24 มิ.ย. 2023 เวลา 05:17 • ไลฟ์สไตล์

มาเขียนขอบคุณทุกวันกันเถอะ

เริ่มต้นจากที่ผมได้อ่านหนังสือแนวพัฒนาตัวเอง แล้วพบข้อแนะนำอันหนึ่งบ่อยมาก คือข้อแนะนำให้เราเขียนขอบคุณสิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิตเราในแต่ละวัน และส่วนใหญ่ก็จะแนะนำให้เขียน 3 ข้อก่อนนอน โดยเขียนลงไปในสมุดบันทึก
1
ใหม่ ๆ ก็รู้สึกเฉย ๆ ครับ อ่านแล้วก็ไม่ได้ทำตาม แต่พอเห็นบ่อยเข้า และยังมีงานวิจัยสนับสนุนว่ามันมีผลจริง ๆ ประกอบกับการเขียนขอบคุณก็ไม่ได้ต้องมีการลงทุนหรือใช้เวลามากมายนัก ผมก็เลยตัดสินใจเริ่มทำเมื่อ 2 ปีก่อน
1
ตอนใหม่ ๆ ยอมรับเลยครับว่า ไม่รู้ว่าจะขอบคุณอะไร เพราะส่วนใหญ่ในแต่ละวันมันก็เป็นวันธรรมดาวันหนึ่ง ตื่นเช้า เดินทางไปทำงาน ทำงาน กลับบ้าน เล่น Facebook นอน อะไรแบบนี้
แต่อยากจะบอกว่าเขียนไปเถอะครับ ไม่จำเป็นต้องเป็นอะไรใหญ่โต แบบได้เป็น CEO มีรายได้เป็นล้าน อะไรแบบนั้นเลย
1
ของผมแต่ละวันที่เขียน ส่วนใหญ่ก็จะเป็นอะไรง่าย ๆ เช่น
1
ขอบคุณที่ได้ดื่มกาแฟรสชาติดี (ก็รสชาติเดิม ๆ ที่ชอบนั่นแหละครับ)
ขอบคุณที่ได้จัดพอดแคสต์ (ซึ่งก็จัดเป็นประจำทุกวันอยู่แล้ว)
ขอบคุณที่ได้อ่านหนังสือ (ก็อีกนั่นแหละ อ่านอยู่แล้ว แต่ก็ชอบอ่าน)
1
จะเห็นว่าไม่มีอะไรยิ่งใหญ่แต่ประการใด นาน ๆ จะมาทีหนึ่ง ที่เป็นอะไรที่ใหญ่หน่อย เช่น ขอบคุณที่บทความได้รับการตีพิมพ์ อะไรทำนองนี้
1
เขียนแล้วรู้สึกอย่างไร
บอกเลยว่า ตอนแรก ๆ รู้สึกขัดเขินมาก ๆ เหมือนเรามาทำอะไรไร้สาระหรือเปล่าเนี่ย มาขอบคุณที่ได้ดื่มกาแฟเนี่ยนะ มันดูตลก แล้วบอกอีกเลยครับว่า เขียนเสร็จแล้ว ก็ไม่ได้รู้สึกแบบ โอ้โห มีความสุขจังเลย ไม่มีเลยครับ เขียนเสร็จก็จบแล้วจบกัน ไปนอนดีกว่า อะไรแบบนี้
1
และไม่ใช่แค่ตอนแรกนะครับ ทำมาเรื่อย ๆ ก็ไม่มีความรู้สึกว้าวอะไรเลย แต่ที่ยังทำอยู่เพราะคิดว่ามันก็ไม่ได้ใช้เวลานานอะไร เขียน ๆ ไปเถอะ แบบนั้นซะมากกว่า
2
แต่พอเราทำติด ๆ กัน ผมเริ่มมาตระหนักรู้ว่า เอ เหมือนกับว่าเราเปลี่ยนไปนะ คือมันเปลี่ยนไปแบบไม่รู้ตัว
2
คือบางทีมันเกิดเหตุการณ์ที่ถ้าเป็นแต่ก่อน เราจะต้องทุกข์หรือกังวลใจแน่ ๆ แต่ตอนนี้มันเฉย ๆ เลยล่ะ มันเหมือนว่าเรามองข้ามเรื่องนั้นไปด้วยซ้ำ หรือสังเกตว่าเรามีความสุุขกับสิ่งเล็ก ๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวันง่ายขึ้น
1
เอาตรง ๆ ผมไม่แน่ใจ 100% หรอกว่ามันคือผลของการเขียนขอบคุณ 3 ข้อก่อนนอนหรือเปล่า แต่นั่นคือกิจกรรมที่ผมทำมาตลอดในระยะหลัง ส่วนตัวผมว่าเกี่ยว
เกี่ยวอย่างไร ผมว่าการที่เราพยายามคิดหาสิ่งที่เราจะขอบคุณ 3 ข้อนั้น มันทำให้สมองเราไปโฟกัสกับสิ่งดี ๆ มากกว่าสิ่งที่ไม่ดี และเวลาเราไปโฟกัสกับสิ่งไหนมาก เราก็จะเห็นสิ่งนั้นมากโดยธรรมชาติ
1
ไม่เชื่อลองทำแบบนี้ดูตอนนี้เลยนะครับ ผมอยากให้มองรอบ ๆ ตัว แล้วพิจารณาดูมีอะไรที่เป็นสีแดงบ้าง เอ้า เริ่มเลยครับ...
1
เสร็จแล้วหลับตานะครับ (อ่านย่อหน้านี้จบแล้วหลับตาเลยครับ) แล้วลองบอกว่ามีอะไรที่เป็นสีแดงบ้าง
1
ลองทำเลยครับ...
ตอบได้ใช่ไหมครับ ผมเชื่อว่าตอบได้ไม่ยากเลย เสร็จแล้วอย่าเพิ่งมองไปรอบตัวนะครับ ให้หลับตาอีกรอบ แล้วลองตอบมาว่า มีอะไรที่เป็นสีเขียวบ้าง
1
คราวนี้เชื่อว่า เราจะตอบไม่ค่อยได้ เพราะเราไปโฟกัสเฉพาะสิ่งที่เป็นสีแดงมากกว่า
ความสุขกับความทุกข์ก็เหมือนกันครับ การที่เราโฟกัสสิ่งที่เราอยากขอบคุณในทุก ๆ วันมันทำให้เราจดจำความสุขได้ง่ายขึ้น และเราจะมองข้ามความทุกข์ต่าง ๆ ไป ดังนั้นในชีวิตประจำวันของเรา เราจึงมักจะเห็นความสุขได้ง่ายกว่า
1
จริง ๆ ความสุขกับความทุกข์มันอาจจะเกิดขึ้นเหมือนเดิมนั่นแหละครับ แต่เราดันจำความทุกข์ไม่ค่อยได้ เพราะเราไม่สนใจ แต่เราจำความสุขได้ นี่อาจจะเป็นเหตุผลประการหนึ่งที่ทำให้การเขียนขอบคุณของเราส่งผลทำให้เรามีความสุขได้ง่ายขึ้น หรือมีความทุกข์ได้ยากขึ้น
2
แถมท้าย เขาบอกว่าให้เขียนก่อนนอนนะครับ และขอเป็นสิ่งสุดท้ายก่อนปิดไฟเข้านอน อย่าเขียนแล้วไปเล่นมือถือต่อ อยากเล่นมือถือเล่นก่อน เสร็จแล้วค่อยเขียน แล้วเข้านอนทันที แบบนี้จะดีกว่า
1
ส่วนตัวผมทำแล้วมันดีจริง ๆ เลยไปบอกในพอดแคสต์ชวนคนอื่นทำ ปรากฏว่าหลายคนเริ่มทำกันแล้ว และก็ได้ผลกัน
1
เลยขอมาเขียนเล่าให้ฟังด้วย ผมไม่สามารถการันตีได้ว่ามันจะดีสำหรับทุกคน แต่ผมเห็นว่ามันไม่มีอะไรเสียหายที่จะลอง ถ้ามันไม่ได้เรื่องจริง ๆ ก็เลิกไปก็เท่านั้น
1
แต่อย่าเพิ่งคิดว่ามันจะดีมาก ๆ ตั้งแต่แรกเริ่ม อยากให้เขียนไปก่อน เขียนไปเรื่อย ๆ แล้วสักพักสังเกตตัวเองกันว่ามันเปลี่ยนไปในทางบวกอย่างที่ผมเจอไหม
1
ลองดูนะครับ ถ้ามันได้ผล อย่าลืมขอบคุณตัวเองที่เริ่มเขียนบันทึกขอบคุณล่ะครับ
1
โฆษณา