Power BI เป็นแพลตฟอร์ม Business Intelligence & Analytics ที่มีความสามารถในการแสดงผลแผนที่แบบอินเตอร์แอคทีฟมากมายเพื่อช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าใจข้อมูลภูมิศาสตร์ของตนได้ง่ายขึ้น การแสดงผลแผนที่ใน Power BI ช่วยลดข้อมูลที่ให้กับผู้ชมและเน้นข้อมูลสำคัญตามการวิเคราะห์ และมีแผนที่แบบอินเตอร์แอคทีฟมากมายเพื่อช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถแสดงข้อมูลภูมิศาสตร์ได้อย่างชัดเจน
“อย่างไรก็ตามในฐานะคนที่ได้รับโจทย์ในการทำแผนที่ที่หลากหลาย ก็ต้องยอมรับว่า MS Power BI อาจยังมีข้อจำกัดในหลาย ๆ อย่างที่ยังไม่ตอบโจทย์การทำงานแผนที่ได้ทั้งหมด”
ซึ่งในบทความนี้เราจะพาทุกท่านไปรู้จักเคล็ดลับในการทำงานแผนที่ พร้อมกับเรียนรู้มาตรฐานทางภูมิศาสตร์ต่าง ๆ ที่จะช่วยให้ทุกท่านสามารถเลือกใช้งานแผนที่บน MS Power BI ได้เหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นอย่างแน่นอนครับ
ทำความรู้จักแผนภาพภูมิทัศน์ (Visuals) ในรูปแบบแผนที่บน MS Power BI
การทำแผนที่บน MS Power BI (Version: 2.115.1006.0 (มีนาคม 2566)) จะมี Visuals ที่สามารถใช้งานได้ดังนี้
ภาพที่ 5 ตัวอย่างการ Point Map และ Choropleth Map โดยใช้ ArcGIS Maps for Power BI
ภาพที่ 6 การปรับแต่งสถานที่เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการทำ geo-coding ใน ArcGIS Maps for Power BI
ภาพที่ 7 เปรียบเทียบการสร้าง Choropleth Map โดยใช้ข้อมูลของเทพเอ็กเซลที่ระดับจังหวัด อำเภอ และตำบลใน ArcGIS Maps for Power BI
นอกจากนี้ ArcGIS Maps for Power BI ยังรองรับการดึงข้อมูลจาก ArcGIS Online มาแสดงผลบน MS Power BI อีกด้วย (ในที่นี้จะเรียกว่า Reference Layer) ดังแสดงในภาพที่ 8
ภาพที่ 8 ตัวอย่างการใช้ข้อมูลแผนที่บน ArcGIS Online มาแสดงผลบน MS Power BI ผ่าน Reference Layer ใน ArcGIS Maps for Power BI
ยิ่งไปกว่านั้น ArcGIS Maps for Power BI ยังมีความสามารถอื่น ๆ อีก เช่น การวิเคราะห์ Clustering Buffer Drive time เป็นต้น ซึ่งสามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ Link แต่อย่างไรก็ตามการใช้งาน ArcGIS Maps for Power BI ก็จะมีค่าบริการในการใช้งานอยู่นะครับ ซึ่งหากผู้อ่านมีการใช้งาน ArcGIS Online หรือ ArcGIS Enterprise อยู่แล้วก็อย่าลืมมาลองใช้งานดูนะครับ
อีกมาตรฐานหนึ่งซึ่งสามารถเอามาใช้กับ MS Power BI ได้ก็คือ WMS (Web Map Service) เป็นเทคโนโลยีที่ใช้สำหรับการแสดงผลข้อมูลแผนที่บนเว็บไซต์ โดย WMS จะใช้โปรโตคอล HTTP เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงและแสดงผลข้อมูลแผนที่จากเซิร์ฟเวอร์ โดย WMS จะเป็นเว็บเซอร์วิสที่ทำหน้าที่ส่งข้อมูลแผนที่กลับมายังผู้ใช้ เมื่อผู้ใช้เรียกข้อมูลแผนที่จาก WMS
โดยปกติแล้ว WMS จะใช้ไฟล์รูปแบบ XML ในการส่งข้อมูลกลับมา ซึ่งจะประกอบไปด้วยข้อมูลเชิงพื้นที่ที่ระบุด้วยพิกัดและขนาดของแผนที่ พร้อมกับรายละเอียดต่างๆ เช่นชื่อเลเยอร์แผนที่ ค่าสี เป็นต้น (ดังภาพที่ 14) ซึ่งผมเคยได้เขียนเกี่ยวกับ WMS เอาไว้ในบทความ บทบาทของ Map Service ในโลกของ Big Data
อย่างไรก็ตามการเรียกใช้งาน WMS จะมีข้อจำกัดจุดด้วยอย่างหนึ่งก็คือ เราไม่สามารถ Interactive ระหว่างข้อมูลบนแผนที่กับ Object ต่าง ๆ บน MS Power BI ได้ ก็เป็นจุดหนึ่งที่จะต้องพิจารณาก่อนจะนำไปใช้งานนะครับ
ภาพที่ 14 ตัวอย่างการดึงข้อมูล WMS มาแสดงผลยัง MS Power BI
ภาพที่ 15 การใช้งาน Vector Tile Layer บน MS Power BI
เปรียบเทียบความสามารถ Visual แผนที่บน MS Power BI
จะเห็นได้ว่าเรา MS Power BI มีความสามารถสร้างแผนที่ผ่าน Visual ที่หลากหลายและมีข้อดี ข้อเสีย และข้อจำกัด ที่แตกต่างกัน ดังนั้นจึงมาขอสรุปเพื่อเป็นแนวทางในการเลือกใช้ได้ง่ายยิ่งขึ้นดังตารางที่ 1
ตารางที่ 1 สรุปความสามารถ Visual แผนที่บน MS Power BI
ในฐานะคนที่ทำงานเกี่ยวกับแผนที่มา ก็จะเห็นได้ว่า MS Power BI ยังมีข้อจำกัดในการทำงานแผนที่อยู่อีกมากมายที่เห็นได้ชัดได้แก่
●
MS Power BI ยังไม่สามารถรองรับการทำแผนที่ที่มีรายละเอียดของข้อมูลสูง หรือต้องการนำเข้าข้อมูลภูมิสารสนเทศที่มีขนาดใหญ่มาก ๆ
●
MS Power BI ยังไม่สามารถรองรับการทำแผนที่เฉดสีในระดับ อำเภอ และตำบลได้อย่างสมบูรณ์
●
ยังมีปัญหาอื่น ๆ เช่น การใส่สีของแผนที่ หรือการทำ Label ก็ไม่สามารถทำได้สะดวกนักใน MS Powser BI