Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
HistroTalk
•
ติดตาม
18 มิ.ย. 2023 เวลา 05:05 • ประวัติศาสตร์
พุทธ-ผี ทำไมถึงอยู่ร่วมกันได้ในสังคมไทย
ศาสนาแรกของประวัติศาสตร์มนุษย์ทุกพื้นที่บนโลกคือศาสนาผี เชื่อกันว่าปรากฏการณ์ทางธรรมชาติต่างๆที่มนุษย์ควบคุมไม่ได้ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นจากการกระทำของผีสางเทวดา
พื้นที่ประเทศไทยปัจจุบันก็เช่นเดียวกัน ก่อนการมาถึงของศาสนาพุทธเมื่อประมาณ ๒๐๐๐ ก่อน มนุษย์ในบริเวณนี้ก็นับถือผีมาก่อน ร่องรอยของศาสนาผียังสามารถพบเห็นได้ทั่วไปในปัจจุบัน เช่น ศาลพระภูมิ ศาลตายาย การกราบไหว้ต้นไม้ จอมปลวก การดูดวง ไพ่ทาโร่ สะเดาะเคราะห์ ฯลฯ รวมประเพณีต่างๆที่จัดขึ้นเพื่อเป็นการเอาใจผีสางเทวดาให้ดลบันดาลสิ่งที่มนุษย์ต้องการ
รูปที่ ๑ ไหว้ศาลพระภูมิเพราะเชื่อว่าจะช่วยปกปักษ์รักษา // รูปที่ ๒ บูชาจอมปลวกเพราะเชื่อว่าจะให้โชคลาภ // รูปที่ ๓ ประเพณีบุญบั้งไฟ เพื่อแจ้งเตือนให้เทวดาทำหน้าที่ของตนคือการดลบันดาลฝนให้ตก
ผีก็มีทั้งฝ่ายดีและฝ่ายไม่ผี ผีที่คนไทยให้การนับถือมากกว่าคือผีฝ่ายไม่ดีเพราะเชื่อว่าผีพวกนี้จ้องจะทำให้คนได้รับความเดือดร้อน ให้อยู่อย่างสุขสบายไม่ได้ จึงต้องเอาใจพวกผีนี้เยอะหน่อย เชื่อว่าผีมีอยู่ทุกหนแห่ง เช่น ในป่า ในต้นไม้ ในแม่น้ำลำธาร ในบ้านเรือนต่างๆ เป็นต้น
แม้คนบริเวณนี้รับศาสนาพุทธเข้ามาแล้วก็ไม่ใช่ว่าจะปฏิเสธการมีอยู่ของศาสนาผีอันเป็นศาสนาดั้งเดิมของตนเอง คนไทยนับถือทั้งสองความเชื่อนี้อย่างกลมกลืนจนแทบจะเป็นสิ่งเดียวกันแม้ว่าแนวทางของสองความเชื่อนี้จะแตกต่างกันอย่างสุดขั้วก็ตาม
ศาสนาพุทธสอนให้คนรู้จักใช้ปัญญาคิดด้วยเหตุและผล ในขณะที่ศาสนาผีเป็นเรื่องของความเชื่อมากกว่าการใช้ปัญญา แต่เป้าหมายของศาสนาพุทธคือการนิพพานซึ่งยากและใช้เวลานาน หลายชาติหลายภพ มันแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นแบบเฉพาะหน้าไม่ได้ ไม่ทันใจ
คนจึงยังคงต้องอาศัยผีอยู่เพราะเชื่อว่าผีจะช่วยแก้ปัญหาในปัจจุบันได้ เช่น อาการเจ็บไข้ได้ทุกข์และภัยอันตรายต่างๆที่กำลังประสบอยู่ หากพึ่งพุทธก็แล้วพึ่งผีก็แล้วแล้วก็ยังหมดหนทางแก้ไขก็มักจะโทษว่าเป็นเรื่องเวรกรรม เป็นการผสมผสานความเชื่อสองอย่างที่ต่างกันได้อย่างน่าทึ่ง
พุทธคือการลงทุนระยะยาว ประมาณว่าออมหุ้นไว้เพื่อใช้ในภายภาคหน้า ส่วนผีคือการลงทุนระยะสั้น ซื้อมาขายไปได้กำไรหรือขาดทุนก็เห็นผลกันรวดเร็วทันใจ
เมื่อคนได้รับความทุกข์เฉพาะหน้าก็มักจะโทษว่าเป็นการกระทำของผี ไม่ใช่กรรมอันหมายถึงการกระทำของตนเอง มักจะรีบไปอ้อนวอนผีสางเทวดาหรือไม่ก็ไปพึ่งพระให้พระท่านช่วยปัดเป่าความซวยให้
รูปที่ ๑ น้ำมนต์ที่เชื่อว่าจะล้างความซวยได้ ซึ่งไม่มีอยู่ในคำสอนของศาสนาพุทธ // รูปที่ ๒ การเจิมรถยนต์เพราะเชื่อว่าจะทำให้ขับขี่ปลอดภัย ทั้งๆที่จะขับขี่ปลอดภัยหรือไม่ล้วนขึ้นอยู่กับคนขับรถ ไม่ใช่ผีสาง
เมื่อคนเชื่อถืออย่างนี้กันมา ภาระก็ตกมาอยู่ที่พระ จะให้พระท่านบอกคนที่กำลังเดือดร้อนว่าเคราะห์ดีเคราะห์ร้ายล้วนแล้วแต่เกิดจากการกระทำของตนก็ไม่ได้ คนเขามาหาด้วยความทุกข์ร้อน ถ้าบอกอย่างนั้นเขาจะยิ่งขุ่นเคืองกันไปใหญ่ เมื่อเป็นเช่นนั้นพระก็ต้องเออออห่อหมกไปด้วย ก็ต้องสวดมนต์ ปลุกเสกของขลัง น้ำมนต์ ทั้งหมดก็ทำไปเพื่อให้ญาติโยมสบายใจ ทั้งๆที่น้ำมนต์ล้างซวยมันไม่มีอยู่ในศานาพุทธ
เมื่อทำกันอย่างนี้เป็นเวลานานเข้าสุดท้ายพิธีกรรมเหล่านี้ก็ฝังรากลึกอยู่ในความเชื่อของสังคมไทยไปในที่สุด และก็มีพระอลัชชีรวมถึงผู้ที่ตั้งตนว่าเป็นผู้วิเศษ ร่างทรง จำนวนไม่น้อยเลยที่ใช้ความทุกข์ร้อนของคนหาประโยชน์เข้ากระเป๋าตัวเอง เพราะฉะนั้นเราต้องใช้ปัญญาประกอบความเชื่อเหล่านีให้มาก
ในทางศาสนาพุทธเองก็ไม่ได้ปฏิเสธการมีอยู่ของผีสางเทวดา เพราะถ้าปฏิเสธก็จะเข้าใจไปนั่งในใจของคนที่นับถือผีมาก่อนไม่ได้ จึงใช้อุบายกับผีสางเทวดาเหล่านี้ให้เป็นตัวอย่างของกรรมดีกรรมชั่ว ทำกรรมดีก็ได้เป็นผีดี อยู่บนสวรรค์ เป็นเทวดาอะไรก็ว่าไป ทำกรรมชั่วก็ได้เป็นผีชั้นต่ำ อยู่ในนรก
ด้วยการปรับตัวเข้าหากันของทั้งสองความเชื่อ ทำให้สองความเชื่อนี้ไม่ขัดแย้งกันและกันในสายตาของคนที่นับถือ ความเชื่อที่แตกต่างกันสุดขั้นทั้งสองความเชื่อนี้ล้วนแต่เป็นที่พึ่งทางใจของคนที่นับถือไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เรียกได้ว่ามีทางเลือกที่จะทำให้ตนเองอุ่นใจที่แตกต่างกันไปในแต่ละสถานการณ์ พุทธ-ผี จึงอยู่ร่วมกันได้ในสังคมไทยเพราะเหตุผลนี้
เรียนรู้อดีต เพื่อเข้าใจปัจจุบัน
HistroTalk
ประวัติศาสตร์
ปรัชญา
3 บันทึก
5
1
5
3
5
1
5
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย