8 มิ.ย. 2023 เวลา 01:33 • หุ้น & เศรษฐกิจ

🔎 [STOCK]🔎 ตลาดหุ้นไหนยังมีโอกาสเติบโต ในมุมมองนักเศรษฐศาสตร์ระดับโลก

Trader KP ได้มีโอกาสไปร่วมงาน Phillip Trading Symposium - Bangkok 2023 “Riding the Macroeconomic Headwinds” เมื่อกลางพฤษภาคมที่ผ่านมา
ต้องบอกเลยว่า งานนี้เป็นงานที่ไปแล้วคุ้มค่ามาก เพราะหลักทรัพย์ฟิลลิป ได้รวม Futures Exchanges ทั้งหมดที่ครอบคลุมทุกสินทรัพย์ทั่วโลก ทั้งยังเชิญนักเศรษฐศาสตร์คนดังอย่าง Eric Norland จาก CME Group ตลาดหลักทรัพย์อนุพันธ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกและผู้แทนจากตลาด Futures ชั้นนำอื่น ๆ ทั้ง JPX, ICE, SGX, APEX, Bursa รวมถึง Traders จากต่างประเทศมาให้มุมมองภาพใหญ่ในการลงทุนแต่ละประเทศที่น่าสนใจ
ก่อนจะสรุปเนื้อหาสำคัญ อยากเล่าให้ฟังถึง 6 ตลาด Futures ระดับโลกที่นักลงทุนตลาดอนุพันธ์ต้องรู้!
1️⃣ CME Group (NASDAQ: CME) ตลาดอนุพันธ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่เปิดโอกาสให้นักลงทุนสามารถทำกำไรได้จากตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลก (Global Trading) ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในชิคาโก สหรัฐอเมริกา จุดเด่นที่คนส่วนใหญ่มักรู้จักได้แก่ สินค้าการเกษตร, การเทรดน้ำมันบนตลาด Nymex, Gold Comex หรือ เทรดหุ้นชั้นนำของสหรัฐฯ อาทิ S&P500, Dow Jones หรือ Nasdaq, FX Futures และ Micro Cryptoucurrency ชั้นนำระดับโลก
2️⃣ Intercontinental Exchange (NYSE: ICE) บริษัทโฮลดิ้งสัญชาติอเมริกาที่มีผลิตภัณฑ์ครอบคลุมตั้งแต่ หุ้น ETF ตราสารหนี้และอนุพันธ์ พร้อมเป็นเจ้าของตลาดหุ้น 12 แห่ง รวมถึง NYSE นอกจากนี้ ICE ยังเป็นเจ้าของสำนักหักบัญชีกลาง 6 แห่งทั่วโลก จุดเด่นของบริษัทที่ทำให้คนส่วนใหญ่หันมาสนใจได้แก่การขายข้อมูลราคา Real Time ของหลักทรัพย์ต่าง ๆ ให้แก่บริษัทพัฒนาระบบซื้อขายหุ้น
1
3️⃣ Japan Exchange Group (TYO: 8697) หรือที่รู้จักกันในนาม JPX หรือ Nippon Torihikijo บริษัทโฮลดิ้งแลกเปลี่ยนตราสารสัญชาติญี่ปุ่นและตลาดหลักทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย เจ้าของกระดานเทรดตราสารทางการเงินที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นทั้ง 3 แห่งได้แก่ Tokyo Stock Exchange (TSE), Osaka Exchange (OSE), Tokyo Commodity Exchange (TOCOM) จุดที่ทำให้คนส่วนใหญ่สนใจได้แก่ Tokyo Electron, Nippon Suisan Kaisha, Fast Retailing, Sony, Mitsubishi และ Toyota Motor Corp
4️⃣ Singapore Exchange (SGX: S68) หรือที่รู้จักกันในนาม SGX ตลาดหลักทรัพย์สัญชาติสิงคโปร์ซึ่งครอบคลุมตราสารทุน ตราสารหนี้ และตราสารอนุพันธ์ อีกทั้งยังเป็นตลาดที่มีการซื้อขายหุ้นระหว่างประเทศมากที่สุดในเอเชีย จุดเด่นที่ทำให้คนส่วนใหญ่สนใจคือ การซื้อขายหุ้นธนาคารยักษ์ใหญ่ของสิงคโปร์ ได้แก่ DBS Group, OCBC Bank, UOB, Singtel, Sea Group และ Wilmar International
5️⃣ Asia Pacific Exchange (APEX) ตลาดการซื้อขายอนุพันธ์ที่ควบคุมโดย Monetary Authority of Singapore (MAS) ซึ่งเป็นกระดานเทรดแห่งที่ 3 ที่ได้รับใบอนุญาต “Approved Exchange” และ “Approved Clearing House” ในสิงคโปร์ จุดเด่นที่ทำให้คนส่วนใหญ่สนใจคือการเสนอผลิตภัณฑ์ Futures ที่ครอบคลุมทั้งผลิตภัณฑ์ทางการเงินและสินค้าโภคภัณฑ์
6️⃣ Bursa Malaysia Bhd (KLSE: BURSA) ตลาดหลักทรัพย์ของประเทศมาเลเซีย เป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในอาเซียน มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์และเคยเป็นที่รู้จักในชื่อตลาดหลักทรัพย์กัวลาลัมเปอร์ จุดเด่นที่ทำให้คนส่วนใหญ่สนใจได้แก่ อุตสาหกรรมและพฤติกรรมผู้บริโภคของมาเลเซียมีความคล้ายคลึงกับไทย ไม่ว่าจะเป็นปาล์มน้ำมัน ยางพารา รถยนต์ และอิเล็กทรอนิกส์
📌 มาถึง Highlights สำคัญที่เราได้ฟังจากงาน Phillip Trading Symposium - Bangkok 2023 ขอสรุปดังนี้
👉เศรษฐกิจโลกยังน่ากังวล
ด้วยผลกระทบจากการล้มของธนาคารในสหรัฐอเมริกาและยุโรป ความกังวลในการผิดนัดชำระหนี้ของพันธบัตรอเมริกา อัตราการว่างของอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์อย่าง Office และอัตราการว่างงาน
👉เศรษฐกิจถดถอยอาจเกิดซ้ำรอยอีกครั้ง
ตัวเลขสถิติที่น่าสนใจคือ เศรษฐกิจถดถอยมักจะเกิดขึ้น 14-17 เดือนหลังจากอัตราดอกเบี้ยขึ้นสู่จุดสูงสุด โดยนักวิเคราะห์แชร์ตัวเลขจากสถานการณ์ในปี 1989, 2000, 2006 และ 2018 ซึ่งถ้าเป็นไปตามประวัติศาสตร์ เราอาจจะเจอภาวะ Recession ในช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า
👉การขึ้นดอกเบี้ยของ FED น่าจะถูกหยุดหรือชะลอไว้ก่อน
การขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปเรื่อย ๆ อาจส่งผลให้เกิด Balance Sheet Loss กับธนาคารในสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยส่งผลให้ธนาคารเพิ่มความเข้มงวดมาตรการการปล่อยเงินกู้ รวมถึงความจำเป็นที่จะต้องคงสภาพคล่องในกรณีที่ผู้ฝากเกิดความกังวลจะถอนเงิน
👉 เศรษฐกิจของประเทศไทยมีแนวโน้มที่จะเติบโตขึ้นในครึ่งปีหลัง ด้วยปัจจัยต่อไปนี้
- การเติบโตของธุรกิจท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวจีนกำลังทยอยเข้าสู่ประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง
- ธนาคารแห่งประเทศไทยมีแนวโน้มที่จะชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงครึ่งปีหลัง รวมถึงการผลักดันด้านบริโภคภายในประเทศจากรัฐบาลชุดใหม่
- แนวโน้มการส่งออกที่น่าจะดีขึ้นจากปีที่แล้ว โดยเฉพาะจากประเทศจีน ด้วยการฟื้นตัวของประเทศจีนเองจะมีส่วนทำให้เกิดความต้องการสินค้าโภคภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น
👉 โอกาสในตลาดหุ้นไทยยังมีอยู่ เนื่องด้วยราคา SET ที่ต่ำลงอย่างมากจนเกือบถึงระดับ P/E ติดลบ 1SD
โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่น่าลงทุนยังคงเป็น Reopening theme อย่างการท่องเที่ยว และอุตสาหกรรมยานยนตร์และ EV
👉กระจายความเสี่ยงสู่ตลาดอาเซียน
เป็นทางเลือกที่ดีในสภาวะผันผวนของตลาดสหรัฐอเมริกาและยุโรป โดยจะเห็นได้ว่าต้นปี มีเม็ดเงินจากต่างชาติไหลเข้าตลาดอาเซียนค่อนข้างมาก และเมื่อเทียบ Valuation ของตลาดหุ้นในอาเซียนแล้ว ราคาหุ้นก็ค่อนข้างถูกกว่าตลาดอเมริกามาก นักวิเคราะห์หลายท่านเลยแนะนำให้เก็บพวก Defensive stock หรือบริษัทขนาดใหญ่ที่มีเสถียรภาพในการทำกำไร รวมถึงความสามารถในการจ่ายเงินปันผล ซึ่งมีหลายๆ บริษัทที่สามารถจ่ายเงินปันผลได้มากกว่า 3%
👉ตลาดหุ้นในเอเชียยังเป็นโอกาส
ญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในประเทศที่น่าสนใจ ด้วยเป็นตลาดที่มีบริษัทจดทะเบียนเยอะมากๆ และหลายบริษัทมีโอกาสในการเพิ่มผลกำไร รวมทั้งค่าเงินเยนที่อ่อนค่า สังเกตุได้จากปู่วอร์เรน บัฟเฟตต์ ได้เริ่มขยายพอร์ตมาที่หุ้นญี่ปุ่น
👉 Commodities และ ตลาด Futures เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการทำกำไร
สินทรัพย์ใดที่มีตลาด Futures แปลว่า สินทรัพย์นั้นมีสภาพคล่องสูง ซึ่งสภาพคล่องเป็นปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญที่สุดสำหรับเทรดเดอร์ในการทำกำไรและสามารถทำกำไรได้ทั้งขาขึ้นและขาลง
📌 การที่หลักทรัพย์ฟิลลิป สามารถรวมผู้แทนจากตลาด Futures ชั้นนำของโลก เข้ามาไว้ในที่เดียวกันแบบนี้เป็นประโยชน์ต่อนักลงทุนและเทรดเดอร์ไทยเป็นอย่างมาก
บทความนี้สนับสนุนโดย Phillip Global Markets ผู้ให้บริการลงทุนหุ้นและฟิวเจอร์สต่างประเทศนานกว่า 15 ปี มีจุดเด่นคือบริการ support 24 ช.ม. โดยเจ้าหน้าที่คนไทย สนใจโทร. 02-635-1717 หรือ Line: @phillipglobal (คลิก: https://lin.ee/q0bIxVg )
#TraderKP #Phillip #Futures
โฆษณา