6 มิ.ย. 2023 เวลา 14:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ

'อยากรวย' ต้องเข้าใจ 'อคติเชิงพฤติกรรม' กับดักใหญ่ให้คนไทยไม่มีเงินออม

ภาวะ “แก่ก่อนรวย ป่วยก่อนตาย” เป็นปัญหาใหญ่ที่หลายประเทศเสี่ยงต้องเผชิญ โดยเฉพาะประเทศที่ก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยโดยสมบูรณ์ ขณะที่ผู้คนส่วนใหญ่มีช่วงชีวิต (life span) ยาวนานขึ้น แต่ช่วงสุขภาพ (health span) ไม่ยาวนานตาม ส่งผลให้จำนวนผู้สูงอายุที่อยู่ในภาวะพึ่งพิงเพิ่มขึ้น ขณะที่ขาดความมั่นคงทางการเงิน (wealth span) คือ มีกำลังทรัพย์ไม่เพียงพอในการดำรงชีวิตอย่างมีคุณภาพ
สาเหตุหลักของภาวะ "แก่ก่อนรวย" ที่มีแนวโน้มจะเกิดกับคนไทยเพิ่มมากขึ้นนั้น ส่วนสำคัญ คือ “ขาดเงินออม” ที่ทำให้ไม่สามารถสร้าง "ความมั่นคงทางการเงิน" ได้สำเร็จ
1
รากของปัญหาดังกล่าว ส่วนสำคัญ คือ เป็นเพราะขาดความรู้ความเข้าใจเรื่องการบริหารและวางแผนทางการเงิน ที่ไม่เพียงกระทบต่อความไม่สมดุลระหว่าง "รายได้" และ "รายจ่าย" ในชีวิตประจำวันเท่านั้น แต่ที่หนักกว่านั้นคือการเป็น "ระเบิดเวลา" รอแผลงฤทธิ์ในบั้นปลายวัยเกษียณ ที่งานไม่มี เงินเก็บก็ไม่เหลือ จนต้อง "พึ่งพิง" ลูกหลาน ที่ส่วนมากรับบทหนัก ลูกหลานก็ต้องดู พ่อแม่ก็ต้องเลี้ยง จนส่งผลกระทบต่อกันเป็นลูกโซ่
จากบทความ เหตุผลที่คนไทย “แก่ก่อนรวย” มองจากมุม “อคติเชิงพฤติกรรม” โดย วราวิชญ์ โปตระนันทน์ นักวิจัยนโยบายด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึง TDRI ระบุถึงเหตุผลที่สามารถหยิบยกมาอธิบายได้คือ "อคติเชิงพฤติกรรม" หรือการคิดการตัดสินใจที่ไม่สมเหตุสมผลตามหลักเศรษฐศาสตร์ ซึ่งส่งผลให้เกิดการกระทำที่ไม่เหมาะสมกับสถานการณ์จริง
โดยอคติเชิงพฤติกรรมที่ถูกพูดถึงอย่างมากในวงวิชาการที่ทำให้การออมเพื่อการเกษียณไม่เพียงพอ ได้แก่
1. อคติชอบปัจจุบัน (present bias) หมายถึง การที่คนทั่วไปมักให้ความสำคัญกับความสุขและผลตอบแทนที่ได้รับในปัจจุบันมากกว่าในอนาคต
ยกตัวอย่างง่ายๆ คือ เมื่อพูดถึงการออม เรามักผัดวันประกันพรุ่ง แต่นำเงินไปใช้ตอบสนองความต้องการในปัจจุบัน ที่เป็นแบบนั้นก็เพราะเราอาจมีปัญหาในการควบคุมตนเอง (self-control problem) แม้จะรู้ทั้งรู้ถึงความจำเป็นในการออมเพื่อมีเงินใช้ตอนเกษียณก็ตาม
2. อคติยึดติดสภาวะเดิม (status quo bias) คือ คนเรามักพึงพอใจกับสภาวะปัจจุบันมากกว่าจะเปลี่ยนไปลองทำสิ่งใหม่ที่จะแม้จะให้ผลประโยชน์มากกว่า เช่น เลือกที่จะออมในรูปแบบที่คุ้นเคย อย่างการฝากเงินในธนาคาร มากกว่าที่จะลองออมในหุ้นหรือพันธบัตรที่มีคุณภาพดี ความเสี่ยงไม่สูง แต่ให้ผลตอบแทนกว่าเงินฝากธนาคารมาก เป็นต้น
3. อคติโลกแคบ (narrow framing) คือ การมองทางเลือกที่ต้องพิจารณาในชีวิตเป็นกลุ่มย่อยๆ แยกออกจากกัน หรือเพียงเฉพาะในช่วงระยะเวลาสั้นๆ
เมื่อเราพิจารณาทุกทางเลือกที่มีในช่วงเวลาเดียวกัน อาจทำให้เราตัดสินใจเลือกทางเลือกที่ด้อยกว่าโดยไม่รู้ตัว
เช่น มองว่าการออมในปัจจุบันเป็นไปเพื่อบริหารรายรับ-รายจ่ายระยะสั้น หรือเก็บเงินซื้อของราคาแพง แต่กลับมองการออมเพื่อการเกษียณว่า เป็นเรื่องของอนาคตที่ยังไม่ต้องรีบคิดพร้อมกันตอนนี้
4. อคติกลัวสูญเสียเกินเหตุ (loss aversion) คือ ความสูญเสียจากสถานะปัจจุบันมีผลกระทบต่อจิตใจทางลบมากกว่าที่จะมีความสุขจากการได้รับผลตอบแทนที่มีขนาดเท่ากัน เช่น การมองว่าการออมเป็นการสูญเสียรายได้ที่จะนำมาบริโภค จึงเลือกที่จะออมน้อยกว่าที่ควรจะเป็น
5. อคติละเลยอัตราทบต้น (exponential growth bias) คือ การไม่เข้าใจพลังของดอกเบี้ยทบต้น ซึ่งแปลงเงินออมให้มีมูลค่ามากขึ้นทวีคูณได้ หากมีการออมอย่างต่อเนื่องยาวนานและไม่ถอนเงินต้นออก
เช่น การที่บุคคลไม่รีบออมเพื่อการเกษียณตั้งแต่อายุยังน้อย เพราะประเมินผลตอบแทนจากการออมต่ำเกินไปโดยมองว่าผลตอบแทนเป็นเส้นตรงไม่ใช่ทวีคูณ ทำให้ไม่เข้าใจว่าออมเร็วขึ้นและต่อเนื่องเพียงไม่กี่ปีก็ทำให้มีเงินให้ถอนใช้ยามเกษียณเพิ่มขึ้นมาก
ทั้งนี้ ดอกเบี้ยทบต้น อาจแสดงตัวในรูปอื่นไม่ใช่เงินฝากธนาคารเท่านั้น เช่นการออมในหุ้น ในอสังหาริมทรัพย์เป็นต้น และอาจใช้อธิบายกรณีที่เป็นหนี้ยาวนานจนดอกเบี้ยทบต้นเข้าไปในเงินต้นกลายเป็นดินพอกหางหมู
โฆษณา