6 มิ.ย. 2023 เวลา 03:14 • ไลฟ์สไตล์
เวลาปฏิบัติธรรมภาวนา เราก็มุ่งมั่น สติให้อยู่กับคำภาวนา พยายามรักษากายให้นิ่ง จิตก็จะนิ่งตามกาย จิตของเราอาศัยอยู่ในเรือนกายของคุณบิดามารดา ที่ประกอบด้วยธาตุทั้งสองของคุณบิดามารดา มีขันธ์ทั้งห้า วิญญาณทั้งหก ..สิ่งที่ห้อมล้อมจิตอยู่ ..ล้วนเป็นอารมณ์ เผลอสติ นึกคิด..นั้นก็คืออารมณ์
จิตของเรามันอยู่ใต้อารมณ์ ปกคลุมไปด้วยความมืดมิด เป็นลักษณะของอวิชชา ที่จิตของเรามันจมอยู่ในบ่อโคลน เราจิตต้องสร้างสติของจิต ขึ้นมาให้แข็งแรงเสียก่อน ท่านบอกว่าอย่ารีบร้อน ..ฝึกหัดให้กายนิ่งจิตนิ่งให้ได้ ตรงนั้นแหละ ที่จะเกิดปัญญา เหมือนองค์พระสิทธัตถะ ที่ท่านนั่งอยู่โคนโพธิ์ โพธิ์เงินโพธิ์ทองเรืองรองด้วยแสงรัตนะ ทั้งกายทั้งจิต
เมื่อเรารีบร้อน ไปดูกายดูจิต เค้าก็ต้องทำให้รู้จักจิตของตัวเองเสียก่อน ที่ว่าจิตดวงเดียว เอกัตคตาจิต เมื่อจะฝึกหัด ก็ต้องนอบน้อมต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เหมือนกับบอกตัวเองว่า จิตของข้าพเจ้าอาศัยอยู่ในเรือนการของคุณบิดามารดา จิตของข้าพเจ้ามีพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสงฆ์อัครสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ..
..เรานำกายมานั่งอยู่ในรอยของผู้ที่มีธรรม เราก็สำรวจกายสำรวมจิต นั่งพับเพียบให้มันสง่าผ่าเผย ให้จิตมันเข้มแข็ง ที่จิตบังคับกายให้นิ่ง .ควบคุมวิญญาณทั้งหกให้อยู่นิ่ง ไม่ไหวไปตามอารมณ์ กายเราเหมือนต้นไม้ ..ใบไม้ก็เหมือนวิญญาณทั้งหก
..กายนิ่ง แต่ทำไมใบไม้ไหว เป็นเพราะอะไร ..เวทนาอะไร เกิดขึ้น ก็ไม่ต้องไปยึด ให้จิตมีสติอยู่ที่ลมหายใจเข้าออก จับลมเข้าออกให้ได้ มีสติขันติอยู่ที่ลมเข้าลมออก เพื่อให้สติของเราเข้มแข็งขึ้น จะได้เกิดเป็นสติของจิตเสียก่อน ..อย่าด่วนรีบร้อน จะเสียที่มาร .ก็คืออารมณ์ที่ปรุงแต่ง..ยึดจ้องมอง ยึดอารมณ์โดยไม่รู้ตัว ..จิตมันก็จมอยู่ตรงนั้น
1
ที่นำกายมานั่งนิ่ง จิตนิ่งเฉยๆก็เพื่อสลัดปลอดปล่อยอารมณ์กรรม ความโลภโกรธหลงออกไป ..จิตของเรามีปัญญามองเห็นความโลภโกรธหลงในตัวตนเองหรือ เรายังเป็นผู้มีกรรม ใช้อารมณ์โลภโกรธหลงอยู่ตลอดเวลา เค้าจึงให้มาพักกายพักจิต ยุติการใช้อารมณ์ ไม่นึกคิดอะไรเลย มีแต่คำว่าพุทโธ สองคำง่ายๆ
เราภาวนาพุทโธ..ให้จิตเข้าไปหาพระ ที่เราต้องสร้างคำว่า ขันติบารมีให้เกิดขึ้นแก่จิต เพราะชีวิตนี้ เราต้องผจญมาร มารผจญจิต ขาดขันติอดทน ก็เสียที่มาร ก็คืออารมณ์ที่เกิดในกายนี้ นำพาไปสร้างแต่กรรม ด้วยกายวาจาใจ โดยไม่รู้ตัวว่า สิ่งที่กำลังทำตามอารมณ์นั้นจะเกิดเป็นกรรม การคล้องเวรกรรมการยึดถือสิ่งที่มีชีวิตไม่มีชีวิตก็เนื่องด้วยอารมณ์ที่เกิดขึ้นในกายนำพาไป
อารมณ์..นำพาจิตไปหาความทุกข์ สุขที่แท้จริงของจิตไม่เกิดขึ้นได้เลย ..เป็นสุขของมายาไม่เที่ยงอะไรเลย จะเรียกว่า..เสพสุขแป็บเดียว ที่เค้าเรียกว่า กามารมณ์ทั้งหลายที่วนเวียนในวิญญาณทั้งหก .แล้วก็ทุกข์ยาวนาน
เรื่องวิญญาณทั้งหก นี่แหละที่ทำให้หลงใหล ยึดถือกามารมณ์ทั้งหลายที่เกิดขึ้น ..จากการสัมผัส เก็บบันทึก จดจำ การกระทำของตนเองไว้กับธาตุทั้งสี ที่ใช้กายวาจาใจ ไปตามอารมณ์กรรมของตนเอง ..แล้วเรารู้จักอารมณ์ของตนเองมั้ย..จิตที่ต้องวนเวียนอยู่คำว่า โลภโกรธหลง เดินอยู่ในเขาวงกต ..ออกจากเขานี้ไม่ได้เลย นั่นก็คือ ..การกระทำให้รู้จักคำว่าจิตดวงเดียว ให้ได้ ..แล้วเราจะมีความชัดเจน เรียนรู้จักเรื่องราวของอารมณ์ เป็นกรรมอย่างไร มีพิษอย่างไร ที่เราไม่รู้จักอารมณ์ ไม่รู้จักจิต ก็เพราะกรรมเค้าปิดบังอยู่
พระท่านเคยบอกว่า มาเรียนรู้ ธรรมขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วจะสนุก ..ที่มีรายละเอียดลึกลงไปถึงคำว่า อณู ปรมาณู .ท่านบอกว่า เราจะสนุกในการเรียนรู้ ธรรมโลกุตระขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าทำไมถึงยุติการเกิดได้
..เราดูจิต..เราอ่านจิตของตัวเองออกมั้ย ว่ากรรม นั้นมาจากไหน อารมณ์มาจากไหน บุญเป็นอย่างไร ทำไมต้องต้องสร้างคำว่า ทาน บุญกุศลบารมี กระทำไปเพื่ออะไร บุญกรรมนั้นมีการเก็บสะสมไว้ที่ไหน ..
โฆษณา