7 พ.ค. 2023 เวลา 03:14 • นิยาย เรื่องสั้น

🐓ไก่ที่หายไป🐓

วันนี้จะขอแนะนำ เรื่องสั้นที่ได้รับรางวัลชมเชย วรรณกรรมรางวัลพานแว่นฟ้า ประจำปี 2565 เรื่อง ไก่ที่หายไป เป็นผลงานการเขียนของคุณรมณ กมลนาวิน ตามมาค่ะ
1
🐓มันดิ้นสุดแรงจนหลุด แล้วกระเสือกกระสนหอบชีวิตไปพร้อมกับเชือกมัดที่ขา🐓
เขาไม่ทันมองว่ามันไปทางไหน เพราะง่วนอยู่กับหม้อต้มน้ำเดือดพล่านบนเตาไฟ ตอนที่ถูกถอนขนที่คอ มันทั้งร้องทั้งดิ้น เชือกที่เขาใช้มัดปีกไขว้หลังทำให้มันรอด ลานประหารหลังบ้านจึงเหลือเพียงเขากับเชือกที่พื้น
แม่เดินกลับมาพร้อมกับมีดที่ลับจนคม นิ่วหน้าขมวดคิ้วเมื่อรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จ้องหน้าเขาราวเค้นผู้ต้องสงสัย แล้วฟาดเสียงลงกลางกระหม่อม เขาปฏิเสธแต่แม่ไม่ฟัง อารมณ์คงคั่งค้างตั้งแต่ทะเลาะกับพ่อ เขาจึงเป็นผู้รับแรงกระแทกแทน พ่อกับแม่ทะเลาะกันบ่อยจนเขารู้สึกเบื่อ หนักหนาสุดก็เรื่องไก่
1
ตอนที่ทะเลาะกันนั้นฟ้ายังไม่สว่าง หลังพ่อฉุนเฉียวออกจากบ้านไป แม่ก็สั่งเขาเสียงสั่นเครือ ชี้ไปทางหลังบ้านบอกให้เข้าเล้าจับไก่
"เอาตัวเมียนะ" แม่ย้ำว่าต้องไก่ตัวเมีย เขาจำต้องลุกไป และทันทีที่ก้าวเข้าเล้า พวกไก่พากันซ่อนตัวในความสลัว แม่เปิดไฟให้ พอแสงจากหลอดกลมสว่างวาบขึ้น ไก่นับสิบตัวตกใจหนีแตกกระเจิงราวรู้สถานการณ์ เขารู้สึกหวั่นเมื่อนึกถึงพ่อ หากกลับมาแล้วรู้ว่าแม่ไม่ยอมทั้งที่พูดเตือนเป็นคำขาด คงโกรธจนเหวี่ยงบ้านทิ้งได้ทั้งหลัง เขานิ่งคิดจนได้ยินเสียงเร่ง หันไปเห็นสายตาแม่จับจ้องอยู่
สังหารว่ายากแล้ว จับยิ่งยากกว่า พื้นที่สามคูณสี่เมตร เขาวิ่งไล่จนเหนื่อย เสียงกระพือปีกอื้ออึงไปทั้งเล้าๆ ขนหลุดติดกำมือกว่าจะคว้าตัวหนึ่งได้
1
เป็นตัวเมียที่แม่อยากได้ เนื้อมันนุ่มกว่าตัวผู้ แม่เดินเข้าบ้านไปที่ครัว บอกว่าจะรับมีดคมๆ มาให้ เขากดตัวมันไว้กับพื้น รวบขามันแล้วมัดด้วยเชือกฟางที่แม่เตรียมไว้ให้ จับปลีกไขว้หลังแล้วมัดอีก มันยังพยายามดิ้น ดวงตากลมแลใสซื่อนั้นทำเอาเขาไม่อยากลงมือ เขาจึงปลดเชือกฟางเก่าเปื่อยสีแดงซีดที่มัดกระสอบออก ทดสอบกระชากสองครั้งก็ขาด เขารีบเปลี่ยนแทนเส้นที่มัด อยู่ที่มันแล้วว่าจะเอาชีวิตรอดได้ไหม
เขาหันไปติดเตา ยกหม้อน้ำขึ้นตั้ง เหลียวมองมันเป็นระยะจนยินเสียงร้องและเสียงกระพือปีก เขาหันไปก็เห็นมันพ้นพันธนาการแล้ว โชคดีที่แม่ยังไม่กลับมา เขารีบหันกลับแสร้งสนใจน้ำในหม้อที่กำลังเดือด แม่กลับมาไม่เจอมัน ตะเพิดให้ไปตามหา เขาออกจากบ้านพร้อมเป้กระสอบปุ๋ยและมีดเหน็บ
ดีหน่อยที่ตอนนี้ท้องฟ้าสว่างแล้ว แต่พื้นที่หมู่บ้านกว้างขนาดวิ่งเล่นกันทั้งวันก็ไม่ทั่ว ไม่รู้ว่าจะหาเจอได้อย่างไร ภาวนาให้มันทิ้งร่องรอยไว้ให้บ้าง นึกถึงคำขู่ของแม่ หากจับกลับมาไม่ได้ชะตากรรมเขาคงไม่ต่างจากมัน เขายืนนิ่งคิดหลังเดินพ้นเขตรั้วบ้าน ลังเลว่าจะไปทางไหน
1
หมอกขาวสะอาดหอบกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้ป่าจาก บนหุบเขาโรยตัวลงมา ดอกไม้ป่าซ่อนตัวตามซอกหิน ช่อหนึ่งมีหลายดอก กลีบดอกบางและใสสะอาดเหมือนแก้ว ส่งกลิ่นหอมที่สุดในช่วงเช้ามืด หมู่บ้านกลางหุบเขาจึงมียามเช้าที่เป็นเอกลักษณ์
บ้านเรือนส่วนมากยังเป็นแบบดั้งเดิม ตัวบ้านยกจากพื้นราวเมตรครึ่ง ใต้ถุนไว้เก็บฟืน ฝาไม้ไผ่ขัดแตะ หลังคาแป้นเกล็ด หน้าบ้านทำลานตากหมาก ไปทางไหนก็มีแต่ลูกหมากสดกองเต็มใต้ถุนบ้าน เป็นผลผลิตขึ้นชื่อของหมู่บ้าน คนข้างนอกเข้ามากว้านซื้อถึงที่
เขาเดินลงเนินผ่านบ้านหลังเก่าชั้นเดียว เด็กหญิงร่างเล็กถือมีดผ่าลูกหมากสดช่วยพ่อแม่ โดยเลี้ยงน้องวัยไม่กี่ขวบอยู่ข้างๆ เขาลองตะโกนถามเผื่อใครเห็นไก่ เสียงตอบกลับว่าไม่เห็น หลังถัดไปบอกว่าเห็นแล้วชี้ไปทางหนึ่ง แต่หลังตรงข้ามโพล่งบอกแล้วชี้ไปอีกทาง เขาแค่นหัวเราะ รู้แล้วว่าสองบ้านไม่ใช่พวกเดียวกัน
เขาไม่ไปตามคำบอกของใคร เลือกเชื่อสัญชาตญาณของตัวเอง เดินตรงแล้วขึ้นลงอีกสองเนินก็เจอสิ่งที่ตามหา เชือกฟางสีแดงซีดเก่าตกอยู่ที่พื้น หยิบขึ้นดูเป็นเส้นที่เขาใช้มัดขามัน เขาพึมพำไก่มันมาเองไม่ได้ไกลขนาดนี้หรอก
1
เดินค้นหาต่อจนมาถึงบ้านหลังเก่าชั้นเดียว เป็นบ้านของชายร่างสูงสมส่วน ผู้ฝันใฝ่อยากเป็นทหารพราน รวบรวมพรรคพวกส่วนหนึ่งตั้งชื่อกลุ่มอาสาพิทักษ์หมู่บ้าน อันตรายจากคนนั้นไม่มีหรอก ในหมู่บ้านไม่เคยมีใครจะทำความชั่ว ลงมือรุนแรงสุดก็แค่ฆ่าไก่ พวกเขาเฝ้าระวังสัตว์ร้ายที่อาจพลัดหลงมาจากเขา ถึงเวลาค่อนดึกจึงแยกย้ายเข้าบ้านเหลือแต่หัวหน้าที่อยู่ยามจนอาสาฯคนอื่นเข้านอนหมดแล้ว
ความทุ่มเทนี้ต่างได้รับคำชื่นชมและนับถือจากทุกคน จึงพร้อมใจกันยกฉายาผู้พันให้ ไม่เพียงแต่ชาวบ้าน คนของรัฐก็สนับสนุนให้อุปกรณ์ใช้ในการปฏิบัติงานและชุดทะมัดทะแมงเกินกว่าที่ร้องขอ
จู่ๆ ความคิดหนึ่งวาบขึ้นในหัว ไก่อาจอยู่ในบ้านผู้พัน อาจเจอมันแล้วกักไว้รอตามหาเจ้าของ
เขาร้อนในอก อยากพาไก่กลับบ้านเต็มทน พอเดินเข้าใกล้ก็ได้ยินเสียงอื้ออึงราวคนทุ่มเถียงกัน เขาไม่กล้าผลีผลามเข้าไปเกรงตกอยู่ กลางสมรภูมิรบของคนอื่น อ้อมไปทางด้านหลัง สอดสายตาผ่านซี่ไม้ไผ่แยกห่างราวครึ่งนิ้วมือ มองเข้าไปแล้วชะงัก พ่อของเขาอยู่ตรงนั้น กำลังพูดด้วยใบหน้าเคร่งเครียด
นอกจากพ่อและผู้พัน ยังมีอีกหลายคน เห็นจากแผ่นหลังก็จำได้ พรรคพวกของผู้พันทั้งนั้น เขาเงี่ยหูฟัง ในนั้นกำลังพูดถึงผู้แทน คนของรัฐจะพาแขกคณะ 1 มาในตอนบ่าย ช่วงนี้มีคนมาเยี่ยมบ่อย อาจเพราะคณะทำสารคดีที่มาก่อนนี้ คนนอกจึงเข้ามากันมากขึ้น และนั่นเป็นสิ่งที่พ่อและพรรคพวกไม่ชอบใจนัก หนนี้ถึงกับทนไม่ไหว เสียงผู้หญิงพูดตักเตือนพ่อว่า
1
"หากไปพูดอย่างนั้นคงไม่มีใครอยากมา เราจะไม่ได้อะไรเลย เด็กๆ จะไม่ได้แม้กระทั่งลูกอม" พ่อสวนคำกลับ
"ถ้าเห็นแค่ของแจกของฟรี เราจะกล้าเรียกร้องอะไรกันได้"
"เห็นว่าพรุ่งนี้ก็มีอีกคณะ" เสียงผู้พันพูด
"เมียมึงเชือดไก่หมดแล้วแน่"
พ่อโกรธขึ้นอีกเมื่อพูดถึงไก่ เสียงหลายคนพูดถกเถียงกัน พ่อพยายามโน้มน้าว ผู้พันยังแบ่งรับแบ่งสู้ ไม่เข้าข้างพรรคพวกพ่อเสียทีเดียว พ่อชักน้ำเสียงด้วยความหงุดหงิดเพราะคนอื่นๆ ก็คล้ายรอดูท่าทีผู้พัน แล้วใครคนหนึ่งก็วิ่งพรวดเข้ามาทำลายบรรยากาศน่าอึดอัดนั้น ร้องเรียกผู้พันเสียงตระหนก เขาพยายามฟังแต่จับใจความไม่ได้ ผู้พันหุนหันออกไป พ่อและคนอื่นๆ ก็สาวเท้าตาม เขาค่อยย่องออกจากที่ซ่อนไปที่ประตู เข้าบ้านกวาดตามอง เดินหาทั่วครัวก็ไม่เจอ ไก่ไม่ได้อยู่ที่นี่
เขารีบออกจากบ้านก่อนใครมาเห็น พ้นชายคาแล้วหยุดยืนคิด ห่างไปไม่ไกลเห็นเจอเจ้าพวกทโมนกำลังเล่นกันจึงเข้าไปหาแล้วลองถาม เด็กต่างแย่งกันพูดว่าเห็นคนอุ้มไป เขายิ้มมีความหวัง
ทุกครั้งที่อารมณ์เย็นลง เธอ(แม่)ก็คิดได้ว่าไม่ควรทะเลาะกับเขา เธอนั่งมองไก่ในเล้าอยู่หลังบ้านกว่าชั่วโมง คิดทบทวนว่าเหตุใดเขาต้องขัดเธอไปเสียทุกเรื่อง ที่จริงถ้าเป็นเรื่องในบ้านเขาไม่ค่อยต่อปากต่อคำด้วย แต่ถ้าเป็นเรื่องของหมู่บ้าน ครึ่งก้าวก็แทบไม่ถอยให้ จะคัดค้านอะไรนักหนา เธออดสงสัยไม่ได้
หรือเพราะปมในใจเรื่องลูก ที่จริงมันเป็นเพราะเขานั่นแหละ เธอนึกถึงตอนที่ลูกเพิ่งจบชั้นประถม เขาอยากให้ลูกเรียนต่อโรงเรียนดีๆ ข้างนอก จบปริญญาเหมือนตัวเอง พอลูกไม่ยอมไปเรียนหลังสอบเข้าได้ก็เกรี้ยวกราดโทษว่าเป็นเพราะคนของรัฐ
เขาบังคับใช้ลูกเป็นเครื่องมือขอถนนทางออก ในหัวเขาคิดแต่เรื่องนั้น เรื่องไม่เป็นเรื่องก็สร้างมันขึ้นมา ขับรถเข้าออกหมู่บ้าน พอรถพังก็บ่น ขับไปซ่อมไปจนลูกทนเห็นไม่ได้ก็เลิกไปเรียน แล้วมันเกี่ยวอะไรกับใครที่เขาว่า เขามันพวกบ่นบ้ารายวัน พูดแต่เรื่องถนน คนส่วนใหญ่ในหมู่บ้านก็คิดเหมือนเธอ และการทำตัวมีปัญหากับคนของรัฐมีแต่เสียกับเสีย จนลูกชายครบสิบห้าแล้ว เขาก็ยังไม่ยอมล้างมือจากถนน
เธอเริ่มอยากปลง ทะเลาะกันไปก็เท่านั้น ความคิดเขาไม่มีทางเปลี่ยนได้ ผลร้ายก็จะตกแก่ลูกชายที่เห็นแต่พ่อแม่ทะเลาะกัน เธอรู้สึกผิดที่ทำกับลูกไปเมื่อเช้า แค่ไก่ตัวเดียวถึงกับไล่ลูกออกไปตามหา หมู่บ้านก็ไม่ใช่เล็กๆ ป่านนี้ลูกอยู่ไหนแล้วไม่เจอไก่คงไม่กล้าเข้าบ้าน พอนึกถึงก็รู้สึกผิด และเพื่อหลีกเลี่ยง มีปากเสียงกับเขา ต่อไปนี้เธอจะไม่ยุ่งกับไก่ในเล้า ส่วนของที่นำมาทำอาหารรับรองแขกวันนี้ เธอจะออกไปซื้อนอกหมู่บ้าน
1
ตัดสินใจได้เธอจึงออกไปหาพรรคพวก แล้วก็ได้เงินลงขันเกินพอสำหรับซื้อวัตถุดิบมาทำอาหารมื้อใหญ่ เธอกลับมายังบ้าน เลือกใส่ชุดผ้าทอมือสีขาวยาวคลุมเข่า ปักลายเส้นสีเขียวสลับน้ำเงิน ผ้าทอเนื้อปราณีตที่คนนอกมาเห็น เป็นต้องชื่นชมและขอซื้อกลับไป เธอไม่ได้ออกนอกหมู่บ้านหลายปีแล้ว ถือโอกาสนี้ใส่ชุดที่ทอเองและตัดเย็บอย่างสุดฝีมือ มองผมที่มัดมวยรวบตึงในกระจก ยิ้มพอใจแล้วไปยังบ้านของพรรคพวกที่เป็นร้านค้า ว่าจ้างรถกระบะที่เหลือคันเดียวในหมู่บ้าน รถเคลื่อนออกไปในตอนที่มีแสงแดดสาย
เรือนไม้หลังใหญ่ชั้นเดียว ยกตัวสูงจากพื้นราว 3 ศอก ด้านในเป็นห้องโถงใหญ่ มี 4 เตียงต่อขึ้นจากไม้ไผ่ ทับลงด้วยฟูกนุ่นหนา 5 นิ้ว ชาวบ้านช่วยกันสร้างใช้เป็นอนามัยชุมชน มีหมอหญิงวัยใกล้สี่สิบดูแลเพียงคนเดียว อันที่จริงเธอเรียนจบด้านพยาบาล ทำงานที่โรงพยาบาลใหญ่ในตัวเมืองกว่าสิบปีแล้วลาออกกลับมาอยู่ในหมู่บ้าน งบประมาณด้านหยูกยาและเวชภัณฑ์ได้รับสนับสนุนจากทั้งคนของรัฐและจิตอาสาจากที่ต่างๆ ความเสียสละของเธอกว่าสิบปีทุกคนจึงยกย่องเป็นหมอหญิง
แสงแดดสายที่สาดลงมาจากท้องฟ้าใสผลาญกำลังเขาจนรู้สึกเหนื่อย จากบ้านผู้พันเขาเดินมาถึงอนามัยชุมชน ชะโงกเข้าไปในห้อง หมอหญิงง่วนอยู่กับกล่องยาบนโต๊ะ เขาทักทายก่อนนั่งบนเก้าอี้ตรงข้าม หมอหญิงทักตอบแล้วถาม เขารีบบอกว่าไม่ได้ป่วยไข้อันใด เดินตามหาไก่จนอ่อนล้าจึงแวะพัก
ลอบสังเกตเห็นหมอหญิงยังเงียบเขาจึงไม่อยากเสียเวลา บอกไปว่ามีคนเห็นหมอหญิงอุ้มไก่ของเขา หมอหญิงร้องขึ้นราวพึ่งนึกได้ บอกว่าเมื่อเช้าระหว่างทางมาที่นี่พบไก่ตัวใหญ่ถูกผูกมัดขา มันกระพือปีกกลิ้งคว่ำกลิ้งหงายอย่างตื่นตระหนก ราวกับหนีความตายมา สงสารจึงช่วยมันไว้ พอมันเป็นอิสระมันก็กระพือปีกเตลิดหนีต่อ
เขาถามว่ามันไปทางไหน หมอหญิงบอกว่าจำไม่ได้ เขารู้ว่าหมอหญิงความคิดเห็นไปทางเดียวกับพ่อ และคงเดาได้ว่าไก่จะกลายเป็นมื้ออาหารรับรองใครจึงช่วยมัน ช่างเถอะ ใครจะทำอย่างไรไม่สนใจ หน้าที่เขาแค่ตามหามัน เจอหรือไม่ก็อีกเรื่อง จะบอกแม่ว่าเขาได้พยายามแล้ว
ยังไม่ทันลุก เสียงอลหม่านดังขึ้นด้านหน้า ผู้พันและชายสองคนที่เขาไม่ทันมองหน้าช่วยกันหามร่างใครคนหนึ่งเข้ามา หมอหญิงลุกจากโต๊ะรีบชี้บอกให้ไปที่เตียง เขาตามเข้าไปดู
นั่นลูกชายผู้พันซึ่งเป็นเพื่อนของเขา เพื่อนปวดท้องตั้งแต่วันที่ออกไปหาปลาด้วยกันเมื่อวันก่อน ไม่คิดว่าอาการจะหนักหนาขนาดต้องหามมาที่นี่ หมอหญิงตรวจอึดใจหนึ่งบอกว่าอาการใกล้เคียงกับไส้ติ่งอักเสบ ถึงยังไม่หนักแต่หากปล่อยไว้อาจเป็นอันตราย อยากส่งตัวไปที่โรงพยาบาล
ขณะที่คุยกันอยู่ คนป่วยส่งเสียงร้องโอดโอยขึ้นอีก สีหน้าคราวนี้เราจะขาดใจ ผู้พันเจ็บปวดแทนลูกชาย บอกจะรีบกลับไปเอาเงินที่เก็บทั้งชีวิตมาให้หมอหญิง ขอให้ช่วยลูกชายด้วย หมอหญิงว่าที่สำคัญตอนนี้ต้องไปหารถพาออกไปส่งโรงพยาบาลใหญ่ในเมือง หากต้องผ่าตัดที่นั่นเครื่องมือก็พร้อม เขาอาสาวิ่งไปเรียกรถกระบะมาให้ ผู้พันพยักหน้าบอกขอบใจ แล้วกระโจนออกจากห้อง เขากระโจนออกตาม
ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเขาวิ่งกลับมาพร้อมสีหน้าผิดหวัง ผู้พันยืนอยู่ข้างเตียงลูกชาย หมอหญิงมองหน้าเขาแล้วถาม เขาบอกว่ารถกระบะออกจากหมู่บ้านไปแล้ว และบอกว่าไม่รู้ใครว่าจ้างไปทั้งที่รู้
หมอหญิงว่าอย่างไรก็ต้องพาคนไข้ออกไปให้ได้ เขานึกห่วงเพื่อนเกรงจะไม่รอดหากต้องนอนอยู่อย่างนี้ และตอนนั้นเอง แสงแดดที่ส่องลงมาก็พลันหุบหาย แม้ก้อนสีเทาดำกลุ่มใหญ่ลอยอยู่ที่ปลายฟ้า อีกไม่นานแรงลมจะเคลื่อนมันมา
ชายสองคนที่มากับผู้พันวิ่งหายออกไป เขามองเพื่อนที่นอนอยู่ด้วยใจลุ้นระทึก ราวชั่วโมงพวกนั้นก็กลับมาพร้อมมอเตอร์ไซค์วิบาก พวกเราช่วยกันพยุงคนไข้ขึ้นซ้อน ใช้ผ้าปูที่นอนผูกยึดร่างคนขี่กับคนซ้อนเข้าไว้ด้วยกัน หมอหญิงขอเป็นคนไปส่งเอง จะง่ายต่อการสื่อสารบอกข้อมูลคนไข้กับหมอที่โรงพยาบาล แล้วพูดปลอบขวัญผู้พันให้คลานกังวลก่อนขึ้นซ้อนท้ายรถอีกคัน ผู้พันกล่าวขอบคุณหมอหญิงด้วยความซาบซึ้งใจ
รถทั้งสองคันเร่งเครื่องสุดกำลังเพื่อออกจากหมู่บ้านไปให้ได้ก่อนฝนจะมา
จุดมุ่งหมายที่จะไปเยือนคือหมู่บ้านราว 200 หลังคาเรือน ที่ปลูกสร้างห่างกันตามเนินสูงต่ำบนที่ราบกว้างริมแม่น้ำสุริยะ ขนาดรอบด้วยผาสูงชันที่เป็นดั่งกำแพงกันลมพายุ รถออฟโรดห้าคันมาจากตัวเมืองจังหวัด วิ่งบนพื้นถนนซีเมนต์ในระยะทาง 82 กิโลเมตร กำลังเคลื่อนเข้าสู่เส้นทางเล็กแคบของไหล่เขา ผ่านลำห้วยและช่องหินแคบ อีกเพียง 18 กิโลเมตรสุดท้ายก็ถึงปลายทาง
ใกล้เวลาเที่ยง แสงแดดสายร้อนแรงเมื่อครู่หุบหาย ท้องฟ้าพลันเปลี่ยนเป็นสีเทา และไม่กี่นาทีก้อนเมฆสีเทา ทึบมหึมาก็เคลื่อนเข้าหาเป็นผืนเดียวกัน ค้ำเหนือผืนป่าตะวันตก ไม่ทันมีใครตั้งตัวห่าฝนกรูมาจากหลังเขา กระหน่ำลงราวฟ้ารั่ว รถออฟโรดหยุดนิ่งทั้งขบวน กระจกหน้าถูกน้ำซัดลงมาราวจอดจ่ออยู่ใต้น้ำตก คนในรถต่างนั่งเกร็ง หัวใจเต้นลุ้นระทึก หากมีน้ำป่าซัดมาคงกวาดพวกเขาลงไปนอนที่ก้นหุบเขา
ราวชั่วโมงฝนก็หยุด ผู้แทนคนของรัฐซึ่งมีหน้าที่ดูแลทุกข์สุขประชาชนและบริหารพัฒนา จังหวัดผ่อนลมหายใจโล่งอก พื้นดินชุ่มไปด้วยน้ำ รถค่อยๆ เคลื่อนตัวต่อขบวนเป็นแถวตอนลึก ยางขนาดใหญ่ ย่ำขยี้ดินทุลักทุเล คนขับเกร็งแขนบังคับพวงมาลัยไม่ให้ไถลออกนอกเส้นทางไปทางด้านขวา ซึ่งห่างจากริมหุบเหวไม่มาก แม้จะมีต้นไม้ใหญ่น้อยกั้นแต่ก็ยังอันตราย
รถคันแรกไปลงเนินแล้วเผชิญกับหลุมลึก เสียงเหยียบคันเร่งก้องป่า ล้อสะบัดโกยโคลนขึ้นมากองจนหลุมลึกและกว้างขึ้น คนในรถเปิดประตูออกมาพร้อมรอกสลิงในมือ ใช้ขอเกี่ยวหน้ารถแล้วดึงสายสลิงไปผูกติดกับต้นไม้ใหญ่ คนหนึ่งช่วยหยิบท่อนไม้วางหนุนล้อ รอกไฟฟ้าดึงรถขึ้นจากหล่ม
รถของท่านผู้แทนเป็นรถขับเคลื่อนธรรมดา จึงใช้วิธีเดินหน้าถอยหลังอยู่หลายครั้งกว่าจะขึ้นจากหลุมได้ หนุ่มแรงดีใช้มีดใหญ่ฟันต้นไม้เล็กริมทางด้านซ้ายหักโค่นเบิกทางกว้างขึ้นให้รถไปหนีหลุม พวกเขาทำสงครามกับเส้นทางปราบเซียนร่วมสามชั่วโมง จนสะบักสะบอมเอาการ เลื่อนผ่านทางโค้งสุดท้าย แล้วก็ยิ้มออกมาได้ เมื่อเห็นปลายทางเลี้ยวหายเข้าไปในหมู่บ้าน
ฝนที่กระหน่ำลงมาไล่เขาเข้าหลบในเรือนงาช้าง เรือนหลังโดดเดี่ยวในขอบเขตที่ถูกรั้วไม้ไผ่สูงระดับอกล้อมไว้ กั้นแบ่งเป็นพื้นที่ต้องห้าม คำว่าต้องห้ามอาจมีไว้สำหรับคนนอกเท่านั้น เพราะคนในหมู่บ้านก็เวียนกันเข้า-ออก ทำความสะอาดเรือนและพื้นที่โดยรอบ เช็ดถูงาช้างแกะสลักโบราณ
เขาฟังเรื่องเล่าตั้งแต่เป็นเด็กว่างาช้างที่หมู่บ้านเราใหญ่และโค้งยาวที่สุดในประเทศ แกะสลักลายหายากฝีมือคนรุ่นบรรพบุรุษ ได้มาจากพรานนักล่าช้าง เขาเจอมันบนเขา สู้กันจนบาดเจ็บทั้งคู่ หลังช้างล้มเขาก็ตัดงานำลงจากเขากลับเข้าหมู่บ้าน มอบให้ลูกชาย แล้วไม่นานพรานก็สิ้นลม
เขาเคยถามพ่อถึงตำนานนี้ พ่อบอกว่าไม่มีใครยืนยันว่าเป็นเรื่องจริงและไม่มีใครอยากพิสูจน์ เพราะมันกลายเป็นที่สนใจของคนภายนอกไปแล้ว เขาฟังพ่อเล่าจนไม่รู้สึกเกรงกลัวความศักดิ์สิทธิ์เหมือนพวกเพื่อนๆ มักแอบมานอนเล่นยามไม่รู้จะไปไหน ที่นี่มีของให้กินเยอะ พวกชาวบ้านนำมาให้ผู้นำหมู่บ้าน ซึ่งเป็นทายาทของพรานล่าช้างรุ่นที่เท่าไหร่ไม่มีใครรู้ พวกที่รู้ก็ตายหมดแล้ว ตอนนี้แกอายุร่วมร้อย ชาวบ้านเรียกว่าพ่อปู่ วันๆ อยู่แต่บนเรือนที่ชาวบ้านช่วยกันปลูกให้ข้างเรือนงาช้าง
หลังได้งีบหลับและตื่นมานั่งกินจนอิ่ม เขาบอกลาพ่อปู่ออกตามหาไก่ แต่ยังไม่ทันลงจากเรือนก็ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ดังใกล้เข้ามา ขบวนรถทยอยเคลื่อนมาหยุดที่ลานกว้างหน้าเรือนงาช้าง พื้นดินรับน้ำฝนจนชุ่ม สภาพรอบรถเขลอะโคลน ป้ายผ้าดิบสีขาวติดข้างรถเขียนข้อความ "โครงการปันน้ำใจสู่ชายป่า" เกรอะกรังไปด้วยดิน มีรอยกิ่งไม้เกี่ยวขาดเป็นแนวยาว สภาพเหล่าคนที่เพิ่งผ่านการกรำสงครามมาเปิดประตูออกจากรถ เขาย่องลงจากเรือนหาที่ซ่อนหลังรั้ว อยู่ในระยะใกล้ เห็นพ่อ ผู้พัน และชาวบ้านกลุ่มใหญ่ทยอยเดินมา
ผืนผ้าใบสีเขียวขี้ม้าเขลอะโคลนที่คลุมท้ายกระบะถูกเปิดออก พวกนั้นช่วยกันขนของลงมา ชาวบ้านที่ยืนมุงส่วนหนึ่งมองด้วยความตื่นเต้น ต่างจากพรรคพวกของพ่อที่ต้องเก็บความไม่ชอบใจไว้ใต้ใบหน้าเรียบนิ่ง แต่อารมณ์คงเก็บไม่ได้แล้ว ดูจากท่าทีที่เริ่มตั้งแต่ทะเลาะกับแม่ตอนเช้า จนถึงพูดคุยกันที่บ้านผู้พัน วันนี้น่าจะเกิดเรื่อง แค่รอโอกาสเท่านั้น
ผู้แทนเปิดคำสนทนาด้วยการแนะนำคณะผู้มาเยือน เป็นกลุ่มก้อนจิตอาสาจากเมืองหลวงที่นิยมชมชอบธรรมชาติของผืนป่าจนอยากเข้ามาเยี่ยมชม ผู้แทนกล่าวอย่างภูมิใจ อวดชาวคณะผู้มาเยือนว่าสภาพแวดล้อมและพื้นที่หมู่บ้านยังคงความเป็นธรรมชาติไว้อย่างดี เพียงแค่ผ่านช่องหุบเขาเข้ามาก็เหมือนได้เยือนดินแดนที่ต่างไปราวคนละโลก กระแสความเปลี่ยนผ่านของสังคมภายนอก ยากที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของผู้คนในนี้ได้ และที่นี่เป็นหมู่บ้านแห่งเดียวของจังหวัด ที่มีชื่อเสียงไปถึงต่างประเทศ
ชาวบ้านฟังผู้แทนพูดประชาสัมพันธ์ให้หมู่บ้าน แม้เป็นคำกล่าวเกินเลยแต่ฟังแล้วก็รู้สึกทึ่ง เขาลอบสังเกตชาวบ้าน ส่วนหนึ่งก็พลอยยิ้มภูมิใจไปด้วย แต่พรรคพวกพ่อทำหน้าตึง ผู้แทนหันบอกกับผู้พันที่ยืนอยู่ข้างพ่อว่าคณะผู้มาเยือนจะกางเต็นท์ถัดจากลานนี้ อยู่กันสักสองสามคืน ขอให้ผู้พันจัดคนมาดูแลและเฝ้าเวรยาม ผู้พันพยักหน้ารับสีหน้าต่างจากที่เคย
หนึ่งในผู้มาเยือนแนะนำชื่อตัวและชาวคณะ แล้วพูดถึงสิ่งของต่างๆ ที่ขนมาไกลร่วมร้อยกิโล พร้อมถามน้ำเสียงเป็นมิตรว่าอยากได้อะไร หากครั้งหน้ามีโอกาสมาเยือนอีกจะจัดหานำมาให้
และการถามนี้ทำสถานการณ์พลิกผัน กลายเป็นการเปิดโอกาสให้พ่อ บรรยากาศหลังฝนตกกลับเป็นอึมครึมอีกครั้ง
สิ่งที่พ่อพูดสร้างความตกตะลึงให้กับคนฟังโดยเฉพาะผู้แทน พ่อตอบผู้มาเยือนว่าสิ่งที่อยากได้จริงๆ นั้นไม่ใช่ข้าวของ หากแต่เป็นสิ่งที่คณะผู้มาเยือนเพิ่งผ่านเข้ามา
พ่อหันไปทางผู้แทนรีบฉวยโอกาสพูดราวกับเป็นครั้งเดียวในชีวิต แต่เพื่อไม่ให้ถูกโกรธเคืองจนถูกตัดโอกาสไม่ให้พูด จึงเกริ่นกล่าวขอบคุณท่านที่เลือกหมู่บ้านนี้เป็นหมู่บ้านต้นแบบ หวังดีอยากให้หมู่บ้านมีชื่อเสียง เป็นที่ชื่นชมจากคนภายนอก ท่านผู้แทนดูแลชาวบ้านเหมือนลูกหลาน คอยหาสิ่งที่คิดว่าดีกับชีวิตมาป้อนให้
แต่ตั้งแต่ที่ท่านเข้ามารับทำงานสานต่อนโยบายผู้แทนคนก่อน ท่านก็รู้ว่าหมู่บ้านเราต้องการอะไร ท่านรู้ปัญหาของหมู่บ้านอยู่ตรงไหน แต่ท่านกลับเก็บเราไว้ทำชื่อเสียงให้จังหวัด เรารู้ว่าท่านก็ทำเพื่อเรามาไม่น้อย ได้ดื่มน้ำสะอาดที่ต่อลงมาจากบนภูเขา ได้ใช้ไฟพลังงานแสงอาทิตย์ ใช้ชีวิตกับธรรมชาติ แต่จะดีกว่าหากให้ชาวบ้านได้เข้าถึงโอกาสเหมือนคนที่อยู่ข้างนอก
เด็กๆ ของเราได้ไปโรงเรียนง่ายขึ้น ให้คนเจ็บป่วยไปถึงมือหมอที่โรงพยาบาลในเมืองทันการณ์ ให้เราเข้าถึงตลาด ค้าขายผลหมากรากไม้พื้นถิ่นที่เราปลูกให้คนนอกได้รู้จักและซื้อกิน แทนการถูกพ่อค้าคนกลางเข้ามาต่อรองราคาผลผลิตของเราอย่างไม่มีทางเลือก แค่มีถนนออกจากหมู่บ้าน ให้โอกาสเราได้ใช้ชีวิต เป็นตัวของตัวเอง เราไม่อยากเป็นเพียงผู้รับอีกต่อไป ผู้พันที่เคยมีท่าทีลังเลก็เห็นด้วยกับพ่อ มองผู้แทนด้วยสีหน้าจริงจัง ชาวบ้านบางคนที่เคยเห็นต่างจากพ่อก็ส่งเสียงเห็นพ้อง แม้เป็นจำนวนคนไม่มากแต่พ่อก็ดีใจแล้ว
ชาวบ้านที่ยืนหลังผู้แทนหน้าเจื่อนลง ได้แต่ใช้สายตาสื่อสารกัน ไม่ต่างกับพวกคณะออฟโรด
ผู้แทนยืนนิ่งมองพ่อคิดหาคำพูดแล้วว่า หมู่บ้านเราถูกเลือก แล้วจากมติใหญ่ หากอยากเปลี่ยนแปลงหรือยกเลิกไม่ใช่เรื่องง่าย คณะทำงานทุ่มเทกันมาหลายปี ถ้าจะให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ หมู่บ้านก็ต้องยอมเสียอะไรไปบ้าง ได้อย่างหนึ่งก็ต้องเสียอย่างหนึ่ง ท่านผู้แทนพูดเป็นนัย ชาวบ้านกลุ่มที่สนับสนุนผู้แทนพากันส่งเสียงต่อว่าพ่อและพรรคพวก หมู่บ้านสงบดีอยู่แล้ว เหตุใดไม่หุบปากเสียบ้าง
เสียงชาวบ้านที่ยืนรายล้อมผู้แทนและคณะออฟโรดพากันถกเถียงคนด่ากันอื้ออึง จนเขารู้สึกวิตกว่าจะเกิดการใช้กำลัง
ท่านผู้แทนและจิตอาสาออฟโรดออกจากหมู่บ้านทันทีเพื่อไม่ให้เกิดสงครามระหว่างชาวบ้าน ไม่มีเวลากระทั่งเข้าเยี่ยมชมงานช้างโบราณ โดยทิ้งของบริจาคไว้ พวกที่ก่นด่ากันถูกผู้พันและพรรคพวกเข้าห้ามก็ยอมแยกย้าย เหลือไม่กี่คนที่ช่วยกันคัดแยกของไว้แจกจ่ายตามบ้าน เขาเดินออกจากหลังรั้วไม้ไผ่ รีบย่องหลบไปเกรงพ่อและพวกผู้พันจะเห็น เลาะเดินไปด้านหลังเรือนงาช้าง ภารกิจของเขายังไม่จบ
เขาเดินหามันจนถึงซุ้มป้ายทางเข้าออกหมู่บ้าน ยินเสียงหนึ่งแว่วเข้าหูทำเอาใจเต้น ต้องเป็นเสียงมันแน่ เขากวาดตามองจนเผลอเดินตกหลุมโคลนลื่นไถลหงายท้อง โคลนกระเด็นขึ้นติดหัว ลุกขึ้นพยายามทรงตัว ทั้งเป้กระสอบและมีดพลอยเลอะเละเทะ สภาพเขาราวผุดขึ้นจากโคลน
เขาหยิบรองเท้าที่กระเด็นไปคนละทางนำมาวางไว้ตรงดินแห้งพร้อมมีดและเป้ แล้วเดินย่ำต่อไปตามเสียง ดินทั้งลื่นและดูดเท้า แต่ละก้าวกินแรงไม่น้อย เงี่ยหูฟัง เสียงใกล้ขึ้น จังหวะที่กำลังดึงเท้าออกจากโคลนก็เห็นบางสิ่งเคลื่อนไหว มันนอนจมอยู่ในโคลนครึ่งตัว คงหมดแรงแล้วทำได้เพียงส่งเสียงร้อง เขาถอดเสื้อรีบย่ำเข้าไปหา อุ้มมันขึ้นมา ห่อด้วยเสื้อกันดิ้นหนีแล้วหนีบไว้ในวงแขนขวา กลับไปหยิบรองเท้าและมีดใส่ลงเป้กระสอบขึ้นสะพายหลัง เขาต้องรีบเอาไก่ไปคืนเล้าก่อนพ่อกลับถึงบ้าน
เขาวิ่งจนถึงบ้าน กระโจนผ่านรั้ว อ้อมด้านข้างไปหลังบ้าน แล้วก็หยุดชะงักเมื่อเห็นพ่อจากด้านหลัง กำลังยืนมองไก่ในเล้า พอเขาเดินใกล้พ่อก็หันมา
พ่อนิ่วหน้ามองสภาพร่างคลุกโคลนของเขาที่อุ้มไก่ในห่อผ้าไว้แนบอก หลังพ่อถาม เขาเล่าเรื่องราวทั้งหมด ยกเว้นเรื่องที่ไปซุ่มแอบฟัง ที่บ้านผู้พันและเรื่องที่แม่เป็นคนเอารถกระบะไป ไม่อยากให้พ่อโกรธแม่เป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาอีก จากนั้นก็เล่าว่าเขาอยู่ที่ลานหน้าเรือนงาช้าง ตอนที่ผู้แทนพาพวกออฟโรดมา เขาได้ฟังที่พ่อพูด แล้วถามว่า
" ต่อจากนี้หมู่บ้านจะเป็นอย่างไร"
พ่อว่า "มันก็ยากจะคาดเดา ว่าท่านคิดอย่างไร จะเห็นถึงกลุ่มคนเล็กๆ ในหมู่บ้าน หรือมุ่งไปที่สร้างผลงานทำชื่อเสียงให้จังหวัด"
เขาบอกว่า "ไม่คิดว่าพ่อจะกล้าพูดอย่างนั้นต่อหน้าพวกออฟโรด ต่อไปอาจไม่มีใครมาเยี่ยมเยียนนำของมาให้"
พ่อตอบด้วยท่าทีแน่วแน่ " ถ้าเรากล้าปฏิเสธสิ่งที่เคยได้ เราก็จะกล้าพูดถึงสิ่งที่ควรได้"
เขาบอก "เห็นด้วยกับพ่อ อย่างน้อยเราก็ได้ใช้สิทธิเรียกร้องโอกาสให้ตัวเองแล้ว แต่ถ้าแม่รู้ก็คงไม่ยอม" เขาว่าต่อด้วยความกังวลว่า แม่เข้าหาคนของรัฐก็เพื่อผลประโยชน์ของคนในหมู่บ้าน ต่างก็ทำเพื่อพวกเรา เพื่อเด็กๆ และเขารู้ว่าพ่อก็เข้าใจแม่ แต่พอพวกผู้แทนพาคนนอกเข้ามาทีไร พ่อก็ทะเลาะกับแม่อีก
"ก็นั่นมันไก่ของพ่อ" พ่อชี้ไปที่เล้า แค่นหัวเราะ "เลี้ยงไว้ให้ครอบครัวได้กินไข่"
เขาแค่นหัวเราะตามแล้วว่า " ความจริงแต่ก่อนเราใช้ไก่ทำอาหารเฉพาะงานมงคลหรือพิธีสำคัญ แต่ตอนนี้กลับใช้เลี้ยงต้อนรับพวกเจ้านายคนใหญ่คนโต คนนอกที่มาเยี่ยมเยียน ถ้าจะเลี้ยงก็ใช้ปลาจากแม่น้ำสุริยะก็ได้ มีออกมากมาย เลี้ยงกันชั่วชีวิตก็ไม่หมด ใช้แต่ไก่มันโตให้ไม่ทันหรอก"
พ่อค่อนขอดว่า "ได้โต้โผใหญ่อย่างแม่และพรรคพวกจะยอมหรือ หน้าใหญ่ใจโตขนาดนั้น" เขาอดขำพ่อไม่ได้ดูท่าทีคงหายโกรธแม่แล้ว
พ่อพูดเหมือนนึกขึ้นได้ ไล่เขาอาบน้ำแล้วเอาไก่ไปล้างคราบโคลนก่อนแม่จะกลับมา เขารับคำ บอกว่าจะจัดการล้างให้สะอาดเอี่ยม พ่อว่าสะอาดไปก็เท่านั้นเพราะพรุ่งนี้จะมีมาอีกคณะ มันไม่รอดมือแน่ๆ เขาพูดขึ้นว่าพวกนั้นไม่เข้ามาเร็วๆ นี้หรอก แล้วนึกภาพที่ติดอยู่ในหัว
แม่ก็ด้วย
รถกระบะคันเก่าทรหด พาเธอออกจากตลาดกลางตัวเมืองมุ่งกลับหมู่บ้าน ระหว่างทางเธอเห็นโรงพยาบาลขนาดใหญ่กว่าศูนย์อนามัยในหมู่บ้านเป็นร้อยเท่า โรงเรียนอย่างน้อยสองแห่งแล้วที่ผ่านตา วัดวาอาราม ร้านอาหาร ร้านสะดวกซื้อ ร้านขายรถยนต์รถเครื่อง พ่อค้าแม่ค้าวางขายอาหารริมทาง ถนนราบเรียบรถวิ่งฉิว ไม่สั่นโคลงสักนิด เธอมองเหล่าถุงขนม ข้าวต้มที่หอบไว้บนตัก
หลายชนิดที่เคยกินตอนพวกคนข้างนอกหอบหิ้วเข้าไปเยี่ยมเยือนมาจากในตลาดนี้เอง เธอใช้เงินที่ลงขันกันซื้อของพวกนี้ไปฝากเด็กๆ เธอเผลอคิดว่า หากออกมาตลาดได้สะดวก ของกินที่เราและเด็กๆ ชอบ จะกินกันเมื่อไหร่ก็ได้
แล้วอีกความรู้สึกหนึ่งก็งัดง้างขึ้นมา ตอนที่คนในตลาดเห็นชุดผ้าทอมือสีขาวบริสุทธิ์และทรงผมที่มวยขึ้นเป็นเอกลักษณ์ของเธอ ต่างทักทายและรู้ว่ามาจากหมู่บ้านไหน เธอรู้สึกภูมิใจ พวกที่ใช้ชีวิตอยู่แต่กับกระแสความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยย่อมโหยหาความเป็นธรรมชาติ เธอพยายามบอกตัวเองว่าเธอเป็นหนึ่งในคนโชคดีที่ใครก็อิจฉา แล้วสลัดภาพที่ผ่านตาตลอดระยะ 82 กิโลเมตรทิ้งไว้ข้างหลัง
เธอมองท้องฟ้าที่ปลอดเมฆฝนแล้ว เหลือเวลาทำอาหารไม่มาก เธอเตรียมการในใจ จัดแบ่งงานให้พรรคพวกใครต้องทำอะไรบ้าง แล้วก็ถอนหายใจด้วยความกังวลเกรงจัดสำรับล่าช้า กว่าแขกจะได้กินคงมืดค่ำ หากไม่หาที่หลบฝนห่าใหญ่คงกลับถึงหมู่บ้านแล้ว
☔🌊รถกระบะขับออกจากเส้นทางหลักเข้าสู่ถนนเส้นเล็ก พื้นผิวดินปนทรายขรุขระ รถชะลอความเร็ว และเมื่อหมดระยะก็เข้าสู่เส้นทางแคบช่องหุบเขา แล้วอยู่ๆ รถก็เบรกกะทันหัน คนขับตกตะลึง เมื่อมองเห็นทางผ่านกระจกหน้า เธอมองตามแล้วก็ตกใจ รีบเปิดประตูลงจากรถออกไป เมื่อยืนมองจนเต็มตาเธอกอดชุดที่สวมใส่แล้วเผลอกรีดร้อง เส้นทางเบื้องหน้ากลายเป็นทะเลโคลน คณะรถออฟโรดพากันตะเกียกตะกายขึ้นจากหลุมลึก💦
ลงมือถ่ายทอดเรื่องสั้น (แต่แอบยาวนิดนึง) มีทั้งหมด 16 หน้า ทำไปเรื่อยๆ เพลินจนถึงตี 1 จบไป 6 หน้า เหลืออีก 10 ยังไม่ง่วงแต่ต้องนอน แล้วมาทำต่อตอนเช้า เสร็จสดๆร้อนๆ เลยค่ะ
💞ขอขอบคุณเพื่อนทุกคนที่เข้ามาติดตามนะคะ 👍ทั้งที่กดไลค์ 👍กดแชร์ และ comment 👍แลกเปลี่ยความคิดเห็นกันค่ะ💞
💕by : ...ธรรมะ..ดา💕
โฆษณา