7 มิ.ย. 2023 เวลา 13:59 • ความคิดเห็น

ตัวเราในอนาคตมันคนละคนกับตัวเราในวันนี้ ตัวเราวันนี้ก็คนละคนกับเราในอดีต

เมื่อหลายปีก่อน ผมเคยโดนเพื่อนประถมยืนด่าบนเวทีในงานเลี้ยงรุ่นเล็กๆ ว่า มึงดังแล้วลืมเพื่อน ในตอนนั้นผมก็ได้แต่หน้าชา อยากจะเถียงเขามากๆ เลยว่าไม่ใช่เลย
ที่ไม่ค่อยได้ไปเจอเพื่อนประถมเพราะผมนั้นไม่ใช่เด็กตัวเล็กๆคนเดิมที่ถูกแกล้งแล้วต้องยอมเพื่อนอีกแล้ว เด็กคนนั้นไม่ใช่ผมในวันนี้ และที่ไม่ค่อยได้ไปก็เพราะไม่รู้จะคุยอะไร ไม่ได้เจอกันสามสี่สิบปี
หน้าตาก็ยังจำไม่ได้เลย ไปถึงเขาก็คุยแต่เรื่องในอดีตสี่สิบกว่าปีก่อนที่ผมจำไม่ได้บ้าง ความสำเร็จในงานกีฬาสีที่ผมไม่เคยได้มีส่วนร่วมบ้าง นานๆไปทีด้วยความเกรงใจ ยอมกัดฟันไปซักทีก็โดนยืนด่าแบบนั้น
เขาอาจจะเป็นเพราะยังเห็นผมเป็นเด็กคนเดิมที่แกล้งที่ด่ากันได้ง่ายๆเหมือนเดิมหรือคิดว่าผมคนเดิมดันดังมีชื่อเสียงแล้วหมั่นไส้ก็เป็นได้ หลังจากนั้นผมก็เลยไม่เคยไปร่วมอะไรกับเขาอีก
ผมฟัง Ted Talk ของคุณ Shankar Vendantam ในหัวข้อ You don’t actually know what you future self wants เขาเล่าถึงสามีภรรยาคู่หนึ่งที่แต่งงานกันเมื่อปี 1971 ทั้งคู่ยังอายุไม่เยอะ สามีทำงานเป็นโค้ชกีฬา
ส่วนภรรยาทำงานเป็นพยาบาลที่ต้องดูแลผู้ป่วยตามบ้าน และก็ได้เห็นคนแก่ที่เจ็บป่วยทรมานจำนวนมาก มีคุณภาพชีวิตที่แย่มากๆ จนต้องกลับมาบอกสามีว่า ถ้าเธอป่วยหนักจนดูจะรักษาไม่ได้ก็อยากให้สามีปล่อยเธอไป อย่าให้พยายามรักษาเธอให้มีชีวิตแต่ต้องทรมานเลย สามีก็รับปาก
ทั้งคู่มีชีวิตคู่ที่มีความสุขมาเรื่อยๆจนเข้าวัยใกล้เกษียณ ตัวภรรยาเริ่มมีอาการทางประสาทและไปตรวจพบโรค ALS ที่หมอบอกว่าเป็นอันตรายถึงชีวิตเพราะถึงจุดหนึ่งจะหายใจด้วยตัวเองไม่ได้
1
แถมโรคนี้รักษาไม่ได้ด้วย ตัวภรรยาก็ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่จนถึงเวลาที่หายใจจะไม่ได้แล้ว ตัวสามีก็พาภรรยาไปโรงพยาบาล หมอก็ถามภรรยาผู้ที่กำลังจะหายใจไม่ได้ว่าจะใช้เครื่องช่วยหายใจหรือไม่ ภรรยาก็ตกลง สามีก็งงๆเพราะเข้าใจมาตลอดว่าภรรยาไม่อยากอยู่แบบทรมานแต่อยากจะจากไปอย่างสงบมากกว่า
วันรุ่งขึ้นตัวสามีก็ถามว่าที่ยอมใช้เครื่องช่วยหายใจนี่เธอต้องการแบบนั้นจริงๆเหรอ ภรรยาก็ตอบว่าใช่…
ลองคิดดูว่าถ้าตอนที่ภรรยามาโรงพยาบาล ถ้าไม่ได้สติ สามีก็คงไม่ให้ใช้เครื่องช่วยหายใจเพราะเป็นคำสัญญากับภรรยาตอนที่ยังสาวๆ เป็นแน่ แต่ภรรยาตอนที่ยังสาวๆ ยังแข็งแรงนั้น เป็นคนละคนกับภรรยาที่กำลังป่วย การตัดสินใจตอนนั้นกับความรู้สึกตอนนี้ที่กำลังทรมานจากการหายใจไม่ได้จึงเป็นคนละคนกัน
2
ตัวเราในอดีตจึงไม่ใช่ตัวเราปัจจุบันอย่างแน่นอน…
2
คุณ Shankar บอกว่า ถ้าเรามองย้อนไปในอดีตจะเห็นเลยว่าตัวเราเองนั้นเปลี่ยนไปแค่ไหนอย่างชัดเจน แต่เวลาเรามองข้างหน้าเรามักจะคิดว่าเราจะเหมือนเดิม ทั้งๆ โลกมันเปลี่ยนแน่ๆ แล้วทำไมถึงจะคิดว่าเราจะเหมือนเดิม ก็เพราะว่ามองย้อนหลังเราเทียบกับตัวเราวันนี้ได้ แต่มองไปข้างหน้าคิดแค่ว่าเราจะแก่ขึ้นเท่านั้นเอง
1
ถ้าเราคิดได้ว่าเราในวันนี้กับตัวเราในอนาคตนั้นเป็นคนละคนกันแน่ๆ การแต่งงานว่าจะอยู่ด้วยกันจนวันตายก็เหมือนกับว่า เราไปสัญญาในสิ่งที่เราในอนาคตต้องรักษาซึ่งตัวเราในอนาคตอาจจะมีมุมมองเรื่องความสุข ความฝันคนละแบบกับเราตอนนี้ก็เป็นได้ ความคิดแบบนี้จึงน่าสนใจเวลาจะคิดจะทำอะไรในวันนี้มากๆ
1
ในระดับประเทศก็เช่นกัน เวลาผู้มีอำนาจออกกฎหมายใดๆ ถ้าไม่ได้มีจุดประสงค์แอบแฝง คนที่พยายามคิดพยายามทำก็จะคิดว่ามันดีกับสถานการณ์ตอนนี้แน่ๆ แต่กฎหมายหลายอย่างพอเวลาผ่านไปก็ไม่เหมาะกับประเทศซึ่งเป็นคนละคน บริบทก็จะต่างกับตอนนี้อย่างแน่นอน
มนุษย์เราชอบคิดว่าเรา Represent End of History และอนาคตจะเหมือนวันนี้ไม่มีอะไรเปลี่ยน เป็นกับดักความคิดที่ไม่ว่าฝ่ายที่ออกยุทธศาสตร์ชาติยาวๆ หรือแม้กระทั่งฝ่ายที่คิดจะแก้กฏหมายให้ทันสมัยในวันนี้ต้องเข้าใจด้วยเช่นกัน
เพราะถ้าเราล็อคตัวเองไว้กับวันนี้ ตัวเราในอนาคตจะโวยวายด้วยความโกรธแค้นได้ว่า เราวันนี้รู้ได้ยังไงว่าเราอนาคตต้องการอะไร ไม่ว่าในมุมปัจเจก มุมองค์กร หรือมุมประเทศก็น่าจะคล้ายกัน
ถ้าเรายอมรับได้ว่าตัวเราในอนาคตอีกยี่สิบปีสามสิบปีนี้จะเป็นคนละคนกันได้ สิ่งเราควรจะพยายามทำก็คือ การ Craft ตัวเราให้เป็นตัวที่เราอยากเป็น พยายาม Curate พยายามออกแบบตัวเราในอนาคต ใช้เวลากับคนเก่งๆ คนที่เราไม่คุ้นเพื่อเรียนรู้ ขยายขอบเขตความรู้ สร้างอยากรู้อยากเห็นเพื่อให้ตัวเราในอนาคตเก่งขึ้นกว่าตัวเราในวันนี้
1
ในมุมของคนรุ่นใหม่ที่มั่นใจอะไรมากๆ เราควรจะ Humility มีความอ่อนน้อมถ่อมตนต่อความคิดที่มั่นใจมากๆนั้นด้วย คุณ Shankar ยกตัวอย่างถึง คนที่มั่นใจมากๆ เป็นซีอีโอรุ่นใหม่เก่งมาก มีไอเดียดีๆเต็มไปหมด อยากจะเปลี่ยนแปลงบริษัทตัวเองแล้วอยากให้ไอเดียที่เขาคิดว่าเจ๋งมากนั้นอยู่ตลอดกาลโดยที่ไม่มีใครมาเปลี่ยนที่เขาตั้งใจสร้างไว้ได้อีก
ซึ่งเป็นมุมมองเดียวกันกับว่าตัวเราวันนี้คือตัวเราในอนาคต ซึ่งไม่จริงเลยถ้าเรามองถึงตัวเราเองในอดีตหรือประวัติศาสตร์มนุษย์ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
1
แล้วเราคิดว่าเราในอนาคตจะแย่และห่วยกว่าวันนี้รึเปล่า อาจจะจริงบ้างไม่ทั้งหมด เราอนาคตจะมีส่วนที่ดี ที่แข็งแรง ปัญญาที่เราไม่มีในวันนี้ ถ้าเราไม่มั่นใจในวันนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าในอนาคตเราจะไม่มี ความมั่นใจ ความกล้า ที่เราไม่มีในวันนี้ ตัวเราในอนาคตก็อาจจะมีก็ได้
ดังนั้นถ้าเราสามารถทำตัวเราวันนี้ให้อยากรู้อยากเห็น (Curious) ถ่อมตัว (Humility) และกล้าหาญ (Brave) ตัวเราในอนาคตก็น่าจะขอบคุณเราในวันนี้เวลามองกลับมาเช่นกัน
1
คุณ Shankar บอกไว้เช่นนั้น…
และถ้าใครเจอปัญหาหนักๆ ในวันนี้ ไซตามะแห่ง One Punch Man ก็เคยบอกไว้ตอนเจอปัญหากลุ้มใจหนักๆ แล้วไม่รู้จะทำยังไงไว้ว่า…
ปัญหาวันพรุ่งนี้ ก็ให้ตัวฉันวันพรุ่งนี้จัดการก็แล้วกัน
ไซตามะแห่ง One Punch Man
3
ก่อนไปชิลอย่างสบายใจเฉิบ ก็เป็นความคิดที่ไม่เลวเช่นกันนะครับ…
โฆษณา