31 พ.ค. 2023 เวลา 05:00 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี

DarkWeb เงามืดที่ซ่อนความลับในโลกออนไลน์

สัปดาห์ที่แล้วจากโพสต์ของ 9Near ที่ทาง Avery IT Tech ได้มีการกล่าวถึงในเรื่องของ DarkWed ในสัปดาห์นี้เราจะมาดูกันว่า DarkWeb คืออะไรกันแน่ แล้วมันมีอิทธิพลกับพวกเรายังไง ต้องเรียนแจ้งท่านผู้อ่านแบบนี้นะครับ ว่าหลายครั้งที่เราได้เห็นข่าวการขโมยข้อมูลและนำไปขายในดาร์กเว็บ แล้วมันคือเว็บอะไรทำไมลอง Search ใน Google ก็ไม่เห็นเจอ นั่นแหละครับนิยามของคำว่า “สายดาร์ก” ที่เราไม่สามารถค้นหาไม่เจอง่าย ๆ
ก่อนอื่นผมขอแยกการเข้าถึงเว็บไซต์หรือเว็บไซต์ที่ให้บริการ ณ ปัจจุบัน แบ่งออกเป็น 3 ประเภท นั่นก็คือ
- Surface Web
- Deep Web
- Dark Web
มาเริ่มกันที่เว็บที่ไม่ว่าเราจะพิมพ์ผิด หรือพิมพ์อะไรก็สามารถค้นหาได้ใน Search Engine เราเรียกเว็บไซต์เหล่านั้นว่า Surface Web หรือเว็บสาธารณะที่ไม่ว่าใครก็ตามสามารถเข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ เพียงแค่นี้มันก็เยอะจนคนที่ใช้งานเองก็มองว่านี่คือโลกอินเทอร์เน็ตปกติแล้ว แต่จริง ๆ มันเป็นเพียงแค่ ประมาณ 10-15% ของเว็บไซต์ทั้งหมดเท่านั้น เพราะมันก็มีที่ไม่สามารถค้นหาได้หรือไม่ได้จนชื่อ DNS (Domain name System) ต้องเข้าเป็น IP Address ตรง ๆ บ้าง เป็นต้น นี้คือนิยามของ Surface Web
ต่อมา Deep Web โดยปกติแล้วมันคือ เว็บไซต์ที่ไม่สามารถ search เจอได้เป็นการจำกัดการเข้าถึงด้วยเงื่อนไข ที่ต้องผ่านการยืนยันตัวตนก่อนถึงจะสามารถเข้าถึงได้ ไปจนถึงการซ่อนไม่ให้เจอหรือเข้าถึงถ้าไม่ผ่านบางบริการมาก่อน กล่าวสรุปโดยง่าย ๆ ก็คือ Deep Web เป็นหน้าเว็บเพจที่ไม่ถูกเก็บข้อมูลใน Search engine, ไม่สามารถเข้าถึงได้โดยสาธารณะ, เป็นเว็บไซต์ที่มีขั้นตอนการเข้าถึง ยืนยันตัวตน หรือ ต้องกรอกข้อมูลบางอย่างก่อน
เช่น ขั้นตอนการชำระเงิน, ทำธุรกรรม, และแสดงหน้าจอยืนยัน, หน้าสมัครบริการต่าง ๆ หรือเว็บไซต์เกี่ยวกับแวดวงการศึกษาแชร์ข้อมูลงานวิจัย เป็นต้น
Darkweb หรือ Darkness คือเว็บที่ 3 : ไม่สามารถเข้าถึงได้ผ่านการใช้งานอินเทอร์เน็ตแบบธรรมดา เพราะผู้ใช้จำเป็นต้องใช้เว็บเบราว์เซอร์ หรือ โปรแกรมเปิดเว็บเฉพาะทางนั่นก็คือ The Onion Router TOR หรือ The Onion Router เป็นเบราว์เซอร์ที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารแบบไม่ระบุตัวตน หรือการซ่อนตัวตนนั้นเอง โดยการสื่อสารผ่าน TOR นั้นข้อมูลจะไม่ถูกส่งไปยังปลายทางโดยตรง แต่จะถูกส่งเข้ารหัสแล้วส่งไปยัง ที่มีกระจายอยู่มากกว่า 6-700,000 จุด บนอินเทอร์เน็ต
ดังนั้นการเชื่อมต่อผ่านไปหลายจุดทำให้ข้อมูลต้นทางหายไปไม่สามารถตรวจสอบได้ มองง่าย ๆ ได้ว่า TOR เบราว์เซอร์ สามารถช่วยปกปิดตำแหน่งของผู้ใช้งาน และซ่อนเร้น ปกป้อง ซ่อนตัวตน เพื่อให้ยากต่อการค้นหาตำแหน่งของผู้ใช้งาน เราจึงเห็นได้ชัดว่าวัตถุประสงค์และกลุ่มผู้ใช้นั้นจะเป็น อาชญากรทางไซเบอร์ หรือ เว็บไซต์ที่เก็บ รวบรวม สิ่งผิดกฎหมายส่วนใหญ่ ไว้นั้นเอง
ดังนั้น Darkweb จึงถูกนำไปใช้ในทางผิดกฎหมายเช่น ค้าขายยาเสพติด, อาวุธสงคราม, หนังผู้ใหญ่ที่ใช้นักแสดงเป็นเด็กยังไม่บรรลุนิติภาวะ หรือ การประกาศขายข้อมูล เช่น เลขบัตรเครดิต, หนังสือเดินทางปลอม, ข้อมูลส่วนบุคคลของคนดัง หรือ แม้กระทั่งช่อง Youtube, Instagram, Twitter ก็สามารถขายได้เช่นกัน เป็นต้น
สรุปได้ว่าการที่ข้อมูลเราหลุดออกไปกว่า 50 ล้านกว่าข้อมูลนั้น ในกรณีของ 9Near มันเป็นเรื่องที่สำคัญเป็นอย่างมาก เพราะเราไม่สามารถรับรู้เลยว่าข้อมูลของเรานั้นจะถูกเอาไปขายใน DarkWeb หรือเปล่า เพราะไม่เพียงแค่การเข้าถึงที่มันยาก แต่การตรวจสอบก็ยากเช่นกัน Avery IT Tech อยากให้ทุกคนคอยระมัดระวังข้อมูลของตัวเองไว้ให้ดี ควรตรวจสอบเว็บไซต์ให้ดีก่อนที่จะกรอกข้อมูลส่วนตัวเข้าไปเพื่อความปลอดภัยของทุกคนนะครับ หวังว่าเนื้อหาที่ Avery IT Tech ได้นำเสนอมาในวันนี้จะเป็นประโยชน์ให้กับท่านผู้อ่านทุกคนนะครับ
สามารถติดตามข่าวสารหรือสาระความรู้แวดวง IT ได้ที่ Avery it tech “เพราะเรื่อง IT อยู่รอบ ๆ ตัวคุณ”
โฆษณา