31 พ.ค. 2023 เวลา 12:47 • กีฬา

เฟเดริโก ดิมาร์โก : กว่าจะเป็น "จิ๊กซอว์ฝั่งซ้าย" ให้อินเตอร์ มิลาน | Main Stand

อินเตอร์ มิลาน ชุดนี้ ถือได้ว่าสร้างปาฏิหาริย์ในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ได้อย่างโหดสุด ๆ แทบจะเทียบเท่าชุดที่คว้าแชมป์รายการนี้เมื่อฤดูกาล 2009-10 เลยทีเดียว
โดยกำลังหลักของทีม แน่นอนว่าต้องนึกถึงคู่หูแดนหน้าต่างวัยอย่าง เอดิน เชโก ชราอันตราย และ เลาทาโร มาร์ติเนซ เพชฌฆาตมะขามข้อเดียว ที่ร่วมด้วยช่วยกันกระหน่ำประตู ในแดนกลางที่มี เฮนริค มคิตาร์ยาน และ ฮาคาน ชัลฮาโนกลู คอยทำเกมซัพพอร์ต ส่วนแดนหลังมี ฟรานเชสโก อาแซร์บี้ ยืนคุมพื้นที่อย่างแข็งแกร่ง พร้อมสวีปเปอร์คีปเปอร์อย่าง อังเดร โอนานา
แต่นักเตะที่ถือได้ว่า “ปิดทองหลังพระ” ให้กับทีมจริง ๆ คงหนีไม่พ้น แบ็กซ้ายสายพลังงาน วิ่งไม่มีหมด ขึ้นสุดลงมิด แถมมีการครอสที่แม่นยำ ที่มีชื่อว่า “เฟเดริโก ดิมาร์โก (Federico Dimarco)” เส้นทางชีวิตของเขาไม่มีของง่าย กว่าจะขึ้นมายืนเด่นได้ใน 11 ตัวจริงของพลพรรคงูใหญ่ได้ เขาต้องฝ่าฟันกับการเป็นคนที่ไม่ถูกเลือกมาหลายครั้ง กลับมาถูกเลือก แล้วก็โดนตัดหางปล่อยวัดต่อ เรียกว่าถ้าใจไม่แข็งจริงอาจจะท้อแท้ไปไม่น้อย
ร่วมติดตามชายที่มีรักไม่เสื่อมคลายแบบ “สายมาโซคิสม์ [สาย M]” กับ อินเตอร์ มิลาน ไปพร้อมกับเรา
กรีดเลือดออกมาเป็นสี น้ำเงิน-ดำ
ตำแหน่งแบ็กซ้ายในทีม อินเตอร์ มิลาน แม้จะมีคนที่ฝีเท้าดีมาลงสนามแต่ก็หาใช่แบ็กซ้าย “จริง ๆ” อย่างในชุดแชมป์ยูซีแอล 2010 ที่มี คริสเตียน คิวู ที่รับจ็อบทั้งแบ็กและเซ็นเตอร์ หรือในช่วงที่ตกต่ำก็มี ยูโตะ นากาโตโมะ ที่เป็นริมเส้นจับฉ่ายเข้ามารับช่วงต่อ หรือในช่วงก่อนหน้านี่ไม่นานก็มี แอสลีย์ ยัง และ อิวาน เปริซิซ เปลี่ยนตำแหน่งมาช่วยประคอง
แต่แท้จริงนั้น พลพรรคเนรัซซูรีได้มองข้ามลูกหม้อคนสำคัญของทีมอย่าง ดิมาร์โก ที่ตรงตำแหน่งนี้ที่สุด มากกว่ากลุ่มบุคคลข้างต้นไป จนทีมเกือบจะเสียเขาไปแบบไม่กลับ ยังดีที่สโมสรหันกลับมามองได้ทัน
โดยเจ้าของฉายา “วิสกี้” คนนี้ เกิดและเติบโตที่เมืองมิลาน เรียกได้ว่าเป็นชาวมิลานทั้งครอบครัว ญาติโกโหติกาของเขาเป็นชาวมิลานทั้งหมด เขาเกิดมาในครอบครัวที่มีฐานะปานกลาง ครอบครัวประกอบอาชีพค้าขายสินค้าเกษตร ประเภทผักและผลไม้โดยเปิดร้านเล็ก ๆ ในเมืองมิลาน ซึ่งจะมีพนักงานต้อนรับเป็นหนูน้อยวิสกี้ และยามสุดสัปดาห์ ร้านก็จะปิดเพื่อยกโขยงกันไปรับชม เอซี มิลาน ถึงซาน ซีโร่ หรือก็คือ ครอบครัวของเขาเป็นแฟนบอลรอซโซเนรี่กันทั้งหมด
แต่แน่นอนว่าในเมืองมิลานนั้นมีอยู่สองสี นั่นคือ แดง-ดำ ของเอซี มิลาน กับน้ำเงิน-ดำ ของอินเตอร์ มิลาน ให้เลือกลงหลักปักใจเป็นทีมรัก ซึ่งตัวเขาตั้งแต่จำความได้ก็ถือเป็นพวกนอกคอก เพราะได้อ้อนพ่อแม่ให้ซื้ออาภรณ์น้ำเงิน-ดำ มาตลอด ไม่เว้นแม้แต่น้องชายของเขาด้วย เรียกได้ว่า วิสกี้คือแฟนบอลอินเตอร์ มิลาน แบบเต็มขั้นเลยทีเดียว
“ผมพาหลานชาย (เฟเดริโก ดิมาร์โก) ของผมไปดู เอซี มิลาน ที่ ซาน ซีโร่ ตั้งแต่ 3 ขวบ เมื่อเกมเริ่มต้น พ่อแม่ของเขาก็ตื่นเต้นสุด ๆ แต่หลายชายตัวดีของผมทำหน้าง่วง ๆ จะหลับเฉยเลย และหลังจากนั้นผมก็ไม่พาไปด้วยแล้วให้ไปคนเดียวเลย” จูเซปเป้ ดิมาร์โก ลุงของเขาบ่นอุบถึงความไม่อินในมนต์ขลังของ ซาน ซีโร่ ของวิสกี้ แต่กลับไปหลงมนต์ขลัง “จูเซปเป้ เมอัซซ่า” แทน [ที่ตลกร้ายก็คือเป็นสนามเดียวกัน]
ที่จริงเขาเกือบจะไม่ได้เดินตามฝันบนถนนสายฟุตบอล เพราะพ่อ แม่ และญาติ ๆ ต้องการให้วิสกี้มารับช่วงต่อเป็นคนขายผักผลไม้ดูแลกิจการยามเติบใหญ่ แต่ด้วยแพสชั่นในตนเองที่โตขึ้นอยากจะเป็นนักฟุตบอล และต้องเป็นนักฟุตบอลของ อินเตอร์ มิลาน เท่านั้นด้วยของเขา ทำให้พ่อแม่ยอมใจหันมาสนับสนุนลูกชายคนนี้แทน (รวมถึงน้องชายของเขาด้วย)
“ลูกชายผมน่ะหรอ เขารู้ดีว่าให้มายืนขายผักผลไม้ยากกว่าการไปเตะบอลเยอะ แต่ผมก็สอนทักษะที่ผมทำมานี้ไป ให้เขามีทั้งสองอย่างไปเลย” จิอานนี่ ดิมาร์โก พ่อของวิสกี้กล่าวถึงลูกชายคนนี้ที่รักฟุตบอลยิ่งกว่าสิ่งใด พร้อมกล่าวต่อไปว่า
1
“พวกลูกชายผมเนี่ยเจ้าเล่ห์ ตอนประถมออกจากบ้านไปแต่เช้า ไปแอบซ้อมฟุตบอลกันเองก่อนเข้าเรียน คงเป็นวิถีและโชคชะตาของลูก ๆ ผมล่ะมั้งที่ชีวิตมีแต่การฝึกซ้อมฟุตบอล”
เขาฝึกอยู่กับอคาเดมีท้องถิ่นได้ไม่นาน ในวัย 7 ขวบ อินเตอร์ มิลาน ก็มาทาบทามให้ไปอยู่ด้วย แน่นอนว่ามีหรือที่วิสกี้จะปฏิเสธ นั่นอาจจะเป็นโมเมนต์ที่เขาดีใจที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้ และทันทีที่เข้ามายังอคาเดมีวิสกี้ก็ถือได้ว่า Outstanding จากเพื่อนร่วมรุ่นมาก ๆ
ซ้ายธรรมชาติว่าหายากแล้ว แต่เขายอมลงเล่นในตำแหน่งที่มีความโดดเด่นน้อยลง จากกองหน้าริมเส้นลงมายืนวิงแบ็กหรือแบ็กซ้าย ซึ่งถือว่าเสียสละอย่างมาก (ส่วนมากในวัยประมาณนี้ก็จะแย่งกันเล่นแดนหน้าหมด) กระนั้นแม้บทบาทหน้าที่หลักคือเกมรับและการครอส แต่เขากลับไม่เคยทิ้งลาย เมื่อหน้าที่หลักไม่ได้ขาด ทีนี้หน้าที่รองอย่างการเติมขึ้นมายิงประตูก็กลับทำได้ดีอย่างเหลือเชื่อ แถมยิงเยอะกว่าคนที่เล่นในแดนหน้าเสียอีก
1
พัฒนาการของเขาก้าวกระโดดอย่างต่อเนื่อง เขาถูกดันขึ้นไปเล่นในชุด U-19 ตั้งแต่อายุยังไม่ครบ 16 ปี แถมยังทำผลงานในระดับทีมชาติได้อย่างยอดเยี่ยม โดยเฉพาะ 2013 UEFA European Under-17 Championship ที่เขามีส่วนสำคัญถูลู่ถูกังให้ อิตาลี จบด้วยตำแหน่งรองชนะเลิศไปอย่างเหลือเชื่อ ถึงขนาดที่หนังสือพิมพ์ขึ้นพาดหัวอวยยศเลยด้วยซ้ำ
แน่นอนว่าผลงานขนาดนี้ ในฤดูกาล 2014-15 บนวัย 17 ปี เขาจึงถูกเรียกขึ้นไปซ้อมกับทีมชุดใหญ่ และประเดิมสนามในเกม ยูฟ่า ยูโรป้าลีก รอบแบ่งกลุ่ม ที่พบกับ คาราบัค โดยมีเวลาในสนามราว 5 นาที ก่อนที่จะมีโอกาสประเดิม เซเรีย อา ในเกมที่แพ้ ซาสซูโอโล่ คาบ้านไป 1-3
แต่ใครเลยจะรู้ว่าการเริ่มต้นนี้จะนำไปสู่จุดจบ “คำรบแรก” ของเขากับ อินเตอร์ มิลาน อย่างไม่น่าเชื่อ
แม้ไม่ใช่คนโปรดอย่างคนอื่นเขา
แน่นอนว่าเป็นธรรมดาของแข้งเยาวชนที่เมื่อกระดูกยังไม่แข็งพอก็จะโดนปล่อยยืมไป อัสโครี ในครึ่งฤดูกาล 2015-16 และ เอ็มโปลี แบบเต็มฤดูกาล 2016-17 ซึ่งก็ถือว่าทำผลงานได้ดีระดับหนึ่ง แต่ไม่ถึงกับ Outstanding แบบพวก Wonder Kids ก่อนที่จะกลับมาสู่ทีมอีกครั้งภายใต้เจ้านายใหม่อย่าง ลูเซียโน่ สปัลเล็ตติ
ณ ตอนนั้น พลพรรคงูใหญ่ถือได้ว่ากำลังขาดแคลนนักเตะในตำแหน่งแบ็กซ้ายอย่างมาก เพราะนากาโตโมะก็เสื่อมไปตามวัย ในรายชื่อผู้เล่นทั้งหมดก็มีแต่กองหลังถนัดขวา นั่นจึงเป็นโอกาสที่ดีหากคิดในแง่มุมของวิสกี้ที่เขาเป็นซ้ายธรรมชาติในตำแหน่งนี้อาจจะได้ชิมลาง ลงประเดิมสนามให้กับทีมไม่มากก็น้อย
กระนั้นสปัลเล็ตติมีความแตกต่างจากโค้ชคนอื่น ๆ ของอินเตอร์ มิลาน เพราะเขาไม่ได้เล่นระบบหลัง 3 แต่เล่นระบบหลัง 4 ที่ใช้ตำแหน่งแบ็กออกแนวฟูลแบ็กที่ยืนแบบระมัดระวังและเติมเกมเท่าที่จำเป็น มากกว่าระบบหลัง 3 ที่จะเป็นวิงแบ็กคอยเติมขึ้นลงและทำทุกอย่างในด้านข้าง
ดังนั้น ดานิโล่ ดัมโบรซิโอ จึงถูกโยกจากแบ็กขวามายืนประจำการทางด้านซ้ายแทน เพราะเป็นฟูลแบ็กธรรมชาติที่รู้เหลี่ยมการเล่นแบบนี้ดี อีกอย่างคือเรื่องประสบการณ์ที่มากกว่าวิสกี้หลายขุม หรือหากเกิดอะไรผิดพลาดก็มี ดาวิเด้ ซานตอน นักเตะจับฉ่ายคอยรอจังหวะสับเปลี่ยนอยู่ข้าง ๆ
เช่นนี้จึงหมายความว่า ไม่มีที่ทางให้วิสกี้ในถิ่นจูเซปเป้ เมอัซซ่า อีกต่อไป แน่นอน ซิยง (FC Sion) ยอดทีมจากสวิตเซอร์แลนด์ ติดต่อเข้ามาขอซื้อขาดไปในราคา 3.91 ล้านยูโร วิสกี้จึงตกลงเงื่อนไขส่วนตัวและย้ายไปแบบไม่คิดอะไรมาก แม้จะเป็นการจากบ้านที่อยู่มานานกว่า 10 ปี แต่เพื่อความเจริญทางอาชีพแล้ว นับว่าเป็นความจำเป็นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
และที่ดินแดนนาฬิกานี้ วิสกี้ถือว่าทำผลงานได้ดีพอสมควร แต่ก็อยู่ในระดับเดียวกับที่โดนปล่อยยืมไปก่อนหน้านั้น แต่ไม่รู้ว่าบอร์ดบริหารของอินเตอร์ มิลาน นึกครึ้มอะไรขึ้นมากลับนึกเสียดายลูกหม้อคนนี้เสียอย่างนั้น แต่ยังดีที่มีออปชั่น Buy-back ที่ราคา 7 ล้านยูโร ทำให้เขาได้กลับมาบ้านที่แสนคิดถึงอีกครั้งแบบงง ๆ
1
แต่ทีนี้คนจะซวยไม่มีใครช่วยได้จริง ๆ เพราะยังไม่ทันจะได้โอกาสลงสนามเขาก็ดันมาบาดเจ็บต้องผ่าตัดกระดูกข้อต่อ ทำให้ต้องพักแบบยาว ๆ แถมในช่วงเวลานั้นทีมยังมี ควัดโว อซาโมอาห์ แบ็กซ้ายระดับตำนานของยูเวนตุส เข้ามาประคับประคองทีมได้แบบไม่เคอะเขิน แม้จะเลยช่วงพีกไปแล้วก็ตาม
แน่นอนว่าเมื่อประเมินอย่างถี่ถ้วน อินเตอร์ มิลาน จึงได้ตัดสินใจปล่อยวิสกี้ไปให้กับ ปาร์มา ด้วยสัญญายืมตัวพร้อมออปชั่นซื้อขาด ด้วยเห็นว่าผ่าตัดมาหนักอาจจะทำให้เขาไม่เหมือนเดิมจึงต้องส่งไปเรียกฟอร์มกับทีมที่ให้โอกาสเขาได้ลงสนาม
แต่ก็เป็นตลกร้าย เพราะประตูแรกของเขาหลังจากผ่าตัดคือการซัดใส่ อินเตอร์ มิลาน แถมเป็นประตูชัยให้ ปาร์มา บุกมาชนะ อินเตอร์ มิลาน คาบ้านอีกด้วย ก่อนที่เขาจะเรียกความมั่นใจได้ระดับหนึ่งกลับมาเป็นคนที่คุ้นเคยคือแบ็กจอมบุก เพิ่มเติมคือได้วิชาปั่นฟรีคิกมาด้วย
แต่การกลับมาครั้งนี้กุนซือก็ได้เปลี่ยนเป็น อันโตนิโอ คอนเต้ ซึ่งมีซิกเนเจอร์เรื่องระบบหลัง 3 และการใช้แบ็กจอมบุก ดังที่แจ้งเกิด มาร์กอส อลอนโซ่ มาแล้ว แน่นอนว่าตรงนี้อาจเป็นความได้เปรียบของวิสกี้อีกครั้ง แต่อย่าลืมว่าตอนนี้ ลูกรักของคอนเต้อย่าง อซาโมอาห์ ก็ยังอยู่กับทีม และแน่นอนว่าคนปั้นอซาโมอาห์ที่ยูเวนตุสก็คือคอนเต้ นั่นจึงเป็นการปิดประตูใส่วิสกี้อีกครั้ง และทำให้เขาต้องระเห็จไปอยู่กับ เฮลลาส เวโรนา ถึง 18 เดือน (6 เดือน บวกออปชั่นยิมต่ออีกฤดูกาล)
ก่อนที่การโดนผลักไสไล่ส่งของเขาจะสิ้นสุด เมื่อชายที่ชื่อ ซิโมเน่ อินซากี้ เข้ามาคุมทีม
ซ้ายทะลวงไส้ ติดไฟบรรลัยกัลป์
ซิโมเน่นั้นมั่นอกมั่นใจในตัวของวิสกี้อย่างมาก ขนาดที่เป็นตัวเลือกแรกมาก่อน โรบิน โกเซนส์ แบ็กซ้ายระดับตำนานของอตาลันตาที่เป็นกำลังหลักให้พลพรรคเทพีบินสูงมาหลายฤดูกาลก่อนหน้าไปเสียเฉย ๆ ทั้งที่การไปเล่นแบบยืมตัวของเขากับเวโรนานั้นจะมีหลายทีมยักษ์ใหญ่จากลีกอื่น ๆ ให้ความสนใจและพร้อมทุมเงินก้อนโตให้ก็ตาม
ซึ่งวิสกี้เองก็ถือว่าตอบแทนความไว้วางใจของซิโมเน่ได้อย่างดีเยี่ยม เพราะเขาถือได้ว่าประสานงานกับ เดนเซล ดุมฟรีย์ ทางฝั่งขวาได้อย่างลงตัว ซึ่งความแตกต่างระหว่างสองฝั่ง แม้จะเป็นสายพลังงานที่เติมสุดลงสุดเหมือนกัน แต่วิสกี้จะเป็นสไตล์ตัดเข้าในก็ได้ เอาต์สวิงครอสก็ดี ตัดเกมได้ แถมยังเติมขึ้นมาประหนึ่งกองหน้าริมเส้นทำประตูได้อีกด้วย
ตลอดฤดูกาล 2021-22 วิสกี้ลงสนามมากถึง 42 แมตช์รวมทุกรายการ ยิงไป 2 ประตู แม้จะโดนเปลี่ยนออกบ่อย แต่ก็ถือได้ว่าขึ้นมาเป็น 11 ตัวจริงอย่างเต็มภาคภูมิ
เท่านั้นยังไม่พอ ในฤดูกาลต่อมาเขายังได้เพิ่มสกิลในการเป็น Key Player ในเกมชี้เป็นชี้ตายของสโมสร มักจะเป็นบุคคลที่คงเส้นคงวา ไม่มีหวั่นใจ ไม่โอนเอนต่อความกดดันใด ๆ โดยหนึ่งในเกมสร้างชื่อแทบจะที่สุดมาจากเกม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบก่อนรองชนะเลิศ แมตช์ที่ 2 ที่พบกับ เบนฟิก้า ซึ่งเขาเก็บแนวรุกพลพรรคเหยี่ยวลิสบอนได้อยู่หมัด แถมแอสซิสต์ได้อีกด้วย โดยเขากล่าวถึงเรื่องนี้ไว้กับ FCInterNews ความว่า
“ดีใจสุด ๆ เลยครับ เราไม่ได้เข้ารอบรองชนะเลิศ (ในยูซีแอล) มานานแล้ว ถือเป็นบันไดอีกขั้นในการก้าวเข้าสู่รอบชิงครับ … เรามีสิ่งที่จะสร้างความแตกต่าง แต่ก็น้อยครั้งครับที่จะแปรเปลี่ยนเป็นโอกาสเช่นนี้ได้ เราสามารถขีดเขียนประวัติศาสตร์ของตนเองได้แล้วครับ … เราคิดถึงมิลาน (รอบรองชนะเลิศ) ไว้ลำดับท้าย ๆ ตอนนี้ต้องสนใจ เซเรีย อา กับ โคปปา อิตาเลีย ก่อนครับ … ผมทำงานหนักมาตลอดทั้งสัปดาห์และสามารถทำแอสซิสต์ได้ แต่ทีมชนะผมก็พอใจแล้วครับ”
และก็อีกครั้งกับการปราบพยศ ยูเวนตุส ในรอบรองชนะเลิศ โคปปา อิตาเลีย โดยเขาทำประตูโทนให้ทีมผ่านเข้ารอบด้วยสกอร์รวม 2-1 (เสมอในแมตช์แรก 1-1) แถมยังรักษาฟอร์มการเล่นพา อินเตอร์ มิลาน คว้าแชมป์แรกในฤดูกาลนี้ด้วยการพลิกแซงชนะ ฟิออเรนติน่า ไป 2-1
ยังไม่รวมกับการแอสซิสต์ให้มคิทาร์ยานซัดประตูขึ้นนำ 2-0 ในแมตช์มิลาน ดาร์บี้ บนเวที ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ก่อนจะจบเกมด้วยสกอร์นี้ และทำให้ อินเตอร์ มิลาน ประสบกับงานง่าย ย้ำชัยในเกมที่สองไป 1-0 (สกอร์รวม 3-0) ส่งให้เข้าชิงชนะเลิศในรอบกว่า 12 ปีได้สำเร็จ
แน่นอนว่าหากรักษาฟอร์มเช่นนี้ได้ วิสกี้จะอยู่เป็นกำลังสำคัญของทีมไปยาว ๆ เพราะเขาได้ต่อสัญญาไปจนถึงปี 2026 เมื่อสิ้นปี 2021 ที่ผ่านมา แต่นับได้ว่าชีวิตทางฟุตบอลของเขามีความสวิงอย่างยิ่งยวด แม้จะได้อยู่กับทีมที่รักแต่ก็มีอันพลัดพรากจากกันและโดนทีมที่รักหมางเมิน แต่ในที่สุดคิวปิดก็ไม่ได้ใจร้ายกับเขาเสียทีเดียว เพราะตอนนี้เขาได้อยู่กับทีมที่รักและกำลังพาทีมที่รักทะยานเหินฟ้าไล่ล่าถ้วยบิ๊กเอียร์อยู่ ณ ขณะนี้
สุขอื่นใดที่เกิดขึ้นในชีวิตเขาจะมาเทียบเทียมได้ จินตนาการไม่ออกเลยจริง ๆ
แหล่งอ้างอิง :
โฆษณา