11 ก.ค. 2023 เวลา 14:21 • ท่องเที่ยว

เที่ยวญี่ปุ่น ครั้งแรก ก็ครั้งแรกแทบทุกอย่างจริงๆ Final Day at Japan

/จั่วหัวซะเศร้าเลย แต่มันเป็นจริงครับ แง
วันเที่ยววันสุดท้ายของเราสองแล้ว เย้
สำหรับแพลนในวันนี้ ก็คือตามเก็บสถานที่ที่เรานั้นปักหมุดมาเพื่อที่จะไปไล่เที่ยวให้หมดไปเลย!
แต่ละสถานที่นั้นก็ตามแต่ที่เราทั้งคู่ตกลงกันครับว่าจะเอาที่ไหนบ้างที่ว่ามันไปได้โดยไม่กินเวลามาก
สุดท้ายแล้ว แต่ละที่ที่เลือกไปนี่มันสุดยอดมากครับ
ไม่เสียดายที่เลือกไปด้วย
สถานที่ท่องเที่ยวแบบมหาชน เลยเจอมหาชนคนท่องเที่ยวเพียบเลยครับ
วันนี้เริ่มต้นที่วัดอาซาคุสะ เจ้าดัง เจ้าประจำ แลนด์มาร์คสุดฮิตที่ไม่ว่าใครก็ต้องมา มิวายกระทั่งคณะทัศนศึกษาของนักเรียนญี่ปุ่นเองก็ด้วย
ก็เคยเห็นแต่ในอนิเมะนะครับที่มีนักเรียนมาเที่ยวกัน พอมาเจอแบบ In real life แบบนี้นี่ก็ทึ่งพอสมควรเลย
มากันเต็มไปหมดอะ
เปรียบได้ดั่งวัดพระแก้วที่กรุงเทพ หรือวัดหลายๆ ที่ ที่อยุธยา ที่ยังไงๆ ก็ต้องมาอะ
ถ้าจะต้องมา ก็จะต้องขอมีรูปเช่นกันครับ แหะๆ
เมื่อได้ดื่มด่ำกับพลังศักดิ์สิทธิ์แล้ว ก็เติมด้วยพลังของหวานต่อเลย
น่ากินไปหมด!!!! / แต่ก็ไม่ได้ครับ เพราะยังมีอีกหลายที่ที่ต้องไปต่อ
ดูสีหน้าของผู้ที่มีความสุขกับการกินนั่นสิ
จากนั้นก็เดินไปถ่ายรูปคู่กับตึกอาซาฮีอีกนิดหน่อย
มีหลักฐานว่าได้มาก็พอแล้ว!!
จากนั้นก็นั่งรถไฟไปสู่ร้านกาแฟชื่อดังสุดอลังการกันต่อครับ
 
ใช่ครับ
Starbuck Reserve Roastery ที่ใหญ่ๆ อันนั้นแหละครับ
หนึ่งในสถานที่ที่เรานั้นอยากมาเป็นพิเศษมากกกกกก / แต่พิกัดมันไกลจากที่แรกมากกกกกกกก /ร้องไห้
อันเพราะว่า เรานั้นเปิดอินสตาแกรมดูอยู่เรื่อยๆ แล้วเหล่านักท่องเที่ยวต่างประเทศก็ชอบแปะวีดีโอไว้ว่าสถานที่นี้น่าไปมาก
มันจึงเป็นเป้าหมายอีกหนึ่งอันที่เราตั้งไว้ เพราะความสวยงามของภายในร้านอย่างเดียวเลยนะครับ
ภาพเหล่านี้คือถ่ายตอนที่ต้องเข้ามาต่อคิวแล้วครับ เลยเริ่มที่ด้านหลังนี้ก่อนเลย
เลยเป็นเป้าหมายที่ไม่ได้ไปก็ไม่เป็นไร แต่สุดท้ายแล้วก็ดีใจแหละที่ได้ไป เพราะทุกอย่างข้างในมันทำให้ว้าวได้หมดแหละนะ
แต่มุมที่เราได้เห็นมากกว่านี้คือ ร้านนี้ไม่ใช่แค่ร้านกาแฟ แต่เป็นร้านแกฟ.....
อะ เอาใหม่ๆ
แต่มุมที่เราได้เห็นมากกว่านี้คือ ร้านนี้ไม่ใช่แค่ร้านกาแฟ แต่เป็นร้านที่รวมความเป็นสไตล์ของผู้คนในพื้นที่เดียว แบบ มาแล้วได้เห็นทุกอย่างมากกว่ากาแฟ
ชั้นล่างคือโซนต้อนรับ ที่มีเครื่องคั่วโชว์ให้เห็นจะๆ แต่มีฝั่งที่ขายขนมปัง และกาแฟประเภทต่างๆ ที่คิดว่าครบสุดแล้วนะ
มีทุกอย่างทั้งแบบเครื่องชง ไซฟอน ดริป ไนโตร, โซนชา แก้วชา, บาร์ ร้านอาหาร และทุกอย่างที่พึงมี
จึงถือได้(เอาเอง)ว่าร้านนี้คงเป็นร้านที่ครบเครื่องที่สุดเท่าที่เจอมาแล้วล่ะครับ
ชั้นแรก อุดมไปด้วยขนมปังที่บ้านเรานั้นควรมี "ขนาดนี้" บ้าง
ขึ้นมาชั้นสอง ที่เป็นโซนชาครับ / ลูกครึ่งกาแฟเลิฟเว่อร์+ชาเลิฟเว่อร์แบบเรานี่ก็ตื่นเต้นตลอดเวลาเลย
และนี่คือเมนูพิเศษของช่วงที่ไปครับ / ซากุระลาแต้ เอ้ย ลาเต้ / นี่คือทั้งเมนูร้อนและเมนูเย็นเลยนะครับ สองสไตล์
ไม่ชัวร์ว่านี่คือม็อตโตรึเปล่า แต่เป็นป้ายตรงโซนเมล็ดพิเศษครับ
นี่ ตรงนี้แหละ
แอบถ่ายพื้นที่ภายในมานิดๆ ครับ
ปัญหาหนึ่งของร้านแมลงดาวนี้ก็คือ เดินจากสถานีรถไฟนี่แม่งไกลชิบหายเลยครับ และจากแพลนที่วางไว้ตอนแรกว่าจะต้องไปที่สถานีอาคาซากะก่อนเที่ยง ก็โดนเลื่อนไปเนื่องจากร้านนั้นคนเยอะนั่นแหละครับ
แต่ยังดีที่ ร้านที่จะไปต่อไปนี่คือจองไว้แล้ว แต่เลยเวลา แต่ก็ยังเข้าได้ เย้
ที่ๆ ว่านี่คือ Harry Potter Shop ครับ
ไม่ได้ถ่ายตรงพื้นที่สถานีมาเลยครับ แต่ขึ้นมาแล้วก็เจอมุมนี้ เลยกดถ่ายมาแค่รูปเดียวเอง แง
ตกใจในความจริงจังจ๋าครั้งที่สอง(ครั้งแรกคือสถานี Kawazu นั่นไง) เพราะเมื่อแค่ออกจากรถไฟ เราก็ได้ยินเสียงเพลงของโลกเวทย์มนต์ที่คุ้นเคยกันดีทันทีเลยครับ
เมื่อมาถึงทางออกก็ยังอึ้งยิ่งกว่าเดิม เพราะประดับตกแต่งได้โหดมาก ไม่หลงทางแน่นอน
เรารีบมุ่งหน้าไปร้านขายของแห่งโลกเวทย์มนต์กันก่อน เพราะว่าเลยเวลาที่จองไว้แล้ว และจะได้แก้ปัญหากันต่อไป แต่โชคดีที่เจ้าหน้าที่บอกให้เข้าได้เลย เลยแฮปปี้ เพราะยังอยู่ในเวลาแหละ แหะๆ
น่าจะอิงบรรยากาศที่เอามาจากในหนังได้พอสมควร / ที่ไม่เหมือนกันคือข้างในนี่คือสิ่งที่ต้องใช้เงินเราจ่ายจริงๆ นี่แหละ...
เรานั้นเป็นผู้ที่ไม่ได้อินอะไรจ๋ากับโลกฝั่งนี้มากนัก แต่ก็ยังอู้หูอ้าหา(อีกแล้ว)กับภายในที่ล่อตาล่อใจไปเสียทั้งหมด แต่ยังโชคดีที่ไม่เจ็บตัวเท่าไหร่นัก ยกเว้นคุณแฟนที่กระอักไปหลายดอก
ภาพจั่นเจากระอักเลือดนั่นลอยมา
ส่วนมากก็เป็นของฝากและสะสมนั่นแหละครับ แฟนๆ น่าจะต้องมีกัน
ไอ้เจ้าสองตัวนี้มันน่าโดนที่สุดแล้วครับ แต่ราคานี่ยังอู้หูอยู่ครับ...
จากนั้นก็มีแผนลอยๆ มานั่นคือไปเดินเล่นที่อากิบะ
แต่สุดท้ายอยู่อากิบะน้อยที่สุดเลยครับ เพราะไม่ได้มีพิกัดที่จะไปแบบจริงจังจ๋าแล้ว
เนี่ย ได้ถ่ายรูปมาแค่นี้จริงๆ ครับ เพราะหิวด้วย และเดินหลงด้วย เลยไม่ค่อยได้หยิบมือถือมาถ่ายเลย
เนื่องจากที่จะไปตอนแรกคือ Taito Staion ที่นี่ แต่เนื่องจากเห็นแล้วว่าที่อื่นๆ ก็มีเหมือนกัน เลยกะว่าแวะเล่นเกมที่อื่นเอาก็ได้วะ ไม่เป็นไร
แต่อย่างน้อยก็ได้แวะมาเหยียบดินแดนศักดิ์สิทธิ์(?)แห่งนี้แล้ว ด้วยการกินข้าวหน้าปลาไหลและไขกาชา เท่านั้นแหละ......
และเพราะไม่ได้ทำการบ้านของพื้นที่นี้มาเลย เลยหาร้านข้าวแบบสุ่มจริงๆ จังๆ มากครับ แล้วก็เดินผ่านร้านข้าวหน้าปลาไหลอยู่ร้านนึง แล้วก็มุ่งเข้าไปเลยโดยไม่ได้ดูอะไรสักอย่างเลย
มารู้ตอนกลับไทยแล้วว่าที่ไปกินนี่คือร้าน Unatoto ที่มีสาขาที่ไทยนั่นแหละครับ
โห้ หลี่ ชี้ทททท ชั้นเข้าร้านดังโดยไม่รู้ตัวหรือนี่!
สารภาพเลยครับว่ามันมีภาพแค่นี้จริงๆ เพราะหิวจัดและแพลนสะบัดหมด เลยไม่ได้ถ่ายไว้เท่าไหร่เลย
เพราะต้องมานั่งทำวีดีโอกัน เลยมากดสตรีทวิวดู เลยเพิ่งรู้จริงๆ นี่แหละครับว่านี่คือร้านชื่อดัง... / พิกัดตรงนี้เด้ะๆ เลยครับ
ถ่ายทางปกติๆ ที่ดันติดเหล่าผู้เชิญชวนไปต่างโลก(?)เพียบเลยครับ
เดินเข้าร้านค้าหลายๆ ร้านที่ชักชวนให้เสียตังง่ายถ้าใจอ่อนเกินไป / มีอีเวนท์เกมในร้านแบบนี้คือเรื่องปกติสินะ
ใจจริงๆ ก็คงอยากมาเห็นวิถีชีวิตแถวนี้ แต่เมื่อเห็นว่าคนพลุกพล่านขนาดนี้ แล้วก็ดูไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษแล้ว ก็เลยรีบเปลี่ยนจุดมุ่งหมายทันทีครับ
เพิ่งหารูปเจอ ว่านี่คือกาชาอำลาพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ครับ
ซึ่งหมุดหมายสุดท้ายที่เลือกไว้วันนี้ก็คืออาเมะโยโกะ อุเอโนะ อีกรอบนั่นเองครับ
มาซ้ำเพราะว่าต้องการมากินร้านซูชิชื่อดัง ที่เมื่อเข้าไปนั่งแล้วเหมือนกับอยู่ร้านซูชิในประเทศไทยเลยครับ
มีแต่เพื่อนร่วมประเทศ ฮ่าๆๆๆๆ
ร้านชื่อ Miuramisaki Kou ครับ เป็นร้านชื่อดังที่คนไทยชอบมา น่าจะมีคนแนะนำมากันหลายๆ คน
ข้อดีของร้านนี้คือถูกดีครับ หน้าล้นๆ เคี้ยวมันๆ ค่าเสียหายหลายพันเชียวนะ ฮ่าๆๆๆ
ไม่กล้าถ่ายเยอะ เพราะคนเยอะ และเกรงใจมาสเตอร์ครับ / แต่นี่คือบรรยากาศในร้านที่เล็กๆ แต่อบอุ่นครับ
ตั้งแต่ไป จนกลับ และผ่านมาหลายเดือนแล้ว ก็ยังไม่ได้คิดหาข้อมูลเลยครับว่าไอ้เมนูนี้มันคือเมนูอะไร...
จากนั้นก็เป็นการตระเวนหาของไปเรื่อยๆ ตามสไตล์คนอยากได้ของครับ ซึ่งของเรานี่พลาดไปหลายอย่างจริงๆ โดยเฉพาะรองเท้าที่ต้องการนั้นไม่มีไซส์เนี่ย
เฮ้ออออออออ
ก็เลยได้กลับบ้านแบบไม่ค่อยเศร้าเพราะพอทำใจได้บ้างแล้วครับ แต่ก็นึกเสียดายอยู่ดี
เพิ่งมารู้จักแบรนด์ Danner ไม่นาน เลยกรี๊ดมากเมื่อมาเจอที่นี่ครับ / ดูราคานั่นสิครับ
ไปแวะดองกี้มาครับ เป็นดองกี้ที่มีโซนของเหล่าผู้ชายขายด้วย แต่เดาว่าเขาห้ามถ่าย เลยแอบถ่ายไอ้นี่มาครับ / เพราะมันถูกสุดเลยมั้ง เลยอึ้ง เลยถ่ายไว้
และนี่ก็เป็นอีกอย่างที่อยากลองมากครับ แต่ไม่สามารถขนกลับมาได้เพราะไม่ทันคิด..... / ราคาโคตรน่าคบหามากกว่าบ้านเราอีกนะครับ
แวะไป Taito Station อีกที ขึ้นไปตรงโซนตู้เกมบ้าง ไปเจอตู้ต่อยในตำนาน Sonic Blastman ผู้เกรียงไกรเฉยเลย / อีกตู้นี่จำไม่ได้แล้วว่าเกมดังขนาดไหน แต่เคยได้ยินชื่อครับ เลยถ่ายมาด้วยว่าเคยได้เจอมาแล้ว
จากเคอร์บี้ กลายเป็นเคอร์บี้บี้
และก็ได้เวลามุ่งสู่โลกความเป็นจริงแล้วครับ
ถึงวันที่ต้องเดินทางกลับแล้วแหละ
ข้ามถนนที่อุเอโนะตอนเช้าขนาดนี้ มันดูเหงาแบบนี้แหละ / ซึ่งเราที่กำลังลากกระเป๋าข้ามถนนก็ใจมันเหงาเหมือนกัน
ต่อให้ใช้คำว่า "วันสุดท้าย" แต่การผจญภัยมันไม่มีคำว่าวันสุดท้ายบัญญัติไว้นี่นา สนุกกับมันให้เต็มที่ก่อน
เพราะมันมีเรื่องให้ตื่นเต้นอยู่อีกนะครับ
วันนี้เราต้องมาเริ่มต้นทึ่อุเอโนะครับ เพราะสาย Skyliner ที่จะไปสนามบินนั้นเริ่มที่นี่
และพอข้ามถนนมาแล้ว ก็ได้เจอซากุระที่ยังพอมีอยู่และบานให้เห็นก่อนกลับบ้านด้วย
ไม่อยากกลับเลยว้อยยยยยยยย ฮือออออ
งานเลี้ยงยังต้องมีตอนจบ แต่มันก็ไม่ได้น่าเศร้าขนาดนั้นครับ ถึงแม้จะกอบโกยความสุขของการท่องเที่ยวครั้งนี้ได้ไม่เต็มถัง แต่มันก็ช่วยรีเฟรชความรู้สึกของเราได้ดีเหมือนกันนะครับ
จากนั้นเราก็ขึ้นรถไฟไปถึงสนามบินนาริตะด้วยความรวดเร็วสุดๆ เลยครับ
ขบวน Skyliner นี่โคตรสุดยอด
เดินไปลงสถานีเพื่อขึ้นรถไฟแบบเหงาๆ
ตอนอยู่สถานี ก็เพิ่งนึกออกว่าไม่ได้ถ่ายเครื่องดื่มแปลกๆ ที่มีในตู้กดเลยนี่หว่า เลยไล่ถ่ายมาตามนี้เลยครับ / มีแต่ของที่อยากลองทั้งนั้น
และด้วยความไม่พร้อม ก็เลยเพิ่งมาเห็นว่ามันมีตู้ขาย Calorie Mate แบบนี้ด้วย / และใช่ครับ กูไม่ได้กดมา!!!!! / แม่เอ้ย!!!!!!!!!!
ถึงสนามบินแล้วก็ต้องตกใจนิดๆ นะครับว่า ตอนไปถึงนี่แทบไม่มีคนเลย โล่งเตียนมาก
ขนาดตอนเข้าแถวเช็คอินก็ไม่มีคนแบบนี้อะ
แน่นอนครับ เรายังคงหวั่นเรื่องกระเป๋าอยู่ เลยต้องใช้บริการห่อแบบนี้เหมือนเดิม / แพงกว่าที่ไทยนะ
เมื่อถึงเวลาอันสมควร เราก็ได้เช็คอิน และก็เดินเข้าเกทไปข้างใน
สิ่งที่ผิดคาดอย่างหนึ่งก็คือ ตอนแรกว่าจะไม่แวะ Duty Free แล้วนะ แต่อยู่ๆ ก็หลงไปอยู่ในดงอะไรไม่รู้เฉยเลยครับ
ถ่ายอะไรมาได้แค่นี้แหละ แต่จริงๆ ก็จ่ายไปเยอะนะ ฮ่าๆๆ
ขอเล่าความสนุกในนี้นิดหนึ่ง
เรากับแฟนแยกกันซื้อของครับ ทีนี้มันก็เลยแยกกันจ่ายด้วย เราก็เลยไปต่อคิวหลังแฟนที่เข้าไปจ่ายเงินก่อน แล้วอยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงมาว่า "ทางนี้เลยค่า~~" มา เราก็หื้มในใจ และก็เดินไป
เจ้าหน้าที่ก็ทักมาเป็นภาษาไทยเลย เราก็คิดแค่ว่าน่าจะเป็นคำทักทายแหละ แต่ไม่ใช่ครับ น้องเขาเป็นคนไทยนี่แหละ.... ก็เลยถามไถ่นั่นนี่ไปเรื่อย
จนจบแล้วก็ น้องเขาเพิ่งมารู้ตัวว่าทำบิลผิด....เลยยาวกว่าเดิมเลยคราวนี้ แหะๆ
ขอโทษน้องเขาไปด้วยทีนึงที่ชวนคุยเยอะจนพลาดไปนิดหน่อย แต่ได้เห็นการขอโทษแบบขอโทษษษของคนญี่ปุ่น(หัวหน้าของน้องเขา)นี่ก็ประหลาดใจแถมประทับใจด้วยเหมือนกันนะ แหะๆ
...อนึ่ง ในพื้นที่นั้นเราไม่ได้ถ่ายรูปไว้นะครับ เกรงใจสถานที่ เลยได้มาแค่ข้างบนนี้นั่นแหละ
จากนั้นก็มุ่งหน้าไปที่เกทของเรากันต่อ แต่ก็แวะเติมข้าวที่ร้านที่เราไม่ได่แวะเมื่อวันก่อนๆ ครับ
โยชิโนยะนี่แหละครับ
จำราคาไม่ได้ แต่อิ่มกว่าที่บ้านเราอะ
กว่าจะถึงเกทก็เอ้อระเหยไปอีกนั่นนี่ครับ
และหลังจากนี้คือความบันเทิงที่โผล่ออกมาเป็นลาสต์บอสที่เราต้องเจอเลยครับ
ตรงหน้าเกทมี Starbuck ที่เอาไว้ล่อลวงคนหิวกาแฟแบบเราอีกด้วย / จริงๆ ช่วงที่ไป มีเมนูซากุระแบบพิเศษที่ตอนนั้นคนกำลังเห่อแชร์ในเฟซบุคพอดีครับ แต่ตอนที่ไป Roastery นี่ มันไม่มีเมนูนั้นแหละ / แต่ก็ได้มาพิชิตที่ตรงนี้พอดี ถือเป็นการจบ Side quest ได้แบบงงๆ ครับ
เหตุการณ์ต่อจากนี้ไปมันจะไม่ค่อยมีรูปแล้วนะครับ เพราะค่อนข้างโกลาหลไปนิดหน่อย
เรารอเครื่องกันจนถึงเวลาที่เครื่องต้องมาแล้ว แต่สุดท้ายเครื่องก็ยังไม่เข้ามาเลยครับ จากนั้นก็มีประกาศอะไรสักสองสามอย่างที่เราไม่ค่อยเข้าใจ จึงทำให้ดีเลย์ไปเกือบสองชั่วโมงเลย
/ตอนกลับไทยแล้ว มานั่งคุยกับแฟน ได้ความว่า เหมือนกับตอนนั้นเครื่องที่ต้องเข้าก่อนหน้าน่าจะดีเลย์ก่อน แล้วถึงแคนเซิลมั้ง เลยเอาคนของสายนั้นมารวมกับเครื่องของเรา มันเลยช้าไปมากขนาดนี้
พอขึ้นเครื่องได้แล้ว เราก็พยายามทำใจให้สบายไว้ก่อน เพราะตอนนั้นก็เป็นกังวลมากแล้วครับว่าถ้าลงเครื่องแล้วมันจะทันเวลาที่เราต้องไปเปลี่ยนเครื่องมั้ยวะ
อาหารเยียวยาทุกสิ่งครับ
และไอ้ปัญหาที่ว่ามันก็ดันมาขยายตัวขึ้นเมื่อมาถึงสนามบินนินอยนี่แหละครับ
เพราะตอนนั้นมันดีนมีหลายเครื่องที่เข้ามาพร้อมๆ กัน และไอ้ตรงจุดที่ต้องตรวจกระเป๋านั้นก็คือปัญหานี้ครับ
ใช่ครับ มันมีเครื่องเดียว เครื่องเดิมนั่นแหละ!
แล้วไอ้ตอนต่อคิวนี่คือ จนท. สนามบินก็จัดทางคิวมห้แบบโคตรงง คนมาทีหลังถูกตัดทางให้เข้าได้ก่อนเฉย แล้วแต่ละคนก็เข้าไปแบบสโลว์ไลฟ์กันทั้งนั้น!
ตอนนั้นใจเต้นแบบแทบจะฝ่าแถวไปแล้วบอกว่ากูจะตกเครื่องแล้วเว้ยไอ้พวกสลอธ!!!
แล้วพอมาถึงเราตรวจ เราก็โดนดีเฉยเลย!!
เพราะเรานั้นเอาปลั๊กสามตาใส่กระเป๋าสะพายไว้เพราะตอนเก็บของมันยัดลงกระเป๋าไม่ได้ เลยใส่กระเป้มา
แล้วตอนผ่านจุดตรวจที่ญี่ปุ่นเองก็ไม่เห็นโดน
แต่มาที่นี่ดันโดนเฉยเลย...เลยต้องยอมทิ้งไป แต่ทิ้งไปก็ได้ เพราะฉันจะไม่ทันแล้วว้อยยยยยยย
หลังจากจบตรงนั้นมาก็เกือบจะได้หวีดอีกรอบแล้วครับ แต่โชคดียังเข้าข้าง เพราะเขาเพิ่งจะเปิดให้คนได้เข้าไปแบบ "เพิ่งเปิดพอดีและทันที" เลยอะ
เราสองคนเลยพอยิ้มออกมาได้บ้าง
แล้วก็เดินทางกลับมาถึงประเทศไทยได้อย่างรอดปลอดภัย
จนถึงวันที่พิมพ์อยู่นี่(6 เมษายน 2566)(สารภาพว่านี่คือเขียนทิ้งไว้นานแล้วครับ แต่ไม่ยอมทำให้เสร็จเพราะมัวแต่เถลไถลแหละครับ เลยจะไม่แก้วันที่ด้วย)ก็ยังคงไม่ลืมความรู้สึกของการผจญภัยในครั้งนี้เลย
มันคงเป็นความประทับใจของการท่องเที่ยวที่เรานั้นต้องการและตั้งใจที่จะไป แล้วได้ทำตามที่ต้องการด้วย
ลงรูปสดใสๆ ไว้เฉยๆ ครับ
และก็มาคิดว่า ความรู้สึกแบบนี้ เป็นความรู้สึกประทับจิตกระชากใจจริงๆ ที่ไม่มีทางรู้เลยว่าจะได้ความรู้สึกแบบนี้อีกไหม
แต่ตราบใดที่การที่เรามีชีวิตเพื่อออกไปตามหาอะไรที่ขาดหายไปอยู่เรื่อยๆ(ยกเว้นตัง....ใช่มั้ย?)เราก็ยังต้องเสาะหาและออกไปเพื่อไปจัดการความรู้สึกนั้นให้อยู่หมัดให้ได้ซะที
อย่าให้ความเป็นจริงมาหยุดความฝันของเรา แต่จงเอาความฝันมาทำให้โลกความเป็นจริงสนุกและน่าค้นหาต่อไปกันดีกว่าครับ
จะได้เจอกันอีกและเจอกันแบบมีเป้าหมายใหม่แน่นอน เจ้าประเทศญี่ปุ่น
ในที่สุดก็จบซะทีนะครับ กับการท่องเที่ยวญี่ปุ่นที่ผู้เขียนนั้นอู้ไปนานเหลือเกิน ขออภัยกับผู้อ่านด้วยครับที่ทิ้งช่วงไปนานมากเหลือเกิน
และเราต้องรีบมาทำให้จบให้ได้ซะที เพราะกำลังจะมีโปรแกรมใหม่แล้วนั่นเองงงงงงงงง
และจะมาเล่าให้ฟังอีกอย่างแน่นอนครับ!
ขอสวัสดีอีกครั้งนะครับ ผมเองก็ยังคงเป็นมือใหม่ในการเล่าเรื่องราวผ่านตัวหนังสือแบบนี้ครับ
แต่จริงๆ แล้วแฟนเรานั้นได้ทำเพจเฟซบุค และก็วีดีโอทางยูถูบด้วย
ฉะนั้นผมจึงขอฝากช่องทางให้เพื่อนๆ ไปติดตามกันด้วยนะครับ
Facebook : Pursuer MA
Youtube : Pursuer MA
และมารอพบกันในการเดินทางตอนต่อไปกันนะครับ
โฆษณา