26 พ.ค. 2023 เวลา 09:18 • กีฬา

จอห์น สโตนส์ : กองหลังที่ถูกเป๊ปปรับไปเล่นมิดฟิลด์ตัวรับ ภายใต้แผนการเล่นสุดแหวก

2022/23 เป็นฤดูกาลที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ มีลุ้นประสบความสำเร็จมากที่สุดอีกครั้งหนึ่ง ภายใต้การคุมทัพของเป๊ป กวาร์ดิโอลา หลังพาทีมมีลุ้นได้เทรเบิลแชมป์
มีหลากเหตุปัจจัยที่ส่งให้ทีมฉายา “เรือใบสีฟ้า” แล่นฉิวท่ามกลางกระแสคลื่นซึ่งเปรียบดังคู่แข่งน้อยใหญ่ในทุก ๆ รายการที่เผชิญหน้า อย่างเรื่องแทคติกที่ยืดหยุ่นและแยบยลของผู้จัดการทีมชาวสแปนิช ที่มีส่วนทำให้ จอห์น สโตนส์ กลายร่างจากผู้เล่นตำแหน่งกองหลังมาเป็นกองกลางตัวรับ และทำได้ดีจนได้รับเสียงชื่นชมจากทั่วสารทิศ
ดาวเตะดีกรีทีมชาติอังกฤษลงเล่นในตำแหน่งกองกลางได้อย่างไร และเครื่องการันตีใดบ้างที่บ่งบอกถึงความสุดยอด มาเจาะเรื่องราวนี้ไปพร้อม ๆ กันได้ที่ Main Stand
ผลผลิตบาร์นส์ลีย์ที่ไปโตกับเอฟเวอร์ตัน
นับแต่ที่อยู่ฝึกปรือกับอคาเดมีของบาร์นส์ลีย์ ทีมในท้องถิ่นที่ จอห์น สโตนส์ เกิดและเติบโตขึ้นมา กระทั่งได้สัญญาอาชีพตั้งแต่อายุ 17 ปี ต่อเนื่องด้วยการเป็นส่วนหนึ่งของขุมกำลังทีมชุดใหญ่ในช่วงเวลาต่อจากนั้น และดูเหมือนว่าการลงเล่นให้ทีมฉายา “เจ้าตูบ” จะเล็กเกินไปสำหรับสโตนส์เสียแล้ว
กระทั่งช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านก็มาถึง เมื่อฟอร์มการเล่นของเจ้าหนูวัยไม่ถึง 20 กะรัตรายนี้ ที่เริ่มต้นเส้นทางฟุตบอลในตำแหน่งแบ็กขวา ไปสะดุดตา โทนี่ เฮนรี่ หัวหน้าแมวมองของเอฟเวอร์ตัน พร้อมกับเชื่อว่าสโตนส์สามารถขยับไปเล่นเป็นเซ็นเตอร์แบ็กได้ในอนาคต
นำมาซึ่งการประชุมหารือกันยกใหญ่ถึงการนำดาวเตะรายนี้มาปั้นต่อในสีเสื้อทอฟฟี่สีน้ำเงิน โดยมีกุนซือ ณ เวลานั้นที่ชื่อ เดวิด มอยส์ โดยที่เอฟเวอร์ตันต้องแข่งช่วงชิงตัว จอห์น สโตนส์ กับ วีแกน แอธเลติก ที่ตอนนั้นมี โรแบร์โต้ มาร์ติเนซ กุมบังเหียน
ท้ายสุดทีมดังจากเมืองลิเวอร์พูลก็ได้ลายเซ็นแนวรับอนาคตไกลคนนี้มาด้วยค่าตัวถึง 3 ล้านปอนด์ พร้อมสัญญา 5 ปีครึ่ง ในช่วงโค้งสุดท้ายของตลาดซื้อขายนักเตะมกราคม 2013
ถึงกระนั้น ทั้ง โทนี่ เฮนรี่ และ เดวิด มอยส์ ต่างก็ไม่ได้เห็นเจ้าหนูจอห์นเฉิดฉายที่กูดิสัน พาร์ก ด้วยตาตัวเอง เนื่องด้วยหลังจบฤดูกาล 2012/13 มอยส์ย้ายไปคุม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แทนที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ขณะที่ เฮนรี่ ถูกทดแทนตำแหน่งแมวมองโดยทีมงานชุดใหม่ของกุนซือป้ายแดงอย่าง โรแบร์โต้ มาร์ติเนซ
อนึ่ง เนื่องจากมาร์ติเนซเคยอยากได้ จอห์น สโตนส์ มาร่วมทีมตั้งแต่สมัยอยู่ที่วีแกน เป็นเหตุให้การรับงานกุนซือทอฟฟี่สีน้ำเงินคราวนี้นับเป็นช่วงเวลาของคู่สร้างคู่สมอย่างแท้จริง
ตลอดช่วงเวลา 3 ฤดูกาลที่ทั้งสองได้ร่วมงานกัน คือระหว่างฤดูกาล 2013/14 ถึง 2015/16 (มาร์ติเนซโดนปลดจากตำแหน่งในตอนท้ายซีซั่น ขณะที่สโตนส์ย้ายไปอยู่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้) เกมรับผลผลิตทีมบาร์นส์ลีย์ค่อย ๆ ยกระดับการเล่นของตัวเองจนกลายมาเป็นกองหลังตัวกลางที่ไว้ใจได้คนหนึ่งของทีมที่ไม่ได้น้อยหน้าไปกว่า ฟิล จากิลก้า รวมถึง ซิลแวงต์ ดิสแตงค์ สองแกนหลักที่อยู่กับทีมมาก่อน หรือจะถอยไปเล่นตำแหน่งแบ็กขวาในบางโอกาส สลับกับ เซมุส โคลแมน ก็ทำได้แบบไร้รอยต่อ
“โรแบร์โต้เข้ามาและเชื่อมั่นในตัวผมมาก ๆ จากที่ได้ลงเล่นในช่วงพรีซีซั่น ผมก็ได้เดินหน้าต่อจากจุดนั้นเลย เขาเชื่อมั่นในตัวผมและสละเวลางานเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อคอยให้คำแนะนำเวลาที่ผมทำอะไรผิดพลาด มันเป็นช่วงเวลาที่ดีสำหรับตัวผมเลย” สโตนส์ เผย
1
ด้วยสไตล์การเล่นที่นิ่งเกินวัย เน้นเข้าสกัดแบบเด็ดขาด ทั้งยังเซ็ตเกมจากแดนหลังพร้อมกับจ่ายบอลได้แม่นยำ ยังไม่นับเรื่องการอ่านเกม ส่งให้สโตนส์ได้รับยกย่องว่าเป็นหนึ่งในผู้เล่นกองหลังที่มีสไตล์การเล่นสอดรับกับยุคฟุตบอลสมัยใหม่มากที่สุดคนหนึ่งของยุโรป
“จริงอยู่ที่เขาดูเด็กและรูปร่างผอมบาง แต่คุณสามารถเห็นมันสมองในการเล่นฟุตบอลของเขา สามารถเห็นวิธีการเล่นของเขา และสามารถเห็นคุณภาพของเขายามที่เขาครองบอลไว้กับตัว” ลีออน ออสมัน ตำนานเอฟเวอร์ตัน ย้อนความถึงอดีตรุ่นน้องในทีม
“เซ็นเตอร์แบ็กเป็นตำแหน่งที่ยากสำหรับนักเตะอายุน้อย ผมคิดว่ามันยากกว่าตำแหน่งผู้รักษาประตูด้วยซ้ำ เพราะคุณต้องได้รับความไว้วางใจจริง ๆ จากผู้จัดการทีม คุณอาจจะถูกคู่แข่งขู่ใส่และโดนโจมตีได้ง่ายกว่า แต่เรื่องพวกนี้ไม่มีอะไรที่ทำให้จอห์นต้องตกตะลึง และเขาก็อ่านเกมได้ดีสุด ๆ”
แม้จะยังไม่มีโทรฟี่ติดมือภายใต้สีเสื้อเอฟเวอร์ตัน ทว่า จอห์น สโตนส์ ก็ได้รับโอกาสสำคัญ ๆ ในเส้นทางของตัวเองตลอดช่วงเวลา 3 ฤดูกาล โดยเฉพาะการติดทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่ในปี 2014 ในอายุเพียงแค่ 22 ปีเศษ แต่ลงสนามให้เอฟเวอร์ตันชุดใหญ่ไปแล้วถึง 95 นัด จนได้รับความสนใจจากทีมใหญ่ ๆ ร่วมลีก อาทิ เชลซี และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้
1
ก่อนจะเป็นทีมเรือใบสีฟ้าที่คว้าตัวแนวรับอนาคตไกลรายนี้ไปร่วมสร้างความสำเร็จระยะยาว และคนที่ตั้งใจจะเซ็นสัญญาก็คือ “เป๊ป กวาร์ดิโอลา”
อาจารย์เป๊ปกับกลยุทธ์ที่หลากหลาย
แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในยุคเป๊ปเอาจริงเอาจังในการล่าตัว จอห์น สโตนส์ ซึ่งในเวลานั้นได้ยกระดับตัวเองเป็นกองหลังแถวหน้าของพรีเมียร์ลีกไปแล้ว ถึงขั้นที่ยอมทุ่มเงินกว่า 47.5 ล้านปอนด์ รวมแอดออนอีกราว ๆ 2.5 ล้านปอนด์ ในการล่าเซ็นเตอร์ฮาล์ฟรายนี้มาเสริมทัพด้วยสัญญา 6 ปี
และทั้งหมดนี้ก็ส่งให้สโตนส์กลายเป็นผู้เล่นกองหลังค่าตัวแพงสุดเป็นอันดับสองของโลกในเวลานั้นรองจาก ดาวิด ลุยซ์
“จอห์นเป็นผู้เล่นวัยรุ่นที่มีความสามารถด้านเทคนิคดีเยี่ยม เขาเป็นกองหลังที่แกร่ง สามารถส่งบอลเซ็ตเกม คุมพื้นที่ดี และเล่นได้อย่างดุดัน เรารู้สึกว่าเราจะช่วยให้เขาได้แสดงคุณภาพที่เขามีออกมาเมื่ออยู่กับเรา และเขาจะสามารถพัฒนาสิ่งที่เขาได้ให้ดียิ่งขึ้น” เป๊ป ให้สัมภาษณ์ถึงสโตนส์ ก่อนเริ่มฤดูกาล 2016/17
“ผมชอบวิธีการเล่นของเขาในเกม ผมรอคอยที่จะได้ต้อนรับเขาเข้าสู่ทีมนักเตะ”
ก่อนอื่นต้องเล่าย้อนมายังชื่อเสียงการคุมทีมของเป๊ปแบบพอสังเขป ใครที่ติดตามฟุตบอลคงรับรู้ถึงความเด็ดขาดและแยบยลในการทำทีมของกุนซือรายนี้เป็นอย่างดี
ศาสตร์นี้ได้รับการซึมซับและเรียนรู้อยู่เรื่อยมาตั้งแต่สมัยที่เขาเป็นนักเตะเยาวชนของ ลา มาเซีย หรือศูนย์ฝึกฟุตบอลอันเลื่องชื่อของบาร์เซโลน่ากระทั่งเมื่อมีโอกาสได้ทำหน้าที่เป็นกุนซือ ว่ากันว่าเคล็ดลับความสำเร็จในแบบฉบับเป๊ปนี้มีให้เห็นตั้งแต่ในสนามซ้อม
“เป๊ปจะเข้ามาคอยแทรกตลอดเวลาเพื่อแก้ไขในสิ่งที่นักเตะผิดพลาด เขาจะเข้ามาอธิบายให้คุณเห็นภาพว่าเขาต้องการอะไรจากคุณ” เคราร์ด ปิเก้ เคยให้สัมภาษณ์ในสมัยที่ได้ร่วมงานกับ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ที่บาร์เซโลน่า
“สิ่งที่ผมทำทั้งหมดในการซ้อมคือการดูคู่ต่อสู้ของเรา หลังจากนั้นผมจะพยายามวิเคราะห์และหาทางว่าเราจะเอาชนะพวกเขาได้อย่างไร” เป๊ป เน้นย้ำ
ไม่ว่าเฮดโค้ชสแปนิชผู้นี้คุมสโมสรใด เขาก็มักจะมีแทคติกวิธีการเล่นที่แปลกตา มีแนวทางการทำทีมที่ยืดหยุ่นและหลากหลายจนทำให้ใครหลายคนคาดไม่ถึง ทว่าเขากลับได้รับคำชื่นชมมากมายและเป็นแบบอย่างให้คนวงการลูกหนังทั่วโลก เพราะสิ่งที่เป๊ปทำมันแปรเปลี่ยนไปสู่ความสำเร็จผ่านโทรฟี่แชมป์กับทุก ๆ สโมสรที่เขาเคยคุม
ตอนที่อยู่เป็นนายใหญ่ที่บาร์เซโลน่า โลกลูกหนังก็มีโอกาสได้เห็น เป๊ป กวาร์ดิโอลา วางหมากขุดแผนการเล่นแบบ false nines (กองหน้าตัวหลอก) มาใช้โดยมี ลิโอเนล เมสซี่ เป็นหัวใจ นำฟูลแบ็กมาเล่นเป็นปีก พร้อมส่วนผสมหลากหลายที่นำมาใช้ร่วมกัน รวมทั้งการจู่โจมที่เน้นทางปีกและตัดบอลเข้าไปในกรอบเขตโทษ ดังที่ได้เห็น ดาเนี่ยล อัลเวส เติมเกมบุกสนุกเท้า
ไปจนถึงแนวทางที่ชื่อ “ติกิ-ตาก้า (tiki-taka)” ที่เน้นการครองบอลหาโอกาสโจมตี ประกอบกับเทคนิคการส่งบอลสั้นที่มีชั้นเชิง ชิงบอลกลับมาให้ไวที่สุด และคอยกดดันคู่แข่งไม่ให้มีพื้นที่เล่นมากนัก เป็นต้น
1
หรือในสมัยที่คุม บาเยิร์น มิวนิค ที่เป๊ปยึดแนวทางการครองบอลไปพร้อม ๆ กับการใช้ความสามารถด้านกายภาพตามแบบฉบับฟุตบอลเยอรมัน พร้อมทั้งปรับศูนย์กลางทีมไปยังเกมริมเส้น ผ่านสองซูเปอร์สตาร์อย่าง ฟรองก์ ริเบรี่ และ อาร์เยน ร็อบเบน เช่นเดียวกับการใช้ความสารพัดประโยชน์ของ ฟิลิปป์ ลาห์ม จากฟูลแบ็กมาเล่นในตำแหน่งกองกลางตัวรับที่เขาเล่นเคยมาก่อนสมัยเป็นดาวรุ่ง
เช่นเดียวกับช่วงเวลาปัจจุบันที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กุนซือวัยเลข 5 ก็ยังคงยึดแนวทางของตัวเองเรื่อยมา และคนหนึ่งที่ถูก เป๊ป กวาร์ดิโอลา เคี่ยวเข็ญ ให้คำแนะนำ และปรับบทบาทการเล่น นั่นก็คือนักเตะตำแหน่งกองหลังตัวกลาง ผู้ซึ่งได้รับการยกย่องว่าน่าจับตามากที่สุดคนหนึ่งในศตวรรษที่ 21 ทั้งยังเล่นตำแหน่งแบ็กขวาได้ นาม “จอห์น สโตนส์”
กองหลังค่าตัวแพงท่ามกลางกระแสลาทีม
2016/17 เป็นฤดูกาลที่ เป๊ป กวาร์ดิโอลา และ จอห์น สโตนส์ ได้ร่วมงานกันเป็นหนแรก และหากมองมาที่ฟอร์มส่วนตัวของสโตนส์ที่อยู่ในระดับที่ “ไว้ใจได้” โดยเด็กสร้างจากบาร์นส์ลีย์จับคู่เป็นตัวหลักในแผงรับของทีมเรือใบสีฟ้ากับ นิโคลัส โอตาเมนดี้ ลงสนามให้ทีมรวมทุกรายการไปถึง 41 นัด และทำได้ 2 ประตู
น่าเสียดายที่เขาไม่อาจช่วยทีมคว้าแชมป์ใด ๆ มาได้ แต่นั่นก็เป็นแค่ปีเดียวของสโมสรในยุคเป๊ป (จนถึงตอนนี้) ที่จบฤดูกาลด้วยการคว้าน้ำเหลว
อย่างไรก็ดี หากจะบอกว่านั่นเป็นปีที่ล้มเหลวของ แมนฯ ซิตี้ ก็คงพูดได้ไม่เต็มปาก เพราะกวาร์ดิโอลาได้หยิบใช้งานนักเตะเพื่อให้เข้ากับแผนการในอนาคต
แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ เมื่อ 6 ฤดูกาลต่อจากนั้น (รวม 2022/23) เป๊ปได้นักเตะในคาถาของตัวเอง ภายใต้แผนการเล่นที่ถนัดมือ พร้อมกับพาทีมเป็นแชมป์ในทุกฤดูกาลมากถึง 12 รายการ (ข้อมูลวันที่ 25 พฤษภาคม)
จอห์น สโตนส์ ก็เป็นอีกคนที่ถูกเสริมเติมแต่งในการสู้ศึกทุก ๆ ซีซั่น ทว่าเขากลับต้องเผชิญสถานการณ์ที่ไม่ได้ราบรื่นไปทั้งหมด กลายเป็นว่ากราฟชีวิตที่ แมนฯ ซิตี้ ของเขามีทั้งขึ้นและลง
อย่างฤดูกาล 2018/19 ที่นับเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดช่วงหนึ่งของสโตนส์ เขามีส่วนช่วยสโมสรคว้า 4 แชมป์ และได้ลงเล่นไปถึง 39 นัด ทว่าในฤดูกาลต่อมา (2019/20) โอกาสของสโตนส์กลับมีอย่างจำกัด จนเป็นเหตุให้ลงเล่นรวมทุกรายการไปแค่ 24 นัดเท่านั้น
อาการบาดเจ็บ ฟอร์มที่ไม่สม่ำเสมอ ความมั่นใจที่ลดน้อยถอยลง กอปรปัญหาส่วนตัวนอกสนาม ล้วนเป็นเหตุการณ์ที่เขาเผชิญอยู่บ่อย ๆ ทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับอนาคตจากความเคลื่อนไหวเรื่องสัญญาฉบับใหม่ที่ถูกแช่แข็ง
และนั่นก็ทำให้ฤดูกาล 2020/21 แมนฯ ซิตี้ จัดหนักเสริมสองกองหลังระดับท็อปอย่าง รูเบน ดิอาส รวมถึง นาธาน อาเก้ มาเติมเกมรับทีม จนกลายเป็นว่าสโตนส์ตกเป็นผู้เล่นสำรองไปในทางทฤษฎี อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติมันกลับไม่เป็นเช่นนั้น นับเป็นบททดสอบชั้นดีที่ทำให้สโตนส์กลับมาแจ้งเกิดใหม่อีกครั้งในถิ่นเอติฮัด สเตเดียม
1
ในวันที่ รูเบน ดิอาส ย้ายมาด้วยค่าตัวกว่า 61 ล้านปอนด์ และการันตีตัวหลักทีมแน่ ๆ ด้าน นาธาน อาเก้ ยังปรับตัวกับแผนงานของทีมได้ไม่ดีนัก ขณะที่ อายเมริก ลาปอร์กต์ ก็ไม่ได้อยู่ในช่วงฟอร์มที่ดีที่สุด
1
กลายเป็นว่าคนที่ได้โอกาสในลำดับถัดมาก็คือ จอห์น สโตนส์ จากนั้นเขาก็จุติร่างเทพร่วมกับพาร์ตเนอร์จากโปรตุเกสทันที เขาเริ่มได้รับโอกาสกับทีมและกลับมาติดทีมชาติอังกฤษอีกครั้ง สโตนส์กลับมาช่วยทีมเติมเต็มแผงเกมรับสู่เส้นทางแชมป์หลาย ๆ รายการในประเทศ และที่สำคัญ เขาได้รับการต่อสัญญาฉบับใหม่ออกไปจนถึงปี 2026
“ผมคงมีความสุขมากไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว ผมชอบที่จะเป็นส่วนหนึ่งของทีมนี้ มีผู้เล่นที่มีคุณภาพมากมายที่นี่ และผมรู้ว่าเราสามารถเดินหน้าคว้าแชมป์กันต่อได้ นั่นคือโฟกัสหลักของผม ความสำเร็จที่เรามีในช่วง 4 ปีที่ผ่านมานั้นมันช่างน่าเหลือเชื่อ รวมถึงการได้เป็นส่วนหนึ่งของความฝันที่เป็นจริง ผมแค่อยากจะชนะต่อไปเรื่อย ๆ” สโตนส์ เปิดใจ
สิ่งสำคัญที่ทำให้ จอห์น สโตนส์ ยกระดับตัวเองเป็นกองหลังเบอร์ต้น ๆ ของทีม และได้รับการยอมรับในวงกว้างก็เพราะความสารพัดประโยชน์ที่เล่นได้ทั้งเซ็นเตอร์ตัวกลางรวมถึงแบ็กขวา ไปจนถึงการปรับตัวเข้ากับสไตล์คุมทัพของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ได้ดี
โดยเฉพาะในฤดูกาล 2022/23 กับการแปลงร่างตัวเองเป็นผู้เล่นตำแหน่งกองกลางตัวรับ
เกิดใหม่เป็นกองกลางสไตล์เบอร์ 6
อันที่จริง เป๊ป กวาร์ดิโอลา ไม่ได้เพิ่งจับ จอห์น สโตนส์ ลงเล่นในตำแหน่งใหม่ในฤดูกาล 2022/23 เรื่องนี้เกิดขึ้นมาตั้งแต่ฤดูกาล 2018/19
ถึงแม้บทบาทในตอนนั้นของสโตนส์จะเป็นการลงเล่นแบบเฉพาะกิจมากกว่า คือลงสนามเป็นตัวสำรองเสียส่วนใหญ่ ที่เป็นการทดลองระหว่างเกมการแข่งขัน ทว่านั่นกลับเป็นใบเบิกทางที่ดีที่ทำให้เป๊ปรู้ว่าลูกทีมรายนี้มีดีมากกว่าเป็นแค่ผู้เล่นตำแหน่งเกมรับ แน่นอนว่าการที่สโตนส์เล่นได้หลายตำแหน่งส่งผลดีกับตัวนักเตะเองมากที่สุด
กาลเวลาเดินทางมาถึงฤดูกาล 2022/23 จริงอยู่ที่ขวบปีนี้ แมนฯ ซิตี้ มีนักเตะเก่ง ๆ ช่วยยกระดับทีมจนมีลุ้นถึงสามแชมป์ โดยเฉพาะในตำแหน่งเกมรุกที่มีจอมถล่มประตูคนใหม่ของสโมสรอย่าง เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ เป็นตัวชูโรง แต่กระนั้นเราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการขับเคลื่อนในตำแหน่งอื่น ๆ ก็มีส่วนเติมเต็มให้ทีมสีฟ้าแห่งเมืองแมนเชสเตอร์แกร่งขึ้นตามไปด้วย
1
กับขนาดขุมกำลังของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ โดยเฉพาะตำแหน่งปราการหลังตัวกลางที่ทีมมีผู้เล่นตำแหน่งนี้โดยธรรมชาติถึง 5 คน หากจะดร็อปใครที่ฝีเท้าดีไปนั่งสำรองมันก็กระไรอยู่
1
เมื่อเป๊ปรู้ดีมาตลอดว่า จอห์น สโตนส์ เป็นได้มากกว่าการยืนตำแหน่งกองหลังตัวกลางและแบ็กขวา ทั้งยังอยู่ในช่วงฟอร์มการเล่นที่สม่ำเสมอมาตลอดของซีซั่น เป็นเหตุให้การจับสโตนส์มายืนในตำแหน่งกองกลางตัวรับสไตล์หมายเลข 6 ร่วมกับ โรดรี้ เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ภายใต้ระบบ 3-4-2-1 และที่สำคัญ เขาทำได้ดีชนิดน่าประทับใจ
7 เกมที่ จอห์น สโตนส์ ลงเล่นในตำแหน่งกองกลางตัวรับ แปรเปลี่ยนเป็นชัยชนะของ แมนฯ ซิตี้ ถึง 6 เกม
กองหลังวัย 28 ปี จะคอยช่วงเล่นบิวต์อัพจากหลังขึ้นมาหน้า คอยขยับลงไปช่วยเพื่อนต่อบอลจากแดนหลัง และครอบครองเกมกลางสนาม ช่วยสอดซ้อนโรดรี้ บ้างก็หาโอกาสทำเกมรุกโดยเฉพาะเรื่องการออกบอลยาว ฯลฯ จนกลายเป็นว่า แมนฯ ซิตี้ กลายเป็นทีมที่เล่นได้แบบสมดุลมากที่สุดทีมหนึ่ง
90 นาทีในเกมถล่ม ลิเวอร์พูล 4-1 จอห์น สโตนส์ จารึกสถิติจ่ายบอลแม่นยำถึง 95 เปอร์เซ็นต์
56 นาทีในเกมยิงสลุด เซาท์แธมป์ตัน ด้วยสกอร์เดียวกันในเกมกับหงส์แดง สโตนส์ทำสถิติจ่ายบอลสำเร็จ 29 จากทั้งหมด 32 ครั้ง หรือคิดเป็นอัตราแม่นยำในการจ่ายบอลถึง 90.6 เปอร์เซ็นต์
และยังไม่นับการยืนตำแหน่งดังกล่าวในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ทั้งในรอบ 8 ทีมสุดท้ายกับ บาเยิร์น มิวนิค ทั้งสองเกม (ชนะสกอร์รวม 4-1) ซึ่งเขาทำแอสซิสต์ให้ เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ ได้ในเกมเปิดบ้านถลุง 3-0
1
รวมถึงเกมถล่ม เรอัล มาดริด 4-0 ในรอบรองชนะเลิศ นัดสอง สโตนส์ก็ลงเล่นในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวตัดเกมเต็มเวลา
“กับตำแหน่งดังกล่าว มันเป็นการเรียนรู้ที่ยิ่งใหญ่ของผมเลย ผมต้องไม่เห็นแก่ตัวและสร้างพื้นที่ให้กับคนอื่น จริง ๆ มันไม่ใช่ตำแหน่งตามธรรมชาติของผม แต่ผมก็ได้เรียนรู้มาตลอดว่าต้องทำเพื่อทีมเป็นอย่างแรก” สโตนส์ เปิดใจถึงการยืนเป็นกองกลางตัวรับ
“มันเกี่ยวกับเรื่องการครองบอล การแสดงตัวตน และพยายามอ่านสถานการณ์ นี่เป็นสิ่งที่ผู้จัดการทีมต้องการจากผม เราพยายามทำสิ่งนั้นตลอดเวลาในการฝึกซ้อม ดังนั้นเมื่อถึงวันแข่งขันเราจะรู้หน้าที่ของเรา ผมคิดว่าเราทำงานร่วมกันมา 7 ปีแล้ว ผมรู้ว่าบอสคาดหวังอะไรจากตัวผม บอสจะไม่ส่งผมลงเล่นเลยถ้าเขาคิดว่าผมไม่ถนัดหรือรับบทบาทนั้น ๆ ได้”
“อยู่ที่ว่าเราจัดการในจุดนี้ได้ไหม เชื่อในความสามารถของตัวเอง และพยายามทำทุกอย่างที่ผมสามารถทำได้เพื่อทีม”
“ผมพยายามไม่คิดอะไรมากเกินไป การเป็นนักเตะที่ต้องมีวิสัยทัศน์แบบ 360 องศาไม่เคยเกิดขึ้นกับผมมาก่อน ถ้าผมรู้ว่าผมทำได้ผมก็จะทำและพยายามทำออกมาให้เรียบง่าย มันเกี่ยวข้องกับการเปิดพื้นที่ให้เพื่อนร่วมทีม”
ตราบใดที่ จอห์น สโตนส์ ยังเป็นแข้งในคาถาของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ยิ่งถ้าไม่เจ็บไม่โดนแบน ยืนยันได้เลยว่าเขาจะยังคงเป็นแกนสำคัญสารพัดประโยชน์ที่พร้อมช่วยให้สโมสรประสบความสำเร็จได้อย่างต่อเนื่อง
เช่นเดียวกับการยกระดับตัวเองฝีเท้าของตัวเองให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ
บทความโดย พชรพล เกตุจินากูล
แหล่งอ้างอิง
โฆษณา