22 มิ.ย. 2023 เวลา 11:12 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์

Firefly Lane – เพราะ “เธอ” มีกันและกัน

Firefly Lane เป็นละครชุดที่สร้างและฉายโดย Netflix สร้างมาจากนิยายของ คริสติน ฮันนาห์ (Kristin Hannah) นักเขียนที่มีผลงานชื่อดังอย่าง On Mystic Lake ดูผิวเผิน Firefly Lane ก็เหมือนละครน้ำเน่าสำหรับผู้หญิงโดยทั่วไป หากมองให้ลึกกว่านั้น นี่คือละครที่สะท้อนตัวตน สถานภาพ และบทบาทของผู้หญิง ที่ส่งผลต่อการเลือกทางเดินของชีวิต แม้ไม่ราบรื่น แต่เธอก็ผ่านพ้นไปได้ เพราะ “เธอ” มีกันและกัน
SPOILER ALERT!!!! ใครตั้งใจจะดูซีรีส์เรื่องนี้ แนะนำให้ดูก่อนนะ
สองตัวตนที่แตกต่าง
Firefly Lane เป็นเรื่องราวของสองตัวละครหญิง เคท มูลาคีย์ (Kate Mularkey) และ ทัลลี่ ฮาร์ท (Tully Hart) มิตรภาพของทั้งสองเริ่มก่อตัวขึ้นในปี ค.ศ. 1974 เมื่อแม่ของทัลลี่พาเธอย้ายมาอยู่ในเมืองเล็ก ๆ ที่ชื่อว่า Snohomish บนถนน Firefly Lane แม้ทัลลี่จะได้รับการเลี้ยงดูโดยคุณยายมาตั้งแต่เกิด เพราะแม่ของเธอติดยา แต่แม่เธอก็พยายามยื้อยุดเอาตัวเธอมาครอบครอง
ทัลลี่แอบมองเคท เพื่อนบ้านฝั่งตรงข้ามรุ่นเดียวกับเธอ มีครอบครัวสมบูรณ์ พ่อ แม่ น้องชาย อยู่กันพร้อมหน้า ครอบครัวอบอุ่นที่ทัลลี่คะนึงหา ทำให้เธอยิ่งย้อนมองชีวิตของตัวเอง เธอเกลียดแม่ที่เอาแต่เมายาเพ้อ พาเพื่อนมาพี้ยา ทำให้เธอไม่อยากอยู่บ้าน จนคืนหนึ่งเธอไปปาร์ตี้ และถูกเด็กหนุ่มรุ่นพี่ข่มขืน เธอร้องไห้เดินกลับบ้าน เมื่อพบกับเคท เธอเล่าทุกอย่างให้เคทฟัง เคทรับฟังและเก็บความลับของทัลลี่ไว้ไม่เคยบอกใคร ทั้งสองเป็นเพื่อนรักกัน และกลายเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตทั้งคู่
นอกจากทั้งสองจะมีพื้นฐานครอบครัวที่แตกต่างกัน ในด้านรูปลักษณ์และบุคลิกก็ต่างกันด้วย ทัลลี่เป็นสาวมั่น สวยสง่า มั่นใจในตัวเอง เธอพูดจาถกเถียงอย่างชาญฉลาด ใคร ๆ ก็ชื่นชม แม้แต่เคทเองก็แอบปลื้ม ทัลลี่เป็นสาวสุดเจ๋งในสายตาของเคทตั้งแต่แรกเห็น
เพราะทัลลี่ต่างจากตัวเธอที่เป็นเด็กเนิร์ดแปลก ๆ (nerdy quirky girl) เธอขี้อาย ซ่อนตัวอยู่ในมุมหนังสือ เมื่อทั้งสองเป็นเพื่อนซี้กัน เคทเริ่มทำลายกำแพงกั้นตัวเอง ออกมาจากมุมมืด แม้คนรอบข้างเริ่มมองเห็นเธอ แต่ก็เป็นเพียงเงาตามตัวทัลลี่ เพื่อนในชั้นเรียนมักจะกล่าวถึงทั้งสองว่า “ทัลลี่กับเพื่อนของเธอ”
ส่วนทัลลี่ แม้สังคมจะให้การยอมรับ ผู้คนห้อมล้อม แต่ไม่สามารถลบเลือนความโดดเดี่ยวของเธอได้ จากบทสนทนาของเคทและทัลลี่
เคท “เธอดูเหงานะ ฉันรู้ว่าเธอรู้สึกอย่างไร”
ทัลลี่ “เธอไม่รู้หรอก เธอมีครอบครัว”
เคท “น้องชายไม่ค่อยจะชอบฉัน เพื่อนที่โรงเรียนก็ทำอย่างกับฉันเป็นเชื้อโรคติดต่อ เธอต่างหากล่ะที่ไม่รู้ เธอน่ะป๊อปมาก”
ทัลลี่ “การที่มีคนชื่นชอบ มีแต่คนอยากจะอยู่ใกล้ ไม่ได้หมายความว่าอยากจะสนิทด้วย”
แม้ทัลลี่จะมีแต่คนชื่นชมอยากคบหา แต่เธอเลือกที่จะเป็นเพื่อนสนิทกับเคท เมื่อแม่เธอหายตัวไป ทัลลี่ใช้ชีวิตอยู่บ้านเคท เสมือนเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเคท
(ที่มา: IMDB)
ทั้งสองมีพื้นฐานครอบครัว รูปลักษณ์ บุคลิก ลักษณะนิสัย ความรู้สึกนึกคิด และปัญหาที่ต่างกัน แต่เป้าหมายของตัวละครอาจจะดูเหมือนกันในแรกเริ่ม จากที่ทัลลี่ไม่เคยคิดเรื่องอนาคตแต่ก็ใฝ่ฝันอยากเป็นผู้ประกาศข่าว เพราะได้รับแรงบันดาลใจจากแม่ของเคทที่มองเห็นศักยภาพในตัวทัลลี่
เธอกล่าวว่า “การที่แม่เป็นอย่างไร ใช่ว่าลูกต้องเป็นเช่นนั้น เธอเลือกทางเดินของตัวเองได้ ไม่มีอะไรน่าละอาย เพียงแต่เธอต้องฝันให้ไกล” คำกล่าวนี้ทำให้ทัลลี่ฉุกคิดขึ้นได้ว่า แม่เธอเป็นแบบนี้ไม่ใช่ความผิดของเธอ และไม่ควรจะเป็นตัวกำหนดชีวิตเธอ ส่วนที่แม่ของเคทบอกว่าฝันให้ไกล กลายเป็นตัวจุดประกายให้เธอฝันอยากเป็นคนดังตามผู้ประกาศสาวคนหนึ่งในยุคนั้น
เธอตัดสินใจเรียนต่อสื่อสารมวลชน มุ่งมั่นสู่เส้นทางการเป็นผู้ประกาศข่าวมืออาชีพ ส่วนเคทรักการอ่านและอยู่ในชมรมสื่อสารมวลชนอยู่แล้ว เธอจึงเดินตามเส้นทางนี้บ้าง ทั้งสองเข้าเรียนมหาวิทยาลัยด้วยกัน และเมื่อเรียนจบ ทัลลี่ได้เข้าทำงานที่สถานีข่าวแห่งหนึ่งและชวนเคทเข้ามาทำงานด้วยกัน ทัลลี่เฉิดฉายได้เป็นผู้ประกาศข่าว ส่วนเคทเห็นว่าตนรักงานเขียนจึงเป็นบรรณาธิการ ต่างคนต่างมีความชอบและความฝันในสายอาชีพเดียวกัน แต่แตกต่างกันละคนเส้นทาง
(ที่มา: https://www.pluggedin.com/tv-reviews/firefly-lane/)
สามช่วงแห่งการเปลี่ยนถ่าย
การเล่าเรื่องใน Firefly Lane แบ่งเป็นสามช่วงเวลา คือในช่วงวัยรุ่น อายุประมาณ 14-18 ปี ในยุค 70, ช่วงวัยทำงาน อายุประมาณ 22-24 ปี ในยุค 80 และช่วงวัยกลางคน อายุ 43-45 ปี ในช่วงปี ค.ศ. 2003-2005 ทั้งสามช่วงนี้เล่าคู่ขนานกัน เพื่อกล่าวถึงประเด็นปัญหา อุปสรรค ทัศนคติ และพัฒนาการของทั้งสองในแต่ละช่วงวัยและในแต่ละบริบท
ยกตัวอย่างเช่น มุมมองในเรื่องหน้าอกของเคท เคทในช่วงวัยรุ่นรู้สึกไม่พอใจที่ตนเองหน้าอกเล็ก พยายามหานู่นนี่นั่นมายัดให้กลมตึงน่ามองเย้ายวนเพื่อนชาย เมื่อเข้าสู่วัยทำงาน เคทคลอดลูกและหมกมุ่นอยู่กับการให้ลูกดื่มนมจากเต้า เธอเสียงแข็งยืนกรานว่าลูกควรดื่มนมแม่ แต่แม้จะพยายามอย่างไรลูกก็ไม่ยอมดูดนม ส่วนวัยกลางคน เคทพบว่าตนมีเชื้อมะเร็งเต้านมต้องรักษา และต้องตัดเนื้อร้ายสูญเสียหน้าอกไป
นอกจากนี้การเล่าเรื่องในแต่ละช่วงเวลาคู่ขนานกัน เพื่อบอกเล่าปูมหลังของทั้งสอง สิ่งที่พบเจอในวัยรุ่นนั้นได้ส่งผลต่อการตัดสินใจอย่างไรในวัยทำงาน และส่งผลลัพธ์ในช่วงวัยกลางคนอย่างไร โดยเฉพาะในด้านความรักที่ทั้งสองมีมุมมองที่แตกต่างกัน
ในด้านความรักของทัลลี่ ด้วยผลพวงที่ถูกพ่อทอดทิ้ง และแม่หายตัวไปไม่ใยดี รวมทั้งถูกข่มขืนในวัยรุ่น เหตุการณ์เลวร้ายต่าง ๆ เกิดขึ้นในช่วงเวลาแห่งการก้าวข้ามผ่านวัย (coming of age) ในช่วงเวลาแห่งการค้นหาและสะท้อนตัวตน ทัลลี่กลายเป็นคนกลัวความรัก และไม่จริงจังในเรื่องความสัมพันธ์ทางเพศ
หลังจากผ่านเหตุการณ์ข่มขืนอันเลวร้ายมาไม่นาน ทัลลี่ตกลงมีสัมพันธ์กับน้องชายของเคท เพื่อต้องการปรับความรู้สึกและอารมณ์ทางเพศของตัวเอง รวมทั้งน้องชายเคทต้องการค้นหาตัวตนเพราะแอบชอบเพื่อนชาย ทัลลี่ไม่มีท่าทีสนใจเพื่อนในรุ่นราวคราวเดียวกัน แต่กลับหลงรักคุณครู เธอเผยความในใจแต่ก็ถูกปฏิเสธ
เมื่อเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย เธอมีความสัมพันธ์กับอาจารย์ในช่วงเวลาสั้น ๆ จากนั้นเธอมีความสัมพันธ์กับผู้ชายชั่วครั้งชั่วคราวเรื่อยมา ไม่ลงหลักปักฐานกับใคร แม้ว่าเธอจะหลงรักผู้ประกาศข่าวชายที่ทำงานด้วยกัน แต่เธอก็ไม่เคยเอ่ยปาก เธอมุ่งมั่นต้องการความสำเร็จในหน้าที่การงานเป็นเป้าหมายหลัก จนเธอใกล้จะสูญเสียเคทไปจึงยอมเปิดใจ
ส่วนความรักของเคท ในวัยรุ่นเคทเป็นเด็กเนิร์ดที่ทุกคนมองข้าม เมื่อมีหนุ่มสุดฮอตมาขอแอบมีความสัมพันธ์แบบลับ ๆ เคทก็ยอม เมื่อถูกเพื่อนร่วมชั้นคลางแคลงสงสัย ฝ่ายชายทำร้ายจิตใจเธอโดยปฏิเสธอย่างไม่ใยดี
เมื่อเข้าสู่ในวัยทำงาน เคทหลงรักจอห์นนี่หัวหน้าของเธอ เคทพยายามเอาใจจอห์นนี่ ทั้งปัดกวาดจัดโต๊ะทำงาน เตรียมเอกสาร และหาอาหารโปรดมาให้ทุกวัน แต่แน่นอนจอห์นนี่ชอบทัลลี่ ทัลลี่และจอห์นนี่มีความสัมพันธ์ชู้สาวกันเพียงหนึ่งคืน
เมื่อจอห์นนี่รู้ตัวว่าทัลลี่ไม่ได้สนใจ เขาก็เริ่มเห็นความดีของเคท ทั้งสองต้องเผชิญการพิสูจน์รักหลายอย่าง ทั้งปัญหาทางครอบครัวของเคทที่ไม่ค่อยชอบจอห์นนี่เพราะเป็นชาวออสเตรเลีย ทัศนคติการมีครอบครัวที่ไม่ตรงกัน เพราะจอห์นนี่ไม่ได้คิดเรื่องครอบครัวในอนาคต ส่วนเคทคิดอยากสร้างครอบครัว ทั้งสองทะเลาะจนต้องเลิกรากัน เคทหมั้นกับชายอื่น แต่ก็กลับมาสานรักกับจอห์นนี่จนตั้งครรภ์ และแต่งงานกัน แม้ทั้งสองจะหย่าร้างกันด้วยความเห็นที่ไม่ตรงกัน แต่ก็กลับมาดูแลกันและกันจนวาระสุดท้าย
จะเห็นได้ว่ามุมมองความรักของทั้งสองที่แตกต่างกันนี้ มาจากสิ่งที่ทั้งสองพบเจอมาในวัยรุ่น ทัลลี่เจอเหตุการณ์เลวร้าย ส่วนเคทผิดหวังเรื่องความรัก เมื่อเจอคนที่ใช่ เธอก็ไม่อยากเสียเขาไปอีก และด้วยเคทมีพื้นฐานครอบครัวที่อบอุ่น เธอจึงไม่ลังเลที่จะแต่งงานและสร้างครอบครัว
(นอกเรื่อง) อย่างไรก็ตาม แม้การเล่าเรื่องแบบสามช่วงเวลาคู่ขนานกันไปนี้จะพยายามกล่าวถึงปัญหาและอุปสรรคของตัวละครทั้งสองให้มีชั้นเชิง แต่บางครั้งผู้เขียนเห็นว่าไม่ค่อยจะได้ผลนัก เพราะหลายครั้งในหลายประเด็นไม่มีความเชื่อมโยงกันเท่าที่ควร แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการออกแบบงานสร้างที่พยายามเล่าถึงบริบทในแต่ละยุคสมัย ทั้งการสร้างฉาก การใช้สี การแต่งกายตัวละคร ฯลฯ รวมทั้งการแสดงนั้นลงตัว ดูเพลิดเพลิน
“ความอิจฉา” เป็นแรงผลักดัน
ความอิจฉาตามความหมายในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน หมายถึง เห็นเขาได้ดีแล้วไม่พอใจ อยากจะมีหรือเป็นอย่างเขาบ้าง ส่วนภาษาอังกฤษตามความหมายในแคมบริดจ์ “jealous” (adj.) - unhappy and angry because someone has something that you want
เรื่องราวใน Firefly Lane เกาะเกี่ยวยึดโยงไปด้วย “ความอิจฉา” อันเป็นแก่นหลักสำคัญในการขับเคลื่อนตัวละคร แรกเริ่มทัลลี่อิจฉาเคทที่มีครอบครัวอบอุ่นอยู่กันพร้อมหน้า
ส่วนเคทอิจฉาทัลลี่ เธอสวย โดดเด่น ทั้งรูปลักษณ์และความคิด มีแต่คนชื่นชม เคทน้อยใจเพื่อนร่วมชั้นที่รู้จักทัลลี่แต่กลับจำชื่อเธอไม่ได้ เคทไม่พอใจที่น้องชายเปิดเผยกับทัลลี่ว่าตนเองเป็นเกย์ก่อนเธอมานานหลายปี เคทน้อยใจในตัวเองที่จอห์นนี่หลงรักทัลลี่ก่อนมองเห็นเธอ เคทเศร้าใจที่เห็นลูกสาวชื่นชมและพูดคุยกันอย่างสนิทสนมกับแม่ทูนหัวอย่างทัลลี่ เคทน้อยใจที่ลูกสาวเปิดเผยกับทัลลี่ว่าตนเองคบหาดูใจเพื่อนสาวก่อนจะบอกให้เธอรู้
อาจกล่าวได้ว่าเคทอิจฉาทัลลี่ในทุกด้านและทุกมิติ เพราะตัวละครเคทและทัลลี่มีความแตกต่างโดยสิ้นเชิง ในลักษณะแบบคู่ตรงข้าม (binary opposition)
ความแตกต่างระหว่างเคทกับทัลลี่นั้น สัมผัสได้ตั้งแต่รูปลักษณ์ เคทผมสีบลอนด์ทอง ทัลลี่ผมสีดำ เคทใส่แว่น ทัลลี่ไม่ใส่แว่น เคทเป็นสาวเฉิ่ม ทัลลี่เป็นสาวมั่น รูปลักษณ์ของทั้งสองทำให้เคทถูกมองข้าม แต่ทัลลี่โดดเด่น
ในด้านความต้องการและเป้าหมายของตัวละคร เคทอยากเป็นนักเขียน ทัลลี่อยากเป็นผู้ประกาศข่าว เคทอยากสร้างครอบครัว ทัลลี่อยากสร้างอาชีพ
ในด้านปัญหาของตัวละคร เนื่องจากทัลลี่เฉิดฉาย ปัญหาของทัลลี่อยู่ที่ความต้องการการยอมรับทางสังคม คือทำอย่างไรให้ผู้ชมนิยมชมชอบหรือมองเห็นจุดด้อยของเธอให้น้อยที่สุด ปัญหาความไม่เท่าเทียมกันทางเพศ ทัลลี่พบเจอเมื่อถูกข่มขืนในวัยรุ่นและกลายเป็นปมในใจเสมอ
ส่วนความไม่เท่าเทียมทางเพศด้านการงาน ทัลลี่พบอุปสรรคกับเจ้านายผู้ชายอยู่บ้าง ทัลลี่ยอมเสียรายการและออกมาทำรายการของตัวเองทางออนไลน์ แต่ไม่ใช่ปัญหาหลักสำคัญของเรื่อง ผู้เขียนจึงไม่นำมาวิเคราะห์หรือพิจารณาในด้านความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครหญิงกับตัวละครชาย
ปัญหาด้านความเหงาและปมเรื่องครอบครัว ทัลลี่จัดการกับปัญหาโดยมีเคทอยู่เคียงข้างแต่ก็ไม่สามารถลบเลือนออกไปได้ ส่วนปัญหาของเคทคือ การอยู่ในสถานะใต้เงา (under shadow) ของทัลลี่ ที่ส่งผลต่อเคทตลอดทั้งเรื่อง ทั้งถูกเปรียบเทียบ ถูกมองข้าม และในบางครั้งเหมือนไร้ตัวตน
เคทอยู่ในสถานะรองทัลลี่มาตลอดในช่วงวัยรุ่นจนถึงวัยทำงาน และดูเหมือนจะหายไปเมื่อเคทแต่งงานกับจอห์นนี่ แต่จุดเปลี่ยนเมื่อเคทมีลูก เคทกลายเป็นแม่บ้านเต็มตัว ทั้งจัดการงานบ้านและเลี้ยงลูกเต็มเวลา
ในขณะที่ทัลลี่เป็นผู้กาศข่าวย้ายไปอยู่สถานีข่าวชื่อดัง และกลับมาทำรายการทอล์คโชว์ของตัวเองชื่อว่า Girlfriend Hour โดยทาบทามจอห์นนี่ให้เป็นโปรดิวเซอร์ จุดนี้สร้างความไม่พอใจให้เคทอยู่ไม่น้อย เคทแย้งขึ้นมาทันทีว่าทำไมไม่เลือกเธอ ทัลลี่ให้เหตุผลว่าเคทยุ่งอยู่กับการเลี้ยงลูก ทำให้เคทเสียงอ่อนและยอมรับว่ายุ่งจริง
เมื่อลูกสาวของเคทเริ่มโตขึ้น เคทในวัย 40 ปี พยายามหางาน แต่ก็ถูกปฏิเสธเพราะถูกมองว่าอายุเยอะและไม่มีทักษะ เห็นได้ว่าเคทต้องรับมือกับอุปสรรคด้านสถานภาพของตัวเอง แต่ก็ยังอยู่เคียงข้างทัลลี่เสมอ
อันที่จริงหากย้อนกลับไปดูรุ่นแม่ แม่ของเคทเป็นผู้จุดประกายฝันให้ทัลลี่ เธอเห็นอะไรบางอย่างในตัวทัลลี่หรือแท้จริงแล้วเธออิจฉาทัลลี่
หากกล่าวถึงบริบทสังคมอเมริกาในยุค 50-60 ชายหญิงแต่งงานมีลูกกันตั้งแต่อายุยังน้อย อีกทั้งสังคมถูกจัดการด้วยวิถีปฏิบัติตามบทบาททางเพศของชายและหญิง โดยบทบาททางเพศถูกจำแนกออกเป็น ผู้ชายทำงานนอกบ้าน ผู้หญิงทำงานในบ้าน แม้รัฐบาลจะรณรงค์ว่าเมื่อลูกเริ่มโตเข้าโรงเรียนแล้ว ผู้หญิงควรออกมาทำงานนอกบ้านเพื่อช่วยสามีหารายได้
แต่อาชีพของผู้หญิงนั้นมีจำกัด เช่น ผู้หญิงต้องทำงานบริการ งานฝีมือ งานเอกสาร งานพยาบาล อีกทั้งยังจำกัดตำแหน่งเล็กไว้ให้ผู้หญิง ตำแหน่งสูงไว้ให้ผู้ชาย และเมื่อขาดงานไปนานหลายปีหรือไม่เคยทำงานมาก่อนก็ถูกมองว่าไม่มีทักษะเพียงพอ ผู้หญิงจำต้องอยู่บ้านเช่นเดิม (Vanessa Martins Lamb, The 1950’s and the 1960’s and the American Woman: the transition from the ”housewife” to the feminist)
แม่ของเคทเองก็อยู่ในสถานะแม่บ้านเต็มเวลา เธอเห็นศักยภาพในตัวทัลลี่จึงส่งเสริม แต่เธอไม่ส่งเสริมเคท และเคทกลับตกอยู่ในสถานะเดียวกับเธอ
ส่วนแม่ของทัลลี่ เธอถูกสามีทอดทิ้ง รู้สึกไร้ค่าจนต้องเบนชีวิตไปหายาเสพย์ติด เธอพยายามอยู่กับร่องกับรอย โดยการหาสามีใหม่แต่ก็ไม่มีใครเป็นพ่อที่ดีให้ทัลลี่ได้ สุดท้ายเธอจงใจทอดทิ้งทัลลี่ ไปใช้ชีวิตวิถีฮิปปี้ เพราะเธอรู้มาตลอดว่าทัลลี่กำลังมีอนาคต เธอแอบมองอยู่ห่าง ๆ แสร้งเป็นว่าเธอไม่ใยดีลูก เพื่อให้ทัลลี่ไปโดยไม่มีเธอรั้งไว้ ทัลลี่เสียใจบอกกับทุกคนว่าแม่เธอตายไปแล้ว แต่แม่เธอก็กลับมาหาเมื่อเธอโด่งดัง
ตัวละครหญิงทั้งหมดมีความอิจฉาทัลลี่อยู่ในใจ เมื่อย้อนกลับมามองก็น้อยใจในตัวเอง ทั้งหมดจึงแสดงการยินดีกับทัลลี่ ประหนึ่งว่ารู้ตัวดีว่าฉันเป็นแบบเธอไม่ได้ เพราะฉะนั้นฉันจะคอยส่งเสริมเธอ
ในกรณีแม่ของเคท อาจทำให้คิดได้ว่าคำกล่าวนี้เป็นคำพูดที่เธอพูดกับตัวเอง “(ถ้าฉันยังสาว) ฉันเลือกทางเดินของตัวเองได้ ไม่มีอะไรน่าละอาย เพียงแต่ฉันต้องฝันให้ไกล”
ในกรณีแม่ของทัลลี่ ด้วยการกระทำทั้งหมด อาจทำให้คิดได้ว่า สามีทิ้งฉันกับลูกไว้ ฉันไม่สามารถดูแลตัวเองได้ จำต้องทิ้งลูกไว้ให้แม่ดูแล ฉันเมายาเพ้อเพื่อลืมความเจ็บปวด แต่ก็นึกน้อยเนื้อต่ำใจ ฉันจึงยื้อยุดเอาลูกมาครอบครอง และฉันจะพยายามพิสูจน์ว่าฉันดูแลลูกได้ โดยการปรับเปลี่ยนตัวเองใหม่ พยายามหาสามีเพื่อให้มาเป็นพ่อของลูก แต่กลับเจอผู้ชายใช้ความรุนแรง
เธอเสียใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าต้องหันไปหายาเสพย์ติดอีกครั้ง และจำต้องยอมปล่อยให้ทัลลี่ไปมีอนาคตแบบไม่มีแม่เสียจะดีกว่า หรือถ้ากลับไปแก้ไขได้ ฉันจะเลือกมีชีวิตแบบลูก
ในกรณีของเคท เธออิจฉาทัลลี่และอยู่ใต้เงาทัลลี่มาโดยตลอด เธอทั้งเก็บความลับ สนับสนุน และเป็นกำลังใจให้ทัลลี่ในทุกเรื่อง เคทเปรียบเสมือนฉากดำด้านหลังที่ทำให้แสงของทัลลี่สว่างชัดมากขึ้น
“ความเป็นแม่” สำคัญไฉน
Women mother. In our society, as in most societies, women not only bear children. They also take primary responsibility for infant care, spend more time with infants and children than do men, and sustain primary emotional ties with infants.
- Nancy Chodorow, The Reproduction of Mothering: Psychoanalysis and the Sociology of Gender, University of California Press, Berkeley, 1978a, p. 3.
ความเป็นแม่ (motherhood) คือกระบวนการทางสังคมที่กำหนดบทบาทของผู้หญิงในด้านขอบเขตของการเลี้ยงดูลูก ซึ่งเป็นการเปลี่ยนสถานะจากผู้หญิงสู่แม่ โดยมอบฐานะผู้ตามในสถาบันครอบครัว ผู้หญิงมีหน้าที่เลี้ยงดูบุตร ดูแลสามี และจัดการงานบ้าน
บทบาทของความเป็นแม่นั้นใหญ่หลวง แม่ต้องอุทิศตน (self-sacrifice) และเสียสละ (selfless) แปลความตามแคมบริดจ์คือ caring more for what other people need and want rather than for what you yourself need and want นั่นคือทำเพื่อคนอื่นมากกว่าตัวเอง ภาระอันหนักอึ้งที่สังคมมอบคุณค่าให้กับความเป็นแม่ และเชิดชูว่าสำคัญที่สุดในชีวิตของผู้หญิง ทั้งการให้กำเนิด การเลี้ยงดูลูก การจัดการงานในบ้านให้เรียบร้อย การให้คุณค่าของการเป็นผู้หญิงที่ดี คือการเป็นแม่และการเป็นภรรยาที่ดี
ปฏิเสธไม่ได้ว่าการอุทิศตนวนเวียนอยู่ในบ้าน ก่อให้เกิดความรู้สึกไร้ตัวตน และเมื่อการเลี้ยงลูกและการทำงานบ้านคืองานที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ก่อให้เกิดความรู้สึกไร้ค่า จนผู้หญิงเองเกิดความสับสนในใจว่าเป้าหมายชีวิตคืออะไรแน่
อย่างไรก็ตามเมื่อผู้หญิงเปลี่ยนสถานะมาเป็นแม่ ผู้หญิงจะรู้จักความรักและความหมายของชีวิตที่แท้จริง รวมทั้งจะเกิดความแกร่งเพิ่มขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว ผลสำรวจความเป็นแม่จากเว็บไซต์ lunamag.com โดยการสัมภาษณ์คุณแม่ได้ข้อสรุปว่า การเป็นแม่นั้นเต็มไปด้วยอารมณ์และความเหน็ดเหนื่อย เพราะเมื่อเห็นลูกแล้วเกิดความรักและต้องทำหน้าที่แม่ให้ดีที่สุด
เมื่อเคทรู้ว่าตัวเองตั้งครรภ์ เธอออกจากงานเพื่อเลี้ยงลูก เพราะความเป็นแม่คือการอุทิศตนและอุทิศเวลาทั้งหมดเพื่อลูก เห็นได้ชัดว่าเคทต้องการเลี้ยงลูกเอง ภาระนี้ทำให้เธอไม่สามารถเลี้ยงลูกและทำงานพร้อมกันได้ เธอต้องเลือกเพียงหนึ่งเส้นทาง ซึ่งในบางครั้งเคทแสดงอาการเหนื่อยหน่ายและอยากกลับไปทำงาน เมื่อเห็นทัลลี่ผ่านจอโทรทัศน์ เธอรู้สึกชื่นชมและเธอมักจะบ่นกับทัลลี่เสมอว่าอยากทำงาน ประหนึ่งว่าอยากหลุดออกจากสถานะแม่บ้าน (housewife) แม้ทัลลี่จะมีท่าทีสนับสนุน แต่ก็มักจะมีความเห็นว่าไม่จำเป็น
กลับมาที่ลักษณะแบบคู่ตรงข้ามของตัวละครทั้งสอง เคทสถานะแม่บ้าน (housewife) ต่างจากทัลลี่ที่มุ่งมั่นสร้างอาชีพ (the career-driven workaholic) ลักษณะที่ต่างกันนี้ก็มักจะปรากฎภาพความแตกต่างด้านพื้นที่ของเคทและทัลลี่ เคทอยู่ในบ้าน ส่วนทัลลี่ทำงานในที่ต่าง ๆ เช่นเดียวกับแม่ของเคทที่มักจะปรากฎภาพเธอวนเวียนอยู่ภายในบ้าน เมื่อออกนอกบ้านก็ปรากฎอยู่เคียงข้างสามี จะเห็นได้ว่าความเป็นแม่อยู่ในพื้นที่จำกัดและไม่มีอิสระเท่าที่ควร
ต่างจากทัลลี่ที่มีอิสระเต็มที่ ทั้งอิสระด้านพื้นที่ ทัลลี่เดินทางไปทำงานในหลายรัฐ และในหลายประเทศ อิสระในร่างกาย ทัลลี่เลือกที่จะมีความสัมพันธ์กับใครก็ได้ และโดยเฉพาะอิสระทางการเงิน ทัลลี่ช่วยเหลือด้านการเงินของเคทมาโดยตลอด เมื่อเห็นว่าเคทต้องการสร้างครอบครัว เธอก็ซื้อบ้านให้เคท เมื่อจอห์นนี่ไปทำข่าวที่อิรัก โดนกับระเบิดและถูกส่งตัวไปรักษาที่ฝรั่งเศส ทัลลี่ก็เป็นคนจัดหาเครื่องบินให้
ทัลลี่ใช้เงินปรนเปรอตัวเอง บ่อยครั้งที่ทัลลี่ซื้อของมากมายและซื้อให้เคทด้วย จนบางครั้งดูเหมือนเป็นการซื้อของให้ตัวเองเพื่อเติมเต็มสิ่งที่ขาดอยู่ข้างใน อีกทั้งยังเช่าโรงแรมหรูและซื้อรถหรูให้แม่ เมื่อแม่เธอปฏิเสธก็พยายามยัดเยียดรถหรูให้เคทและลูกสาวของเคท แต่ก็ถูกปฏิเสธเช่นกัน สุดท้ายรถคันนี้กลับกลายเป็นรถที่เธอขับพาลูกของเคทไปประสบอุบัติเหตุ
ด้วยความเป็นแม่ เมื่อเห็นลูกถูกหามส่งโรงพยาบาล เธอโกรธหนักถึงขั้นตัดความสัมพันธ์กับทัลลี่ ตัดการสื่อสารทุกช่องทาง แม้ว่าแท้จริงแล้วลูกสาวของเคทถูกเพื่อนหลอกไปงานปาร์ตี้และโทรมาขอความช่วยเหลือด้วยน้ำเสียงหวาดกลัว ด้วยประสบการณ์อันเลวร้ายในช่วงวัยรุ่น ทัลลี่จึงรีบไปรับอย่างปลอดภัย แต่กลับประสบอุบัติเหตุ
ลูกสาวอธิบายทุกอย่างให้เคทฟัง แต่เคทยืนยันก่อนหน้าว่าห้ามลูกออกไปไหน เคทโกรธเพราะเธอไว้ใจฝากลูกไว้กับทัลลี่ แต่ทัลลี่กลับไม่ฟังและไม่มีความรับผิดชอบต่อลูกของเธอซึ่งเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตของ “ความเป็นแม่”
เนื้อร้ายในกายเธอ
เมื่อเคทและทัลลี่แยกทางกัน หลังจากทัลลี่ประสบปัญหาด้านการงาน รายการถูกถอดออกจากผัง เธอได้รับการเสนอให้เป็นผู้สื่อข่าวรายงานภาวะโลกร้อน ซึ่งต้องเดินทางไปในหลายประเทศทั่วโลก ส่วนเคทใช้เวลาว่างเรียนต่อทำให้พบเจอเพื่อนใหม่ แต่ก็ไม่มีใครเข้ากับเธอได้เหมือนทัลลี่ เมื่อเธอตรวจพบมะเร็งเต้านม เธอคิดถึงทัลลี่จับใจ แต่ทัลลี่ทำงานในต่างประเทศที่การสื่อสารไม่ทั่วถึงและไม่สามารถติดต่อได้
เมื่อทัลลี่ทราบข่าวก็รีบกลับมาทันที ทัลลี่ดูแลอยู่เคียงข้างเคทไม่ห่าง รวมทั้งใช้ชื่อเสียงของเธอพยายามหาแพทย์มารักษา อาการของเคทดีขึ้นตามลำดับ จนถึงขั้นที่ต้องผ่าตัดหน้าอก ทำให้เคทเกิดความวิตกมาอีกครั้ง ประหนึ่งเหมือนเป็นการสูญเสียความเป็นผู้หญิง เคทเขียนหนังสือในระหว่างรักษาตัว โดยอ้างว่านี่คือเรื่องราวของตัวเองที่เขียนทิ้งไว้ให้ลูกสาว แต่แท้จริงแล้วการเป็นนักเขียนคือเป้าหมายที่เคทต้องการมาตลอดชีวิตและนี่คือสิ่งสุดท้ายที่เธออยากทำให้สำเร็จ
ในระหว่างนั้นเคทเห็นภาพทัลลี่และลูกสาวมีความสนิทสนมกันดี ความอิจฉาเริ่มผุดขึ้นมาอีกครั้ง แต่เป็นความอิจฉาในการยอมรับตัวเอง แม้มะเร็งเต้านมหาย แต่เชื้อมะเร็งลุกลามไปในส่วนอื่น ทำให้เคททรุดหนักและเสียชีวิตในที่สุด ก่อนเสียชีวิต เคทขอให้ตอนแรกในทอล์คโชว์รายการใหม่ของทัลลี่อุทิศให้แก่เธอ เคทขอให้ทัลลี่บอกรักผู้ประกาศข่าวชายที่ทัลลี่หลงรักมาตลอด และขอให้ทัลลี่ดูแลลูกสาวของเธอให้ดี
(ที่มา: https://www.glamour.com/story/firefly-lane-finale-sarah-chalke)
ในงานศพเคท ทัลลี่ร้องไห้ไม่เข้าไปร่วมงาน จอห์นนี่ยื่นกล่องสีดำให้ทัลลี่ เป็นกล่องที่เคทฝากไว้ให้กับทัลลี่ก่อนเสียชีวิต ในกล่องมีหนังสือ “Firefly Lane” ที่เคทเขียนไว้ก่อนตาย และมีจดหมายเขียนว่า “ฉันรู้ว่าเธอเข้าไปร่วมงานศพฉันไม่ได้...เธอไม่ใช่ดาวเด่นอะไรนักหรอก” (“I know you won’t be able to attend my funeral…you’re not the fucking star.”) พร้อมทั้งเขียนถึงช่วงเวลาแห่งความสุข ความเศร้า และสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในมิตรภาพของทั้งสอง
นอกจากนี้ยังมีไฟแช็คและกัญชาหนึ่งมวน พร้อมข้อความเขียนว่า “สูบฉันสิ” รูปภาพของ เดวิด แคสซิดี้ (David Cassidy) พร้อมข้อความเขียนว่า “จูบฉันสิ” และไอพอดพร้อมข้อความเขียนว่า “เปิดฉันฟังและเต้นสิ” ทัลลี่ใส่หูฟังและเปิด “Firefly Lane Mix” เพลงแรกคือเพลง “Dancing Queen” เพลงโปรดของทั้งคู่ตั้งแต่สมัยวัยรุ่น ทัลลี่ลุกขึ้นเต้นอยู่คนเดียวหน้าโบสถ์ อันเป็นบทสรุปสุดท้ายของเรื่อง
(ที่มา: https://decider.com/2023/04/27/firefly-lane-ending-explained-does-kate-die/)
ละครชุดเรื่อง Firefly Lane เป็นเรื่องราวมิตรภาพของผู้หญิงสองคนที่เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่วัยรุ่น โดยทั้งสองมีลักษณะแบบคู่ตรงข้าม เป็นการสร้างตัวละครหญิงซึ่งเป็นเพศเดียวกันให้มีลักษณะตรงข้ามกัน โดยตัวละครหญิงฝั่งหนึ่งเหนือกว่าตัวละครหญิงอีกฝั่งหนึ่ง ความเหนือกว่านี้อยู่ที่รูปลักษณ์ บทบาท และสถานภาพทางสังคม
อาจกล่าวได้ว่าทัลลี่มีสถานะเหนือกว่าเคทในทุกด้านและทุกมิติ แม้ว่าตัวละครทัลลี่จะมีประสบการณ์เลวร้ายในวัยรุ่น แต่เธอกลับแข็งแกร่งได้เพราะเคท และแม้ว่าตัวละครเคทจะมีบทบาทความเป็นแม่ที่สังคมเชิดชูให้เป็นสิ่งที่มีคุณค่าในชีวิตผู้หญิง แต่เธอกลับไม่มีความสุข
อันที่จริงละครชุดเรื่องนี้เล่าเรื่องมิตรภาพของทั้งสองในหลายมุมที่มีความน่ารักในลักษณะแบบฟีลกู๊ด แต่มีความเศร้าหลายอย่างที่ทำให้ผู้เขียนสะท้อนใจถึงสิ่งที่เคทต้องเผชิญ โดยเฉพาะในเวลาที่เคทแอบมองทัลลี่กับลูกสาวของเธอในช่วงที่กำลังรักษาตัว ดวงตาเธอเปี่ยมไปด้วยความเศร้าแต่กลับมีรอยยิ้มปลื้มปริ่มในใจ เคทมีความอิจฉามากมายเกาะกินใจ เสมือนเป็นมะเร็งร้ายที่ลุกลามในร่างกาย
ผู้เขียนไม่ทราบว่า คริสติน ฮันนาห์ นักเขียนหญิงชื่อดังที่เขียนนิยายเรื่องราวเกี่ยวกับผู้หญิงในยุคนี้ต้องการสื่ออะไร (หนังสือตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 2008) แต่การสร้างตัวละครหญิงที่แตกต่างกันสองขั้ว และตัวละครหญิงขั้วที่มีลักษณะรองกว่าอีกขั้วหนึ่งเป็นมะเร็งและเสียชีวิตไป ประหนึ่งเหมือนตัวละครหญิงขั้วที่รองกว่านั้นเป็นเนื้อร้ายและต้องตัดทิ้ง เหลือไว้แต่ขั้วที่เหนือกว่า
คริสติน ฮันนาห์ ได้เขียนหนังสือภาคต่อจาก Firefly Lane ชื่อว่า Fly Away เป็นเรื่องราวของทัลลี่ที่ต้องเลี้ยงดูลูกสาวของเคท โดยมีแม่ของทัลลี่มาช่วย เพื่อสานรอยร้าวภายในใจของทั้งสอง ทัลลี่ในหนังสือแตกต่างจากทัลลี่ในละครชุดที่ฉายทาง Netflix
ในหนังสือ ทัลลี่ไม่ได้หลงรักผู้ประกาศข่าวชายแต่อย่างใด หลังจากเคทตายไป ทัลลี่เข้ามาอยู่ในบ้านเคท เหมือนเป็นการมาสวมบทบาทแม่ และอาจสวมบทบาทภรรยาของจอห์นนี่แทนที่เคทด้วย เพราะในหนังสือมีหลายครั้งที่เคทไม่พอใจในความสัมพันธ์ของทัลลี่และจอห์นนี่ และต้องทะเลาะกันอยู่บ่อยครั้ง เสมือนเป็นการผลักผู้หญิงแบบเคทออก เพื่อนำผู้หญิงแบบทัลลี่เข้ามาแทน ราวกับว่าผู้หญิงแบบทัลลี่เหมาะสมต่อการเป็นแม่และภรรยามากกว่าผู้หญิงอย่างเคท
อย่างไรก็ตาม ความอิจฉาในที่นี้คือไม่พอใจที่คนอื่นได้ดีแต่ก็ยอมรับ ซึ่งไม่ใช่ความริษยาเมื่อเห็นคนอื่นได้ดีแล้วมันอดรนทนไม่ได้ ต้องเข้าไปขัดขวางด้วยความอาฆาตมาดร้าย และแสดงออกด้วยความรุนแรงเหมือนในละครไทยหลายเรื่องแต่อย่างใด เคทอิจฉา แต่ยอมรับทัลลี่ในทุกด้าน เคทกดความอิจฉาไว้ไม่ให้ออกมาทำลายความสัมพันธ์ของเธอทั้งสอง
ในฉากก่อนที่เคทจะเสียชีวิต ปรากฎภาพเคทสวมชุดกระโปรงยาวขี่ม้าไปในทุ่งหญ้าที่พลิ้วไหว ประหนึ่งเป็นการยอมปลดปล่อยตัวเองจากความเจ็บป่วย และยอมปลดปล่อยความอิจฉาที่เกาะกินใจเธอมานาน เพราะเคทรักทัลลี่ เธอทำหน้าที่เพื่อนที่คอยสนับสนุน หน้าที่ของผู้หญิงที่ผลักดันผู้หญิงด้วยกันให้ยืนหยัดได้อย่างมั่นคง
แม้ในสังคมแบบปิตาธิปไตย (patriarchy) ที่แวดล้อมด้วยอุดมการณ์ ที่ทำให้ผู้หญิงเสียเปรียบในสังคม แต่ผู้หญิงควรอยู่เคียงข้างกัน ดั่ง sisterhood กล่องสีดำเป็นตัวแทนของเคท หนังสือ Firefly Lane เป็นตัวแทนของสิ่งที่เธอใฝ่ฝันมาตลอดชีวิต สิ่งของต่าง ๆ คือความทรงจำ นั่นคือมิตรภาพของเธอทั้งสอง เคทฝากทุกอย่างในชีวิตไว้กับทัลลี่ แม้เคทจะจากไป แต่ความสัมพันธ์ของเธอทั้งคู่จะยังอยู่เสมอ ดังคำมั่นสัญญา “Firefly Lane Forever” เพราะ “เธอ” มีกันและกัน
โฆษณา