25 พ.ค. 2023 เวลา 07:12 • ประวัติศาสตร์

“Robber Baron” กลุ่มคนที่ทรงอิทธิพลแห่งประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกา

ในช่วงกลางศตวรรษที่ 19-ต้นศตวรรษที่ 20 เป็นช่วงเวลาที่สหรัฐอเมริกากำลังเฟื่องฟู
เศรษฐกิจกำลังเติบโต เทคโนโลยีและอุตสาหกรรมก็ก้าวหน้า โดยส่วนหนึ่งของความรุ่งเรืองนั้นก็มาจากกลุ่มนักธุรกิจและผู้ประกอบการกลุ่มหนึ่งในสหรัฐอเมริกา
คนกลุ่มนี้มีอิทธิพลมากจนถูกตั้งฉายาว่า “Robber Barons”
Robber Barons คือกลุ่มคนที่ทรงอิทธิพลและสร้างผลประโยชน์ในยุคนี้ได้มากที่สุด และถึงแม้ว่าพวกเขาจะทำให้สหรัฐอเมริกาเฟื่องฟู แต่หลายคนก็มองว่าพวกเขาเป็นกลุ่มคนที่เลือดเย็น เอาเปรียบผู้อื่น ร่ำรวยจากการฉกชิงผลประโยชน์ และผูกขาดการค้าจนทำให้ผู้ประกอบการรายเล็กอยู่ไม่ได้
Robber Barons ที่หลายคนตั้งฉายาให้นั้นจะมีใครบ้าง ลองไปดูกันครับ
อันที่จริง กลุ่ม Robber Barons ก็มีหลายคน หากแต่ที่ทรงอิทธิพลที่สุดก็น่าจะเป็นห้าบุคคลนี้ เรียกได้ว่าเป็นบุคคลชั้นนำในกลุ่ม Robber Barons
1.แอนดริว คาร์เนกี (Andrew Carnegie)
แอนดริว คาร์เนกี (Andrew Carnegie)
หลายคนอาจมองว่าคาร์เนกีนั้นเป็นหนึ่งในนักธุรกิจที่เลือดเย็น แต่หลายคนก็มองว่าเขาเป็นแรงบันดาลใจในการต่อสู้ชีวิต
คาร์เนกีนั้นมาจากสก็อตแลนด์ เกิดในปีค.ศ.1835 (พ.ศ.2378) และย้ายตามครอบครัวมายังสหรัฐอเมริกาในปีค.ศ.1848 (พ.ศ.2391) ซึ่งคาร์เนกีก็ต่างจาก Robber Barons หลายๆ คน นั่นคือเขาไม่ได้มาจากครอบครัวที่ร่ำรวย
1
เขาเป็นลูกผู้อพยพชาวสก็อตที่ยากจน และต้องเริ่มงานแรกในวัยเพียง 12 ขวบที่โรงงานผ้าฝ้าย ทำงานวันละ 10-12 ชั่วโมง ค่าแรงก็น้อยนิด
จากนั้น คาร์เนกีก็ได้ย้ายไปทำงานที่สำนักงานโทรเลขของบริษัททางรถไฟ ก่อนจะค่อยๆ ไต่บันไดสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้น
1
หลังจากทำงานมาได้นับสิบปี คาร์เนกีก็ได้ขึ้นเป็นผู้อำนวยการบริษัททางรถไฟ และนำเงินที่ได้ไปลงทุนในธุรกิจน้ำมัน ทางรถไฟ และอุตสาหกรรมเหล็ก และก็เพราะธุรกิจเหล็กนี่เองที่สร้างความมั่งคั่งร่ำรวยให้คาร์เนกี
ในเวลาต่อมา คาร์เนกีก็ได้ก่อตั้งบริษัท “Carnegie Steel Company” และบริษัทของคาร์เนกีก็เรียกได้ว่า ทำธุรกิจตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ
คาร์เนกีเป็นเจ้าของแทบทุกอย่างในอุตสาหกรรมเหล็ก รวมทั้งเหมืองที่ผลิตเหล็ก ทางรถไฟที่ใช้ในการขนส่ง รวมทั้งตัวโรงงานด้วย
เมื่อเป็นเช่นนี้ บริษัทของคาร์เนกีจึงเกือบจะผูกขาดอุตสาหกรรมเหล็กเลยทีเดียว และทำให้คาร์เนกีกลายเป็นหนึ่งในมหาเศรษฐีโลก ซึ่งในเวลาต่อมา คาร์เนกีก็ได้ขายบริษัทของตนให้แก่ “เจ. พี. มอร์แกน (J.P. Morgan)” ซึ่งเป็นหนึ่งใน Robber Barons ได้เงินมามหาศาล
2.จอห์น ดี. ร็อกกีเฟลเลอร์ (John D. Rockefeller)
Robber Barons คนที่สองก็คือ “จอห์น ดี. ร็อกกีเฟลเลอร์” และน่าจะเป็น Robber Barons ที่โด่งดังที่สุดอีกด้วย
ร็อกกีเฟลเลอร์นั้นเป็นเจ้าแห่งธุรกิจน้ำมัน โดยภายหลังจากสงครามกลางเมือง ร็อกกีเฟลเลอร์ก็เล็งเห็นว่าอุตสาหกรรมน้ำมันคืออนาคตของสหรัฐอเมริกา จึงได้ก่อตั้งบริษัท “Standard Oil Company”
เช่นเดียวกับคาร์เนกี ร็อกกีเฟลเลอร์ก็ไม่ได้มาจากครอบครัวร่ำรวย เขาเกิดมาในครอบครัวชนชั้นกลางค่อนไปทางล่าง โดยงานแรกของเขา ก็เป็นเพียงเสมียนธรรมดา หากแต่ด้วยความเฉียบแหลมทางการเงิน ทำให้เขาสามารถเก็บเงินจนมีเงินก้อน และมากพอที่จะซื้อบริษัทน้ำมันแห่งแรกเป็นของตน
3
จากนั้น ร็อกกีเฟลเลอร์ก็ใช้กำไรจากการลงทุน นำไปซื้อบริษัทน้ำมันอื่นๆ เรื่อยๆ รวมทั้งท่อส่งน้ำมันหลายแห่ง จนเขาสามารถครอบครองการผลิตน้ำมันทั่วสหรัฐอเมริกากว่า 90%
1
ด้วยเหตุนี้ เท่ากับว่าร็อกกีเฟลเลอร์แทบจะผูกขาดอุตสาหกรรมน้ำมัน ทำให้ราคาน้ำมันมีราคาสูง และร็อกกีเฟลเลอร์ยังมีอำนาจต่อรองไม่จำกัด
ธุรกิจน้ำมันนี้ทำให้ร็อกกีเฟลเลอร์กลายเป็นเศรษฐีพันล้านคนแรกของสหรัฐอเมริกา และเป็นหนึ่งในชายที่ร่ำรวยที่สุดในประวัติศาสตร์โลก โดยหากคิดตามค่าเงินปัจจุบัน ทรัพย์สินของร็อกกีเฟลเลอร์จะเท่ากับ 400,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 14 ล้านล้านบาท) ซึ่งรวยกว่าทุกคนบนโลกในปัจจุบัน
1
3.คอร์เนเลียส แวนเดอร์บิลต์ (Cornelius Vanderbilt)
แวนเดอร์บิลต์นับเป็นผู้อาวุโสที่สุดในกลุ่ม Robber Barons โดยเขาเกิดในปีค.ศ.1794 (พ.ศ.2337) และเริ่มต้นทำธุรกิจแรก คือกลุ่มเรือเฟอร์รีรับส่งผู้โดยสารระหว่างเกาะสแตเทนและแมนฮัตตัน ก่อนที่จะสร้างความมั่งคั่งจากอุตสาหกรรมรางรถไฟ โดยเขาได้เป็นหนึ่งในผู้ประกอบการอุตสาหกรรมรางรถไฟแห่งแรกๆ ในสหรัฐอเมริกา
นอกจากธุรกิจรางรถไฟแล้ว แวนเดอร์บิลต์ยังขยายกิจการเรือเฟอร์รี ขนส่งทั้งสินค้าและผู้โดยสารทั่วประเทศ รวมทั้งยังขยายเข้าไปยังอเมริกาใต้และอเมริกากลางอีกด้วย
และด้วยความที่แวนเดอร์บิลต์แทบจะผูกขาดกิจการรถไฟและเรือเฟอร์รี ทำให้หลายคนจัดให้เขาอยู่ในกลุ่ม Robber Barons เช่นกัน
1
4.จอห์น เพียร์พอนต์ มอร์แกน (John Pierpoint Morgan)
จอห์น เพียร์พอนต์ มอร์แกน (John Pierpoint Morgan)
“จอห์น เพียร์พอนต์ มอร์แกน (John Pierpoint Morgan)” หรือที่รู้จักในนามของ “เจ. พี. มอร์แกน (J.P. Morgan)” เป็นผู้ก่อตั้งบริษัทการเงินซึ่งมีชื่อเดียวกับชื่อตนในปีค.ศ.1871 (พ.ศ.2414)
มอร์แกนนั้นมาจากครอบครัวที่ร่ำรวย และตัวเขาก็ได้ครอบครองธุรกิจการเงิน และร่ำรวยมากซะจนสามารถยึดครองธนาคารได้เป็นจำนวนมากในช่วงต้นศตวรรษที่ 20
แต่แล้วในปีค.ศ.1907 (พ.ศ.2450) รัฐบาลอเมริกันก็ได้ตระหนักถึงอำนาจของมอร์แกน และเพื่อป้องกันไม่ให้มอร์แกนควบรวมธุรกิจการเงินได้มากกว่านี้ จึงมีการออกบัญญัติที่นำไปสู่การจัดตั้งธนาคารกลางของสหรัฐ
มอร์แกนยังซื้อกิจการบริษัทเหล็กของคาร์เนกี และยังช่วยสนับสนุนเงินทุนแก่บริษัทชั้นนำอีกหลายแห่ง
และด้วยความสำเร็จอย่างล้นเหลือในธุรกิจการเงินนี้เอง มอร์แกนจึงถูกมองว่าเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของทุนนิยม และเป็นต้นแบบของนักการเงินและนายธนาคารจากทั่วโลก
5.เฮนรี ฟอร์ด (Henry Ford)
เฮนรี ฟอร์ด (Henry Ford)
คนสุดท้ายในกลุ่มห้าผู้ยิ่งใหญ่ของ Robber Barons ได้แก่ “เฮนรี ฟอร์ด (Henry Ford)”
ฟอร์ดนั้นไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดังจากอำนาจที่มี หากแต่โด่งดังจากการเป็นผู้ประกอบการธุรกิจรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์รายแรกๆ ในสหรัฐอเมริกา และยังนำออกขายต่อประชาชน โดยฟอร์ดเป็นผู้ก่อตั้งบริษัท “Ford Motor Company”
ในบรรดา Robber Barons อาจจะเรียกได้ว่าฟอร์ดนั้นไม่เข้าเค้า Robber Barons เท่าไรนัก เนื่องจากฟอร์ดนั้นดูแลพนักงานอย่างดี และค่อนข้างจะมีน้ำใจ ไม่ได้โลภมากเท่าไรนัก
1
ถ้าให้ยกตัวอย่าง ในยุคนั้น พนักงานส่วนใหญ่ทำงานวันละ 10 ชั่วโมง สัปดาห์ละหกวัน ค่าแรงก็น้อยนิด แต่ฟอร์ดกลับริเริ่มให้ทำงานห้าวันต่อสัปดาห์ สัปดาห์ละ 40 ชั่วโมง และจ่ายค่าแรงให้พนักงานเป็นสองเท่าของผู้ประกอบการรายอื่น
3
ด้วยความที่ยุติธรรมต่อพนักงานและยังบริจาคเงินช่วยการกุศล ทำให้ภาพลักษณ์ของฟอร์ดค่อนข้างจะดีเมื่อเทียบกับ Robber Barons คนอื่นๆ แต่ที่หลายคนจัดให้เขาอยู่ในกลุ่ม Robber Barons ก็เนื่องจากเขานั้นควบคุมอุตสาหกรรมยานยนต์ในสหรัฐอเมริกา ทรงอิทธิพลในธุรกิจยานยนต์
และนี่ก็คือเรื่องราวของห้าผู้ทรงอิทธิพลแห่งกลุ่ม Robber Barons กลุ่มคนที่ทรงอิทธิพลในประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกา
1
โฆษณา