไม่ทรงงานลำบากตรากตรำ ก็ไม่มีใครหน้าไหนว่ากล่าวใดๆ ได้ แต่พระองค์ก็ยังคงทรงงานเพื่อพสกนิกรอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อยตลอดระยะเวลาหลายสิบปี
สามีของฉันมีมุมมองแตกต่างออกไป เขาตั้งคำถามและแสดงความเคลือบแคลงในภาพปรากฏเหล่านั้น คิดเห็นทำนองว่ามนุษย์ทุกคนล้วนเท่าเทียมกัน บางอย่างถึงเวลาต้องปฏิรูปปรับเปลี่ยนให้เท่าทันโลกและความคิดความอ่านของสังคมยุคใหม่
"ทุกอย่างมันเป็นปัญหาเชื่อมโยงกันหมด บ้านเมืองเราได้ชื่อว่าปกครองในระบอบประชาธิปไตยมานานแล้วก็จริง แต่ระบบเก่ายังฝังรากลึกอยู่ ทหารยังคงหาข้ออ้างระยำเข้ามายึดอำนาจของประชาชนครั้งแล้วครั้งเล่า..."
สามีของฉันมักพูดทำนองนี้ในช่วงหลังๆ ส่วนใหญ่ฉันได้แต่นิ่งฟัง ไม่รู้จะโต้เถียงตรงไหน เอาเข้าจริงฉันไม่ได้เข้าอกเข้าใจสิ่งที่เขาพูดชัดเจนนัก เขารู้มากกว่า ศึกษามากกว่า อ่านหนังสือหนังหามามากกว่า อีกทั้งฉลาดปราดเปรื่องกว่า ไม่มีแง่มุมไหนที่ฉันจะโต้เถียงเอาชนะคะคานเขาได้ และถึงที่สุดแล้วฉันตอบตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเห็นต่างหรือเห็นด้วยกับคำพูดของเขาตรงไหนอย่างไรบ้าง เรื่องพวกนั้นไกลตัวและเกินความคิดผู้หญิงธรรมดาอย่างฉันไปมาก
แต่เรื่องที่ฉันแน่ใจได้ก็คือ สามีของฉันเป็นคนดี มีน้ำจืดน้ำใจให้คนอื่นเสมอ และเขาไม่เคยคิดร้ายต่อประเทศชาติบ้านเมืองแน่นอน
ยอมรับว่าบางครั้งบางหนฉันนึกกลัวความคิดในหัวของเขาอยู่บ้าง แต่ก็น่าแปลกที่เราสองคนไม่เคยทะเลาะเบาะแว้ง หรือแม้แต่มีปัญหาทุ่มเถียงกันด้วยเรื่องเหล่านี้ เราต่างมีสิทธิ์อธิบายความคิดและจุดยืนของตัวเอง จากนั้นก็รับฟังมุมมองของอีกฝ่าย
ฉันกับสามีเติบโตมาคนละแบบ ถูกเลี้ยงดูมาคนละอย่าง เสพรับข้อมูลข่าวสารคนละชุด ผ่านประสบการณ์ชีวิตมาคนละด้าน กลั่นกรองขบคิดด้วยหัวสมองของใครของมัน ไม่แปลกเลยที่เราจะมีทัศนะต่อโลกหรือสังคมย้อนแย้งแตกต่าง หากแต่เราไม่เคยพิพากษาว่าความคิดของอีกฝ่ายเป็นเรื่องผิด ทั้งไม่เคยพยายามเปลี่ยนความคิดความเชื่อของอีกคนให้โอนเอียงมาเหมือนตัวเอง
สามีของฉันเรียนจบมหาวิทยาลัยของรัฐ ทว่าเขาปฏิเสธการเข้ารับปริญญาบัตร ฉันเองได้แต่ฝันเห็นตัวเองเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตร เพราะในความเป็นจริงฉันมีโอกาสเพียงแค่รับใบปริญญาจากมืออธิการบดี
คราวที่คนไทยพานพบความสูญเสียใหญ่หลวงหลายปีก่อน แรกรู้ข่าวฉันกลั้นน้ำตาแห่งความโศกเศร้าสะเทือนใจไว้ไม่อยู่ ส่วนสามีอยู่ในอาการสงบนิ่งเฉย และเราต่างไม่ได้พูดอะไรต่อกัน หลายวันต่อมาฉันแต่งชุดดำออกจากบ้านตั้งแต่ตี 2 ตี 3 ส่วนเขาอยู่เฝ้าบ้านดูแลลูกให้
ครั้นมาถึงเหตุการณ์เด็กนักเรียนนักศึกษาออกมาเรียกร้องการปฏิรูปเมื่อปีก่อน สามีออกจากบ้านไปโบกเรียกแท็กซี่ในยามบ่ายคนเดียวเงียบๆ หลายต่อหลายวัน กลับมาถึงบ้านก็ดึกดื่นค่อนคืน ฉันยินดีอยู่เฝ้าบ้านกับลูก พอใจแล้วเพียงแค่เขาบอกให้รู้ว่าไปไหน จะกลับเมื่อไหร่ เราไม่เคยห้ามปรามอีกฝ่ายไม่ให้ทำในสิ่งที่ตัวเองคิดเชื่อและศรัทธา
ฉันอยากให้สถาบันเบื้องบนซึ่งอยู่คู่ชาติบ้านเมืองมาแสนนานคงอยู่เช่นเดิมตลอดไป ส่วนสามีมองว่าถึงเวลาต้องปรับเปลี่ยนปฏิรูปให้สอดคล้องกับยุคสมัย ฉันไม่เคยมองว่าสามีเป็นคนก้าวร้าวรุนแรงหรือชั่วช้าชั่งชาติ สามีก็ไม่เคยปรามาสว่าฉันเป็นพวกจมปลักล้าหลัง ระหว่างเราไม่มีใครผิด เราเพียงคิดต่าง ไม่ว่าอย่างไรชีวิตคู่และครอบครัวก็อยู่เหนือเรื่องการเมืองหรือมุมมองต่อระบบการปกครองของประเทศ
ฉันอาจไม่ใช่คนฉลาดนักในหลายๆ เรื่อง แต่ฉันคิดว่าตัวเองฉลาดที่เลือกผู้ชายคนนี้มาเป็นคู่ชีวิต
ภาพจากอินเทอร์เน็ต
ในโรงภาพยนตร์มีคนลุกขึ้นยืนตรง 2 คนแล้ว คนหนึ่งคือฉัน อีกคนคือสามีของฉันซึ่งพึ่งลุกพรวดขึ้นตามมาหลังได้ยินคำพูดของเด็กวัยรุ่นกลุ่มนั้น
เขาไม่เพียงลุกขึ้นยืนเคียงข้าง ทว่ายังพูดเสียงดังตอบโต้ออกไป
" เมื่อกี้ทุกคนในโรงหนังนั่งกันหมด รวมถึงตัวพี่เองด้วย มีภรรยาของพี่ยืนอยู่คนเดียว แต่ภรรยาของพี่ก็ยืนของเธอไปเฉยๆ ไม่ได้ไปเรียกร้องให้พวกน้องยืนขึ้นมาด้วยถูกไหมครับ แล้วทำไมพวกน้องต้องมาเรียกร้องให้ภรรยาพี่นั่งลงด้วยล่ะ"
ฉันนึกว่าจะได้ยินกลุ่มวัยรุ่นตะโกนสวนอะไรตอบมา แต่กลับคิดผิดคาด นอกจากเสียงเพลงก้องกังวาลไพเราะแล้ว ภายในโรงภาพยนตร์ปราศจากส่ำเสียงอื่นใดแม้จนนิดเดียว
"ความเป็นประชาธิปไตยมันไม่ได้อยู่ที่ยืนหรือนั่งหรอก มันอยู่ที่การเลือกใช้สิทธิ์ของเราและเคารพสิทธิ์ในการเลือกของคนอื่นด้วยต่างหาก ถ้าเราเลือกจะยืน เราก็ต้องเคารพสิทธิ์ของคนที่เขาเลือกนั่ง หรือถ้าเราเลือกนั่ง เราก็ต้องไม่ไปละเมิดสิทธิ์ของคนที่เขายืน เพราะทุกคนมีสิทธิ์ที่จะยืนหรือนั่งก็ได้ตามกฎหมาย ถ้าเรื่องแค่นี้ยังไม่เข้าใจอย่าไปพร่ำเพ้อถึงประชาธิปไตยที่แท้จริงเลยครับ"
คนรักของฉันถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วพูดอีก
"อ้อ... ถ้ามีใครถ่ายรูปภรรยาพี่ไปโพสต์ลงโซเชียลแล้วทำให้เสื่อมเสีย รับรองว่าพี่กับภรรยาจะฟ้องร้องดำเนินคดีตามกฎหมายให้ถึงที่สุด ไม่เชื่อก็ลองดูครับ"
ยังคงไม่มีเสียงใดตอบกลับมา เรายืนตรงกันสองคนอีกคู่จนกระทั่งเสียงเพลงจบลง สามีของฉันน้องใบหน้ามากระซิบ
"ท่าทางจะดูหนังไม่สนุกแล้วล่ะ ออกไปหาอะไรกินเล่นฆ่าเวลา แล้วก็หาซื้อของอร่อยๆ ไปฝากลูกกันดีกว่า"
ฉันอมยิ้ม รู้สึกอบอุ่นในหัวใจและไม่หลงเหลือความอับอายใดๆ อีก สามียื่นมือมาจับมือฉัน แล้วเราก็เดินจูงมือออกจากโรงภาพยนตร์พร้อมกัน... เหมือนเมื่อครั้งแรกรักกันใหม่ๆ
อดตั้งคำถามกับตัวเองในใจไม่ได้ว่า วันข้างหน้าหากมีโอกาสเข้าโรงภาพยนตร์อีก ฉันยังคิดจะลุกขึ้นยืนอีกหรือไม่ แล้วฉันก็ตอบตัวเองแทบในทันทีว่า ฉันยังคงเต็มใจจะลุกยืนตรงถวายความเคารพเมื่อได้ยินเสียงเพลงอันยิ่งใหญ่และคุ้นหูมาแต่เล็กแต่น้อยนั้น ต่อให้ฉันเป็นคนเดียวในโรงภาพยนตร์ที่ลุกขึ้นยืนตรงก็ไม่เป็นไร
และฉันแน่ใจยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดว่า หากฉันถูกเหยียดเย้ยหรือคุกคาม จะมีอีกคนหนึ่งพร้อมลุกขึ้นยืนเคียงข้าง... แม้ว่าเขาไม่ได้ปรารถนาจะลุกขึ้นยืนตรงแต่แรกก็ตาม
💞ขอขอบคุณเพื่อนทุกคนที่เข้ามาติดตามนะคะ 👍ทั้งที่กดไลค์ 👍กดแชร์ และ comment 👍แลกเปลี่ยความคิดเห็นกันค่ะ💞
💕by : ...ธรรมะ..ดา💕
โฆษณา