24 มิ.ย. 2023 เวลา 10:14 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์

[วิเคราะห์ก่อนดู] Barbie – โลกนี้ “ไม่ใช่” สีชมพู

บทความนี้ ผู้เขียนจะกล่าวถึงตุ๊กตาบาร์บี้ในแง่ประเด็นสังคม และเดาแนวทางของภาพยนตร์เรื่องบาร์บี้ที่กำกับโดย เกรต้า เกอร์วิค นั้นจะออกมาเป็นอย่างไร
“People generally hear ‘Barbie’ and think, ‘I know what that movie is going to be,’ and then they hear that Greta Gerwig is writing and directing it, and they’re like, ‘Oh, well, maybe I don’t...,”
Robbie told British Vogue.
บาร์บี้ (Barbie) ภาพยนตร์ตลกแฟนตาซี (fantasy comedy film) ที่กำลังจะเข้าฉายวันที่ 21 กรกฎาคมนี้ กำกับโดย เกรต้า เกอร์วิค (Greta Gerwig) ผู้กำกับหญิงอินดี้ที่มีผลงานอย่าง Lady Bird (ค.ศ. 2017) และ Little Women (ค.ศ. 2019) ร่วมเขียนบทกับ โนอาห์ เบาม์แบก (Noah Baumbach)
เกรต้า เกอร์วิค หยิบตุ๊กตาบาร์บี้ ที่มีข้อถกเถียงทางประเด็นสังคมมากมาย กับแรงบันดาลใจจากหนังสือ Reviving Ophelia: Saving the Selves of Adolescent Girls เขียนโดย แมรี่ ไพเฟอร์ (Mary Pipher) ในฐานะนักจิตวิทยาบำบัด กล่าวถึงกรณีศึกษาทางสังคมที่ส่งผลต่อการเติบโตของเด็กสาววัยรุ่น โดยมีนักแสดงแม่เหล็กอย่าง มาร์โก ร็อบบี (Margot Robbie) แสดงเป็น "บาร์บี้" และ ไรอัน กอสลิ่ง (Ryan Gosling) แสดงเป็น "เคน" อำนวยการสร้างโดย Warner Bros. Pictures ด้วยงบ 100,000,000 ดอลลาห์สหรัฐ (โดยประมาณ)
เกรต้า เกอร์วิค จะมาเล่าเรื่องตุ๊กตาบาร์บี้ "ของเล่นสำหรับเด็กผู้หญิง" นี่นะ ??
ของเล่น ไม่ใช่แค่เรื่องเล่น ๆ
ของเล่น (toy) แปลความตามแคมบริดจ์คือ an object that children play แปลตรง ๆ คือ ของที่เด็กเล่น อันที่จริง เด็ก ๆ สามารถนำสิ่งของรอบกายที่หยิบจับได้มาเป็นของเล่นได้หมด เช่น การนำกล่องกระดาษมาทำเป็นป้อมปราการ การนำไม้ไอติมมาต่อกันเป็นบ้าน การเอาดินมาปั้นเป็นรูปร่างต่าง ๆ การเอาหนังยางมาเป่าแข่งกัน เป็นต้น แล้วแต่ความคิดสร้างสรรค์ของเด็ก
ของเล่นมีหลายประเภททั้ง การเล่นแบบจินตนาการ (Imaginative Play) การเล่นผจญภัย (Adventure Play) การเล่นกับภารกิจ (Play with a Mission) ของเล่นจึงเป็นสิ่งที่เสริมสร้างพัฒนาการของเด็ก
ส่วนของเล่น ตามทัศนะของ โรล็องด์ บาร์ตส์ (Roland Barthes) นักทฤษฎีและนักวิพากษ์วรรณกรรมชาวฝรั่งเศส ผู้เชี่ยวชาญด้านมายาคติ (Mythologies) ซึ่งเป็นทฤษฎีที่ใช้ในการศึกษาวิเคราะห์การสื่อความหมายของปรากฏการณ์ต่าง ๆ ในสังคม กล่าวว่า ของเล่นถูกออกแบบตามความเข้าใจของผู้ใหญ่และการตลาด คือการจำลองโลกเล็ก ๆ ของผู้ใหญ่ (microcosm of the adult world) สิ่งที่ผู้ใหญ่มี และใช้ในชีวิตประจำวัน แต่ย่อให้มีขนาดเล็กลง เพื่อใช้กำหนดบทบาทและหน้าที่รับผิดชอบของเด็กเมื่อเติบโตขึ้น
โดยจำแนกของเล่นตามบทบาททางเพศ เช่น เด็กผู้ชายต้องเล่นปืน เพื่อกำหนดบทบาทว่า เมื่อเติบใหญ่ผู้ชายต้องกล้าหาญ จับปืนเป็นตำรวจหรือทหาร ต่อสู้เพื่อประเทศชาติ ส่วนเด็กผู้หญิงต้องเล่นตุ๊กตาเด็ก (baby doll) เพื่อกำหนดบทบาทว่า เมื่อโตขึ้นเป็นผู้หญิงต้องเป็นคุณแม่เลี้ยงลูกอยู่บ้าน เป็นต้น เพราะฉะนั้น ของเล่นคือสิ่งกำหนดบทบาททางสังคมให้เด็ก เพื่อปูทางต่อไปในอนาคต
ในด้าน ฌ็อง-ปอล ซาทร์ (Jean-Paul Sartre) นักเขียนนวนิยายและนักปรัชญาแนวคิดอัตถิภาวนิยม (Existentialism) ชาวฝรั่งเศส ได้แสดงทัศนะเพิ่มเติมว่า ของเล่นมีพลังมากกว่านั้น เพราะ ของเล่น คือการสร้างความเข้าใจความหมายของชีวิตให้กับเด็ก ชีวิตคืออะไร การเล่นของเล่นทำให้เด็กเรียนรู้ชีวิต นั่นหมายถึง ชีวิตคือสงคราม ชีวิตคือการเลี้ยงลูก เพราะฉะนั้น การออกแบบของเล่น คือการออกแบบสังคม การออกแบบชีวิต หรือแม้กระทั่งเป็นการออกแบบความจริงของการดำรงชีวิตอยู่ (existential truth)
ตุ๊กตาบาร์บี้
ตุ๊กตาบาร์บี้ กำเนิดขึ้นโดย รูธ แฮนด์เลอร์ (Ruth Handler) ผู้ร่วมกับสามีก่อตั้งบริษัทผลิตของเล่นแมทเทล (Mattel) ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1945 ในขณะนั้นเด็กผู้หญิงเล่นกับตุ๊กตาเด็ก (baby doll) เมื่อรูธเห็นลูกสาวทิ้งตุ๊กตาเด็กไปเล่นกับตุ๊กตากระดาษผู้หญิง เธอจึงเห็นช่องว่างแห่งวัย ก่อนเด็กจะเปลี่ยนบทบาทเป็นคุณแม่เลี้ยงลูก ต้องเป็นเด็กสาวก่อน เธอจึงนำตุ๊กตา “ลิลลิ” (Lilli) นำเข้ามาจากประเทศเยอรมันนี
ดั้งเดิม ลิลลิ เป็นตัวละคร “ผู้หญิงที่ให้บริการทางเพศชั้นสูง” (“a high-class call girl”) ในการ์ตูนช่องของนิตยสารฉบับหนึ่ง ต่อมาได้นำมาสร้างเป็นตุ๊กตาที่ถูกขายให้เด็กเพื่อเป็นของเล่น และผู้ใหญ่เพื่อเป็นของขวัญเอาฮาปลุกใจทางเพศให้กับผู้ชาย (a raunchy gag gift for adult men)
รูธนำตุ๊กตาลิลลิมาออกแบบใหม่ และออกขายสู่ตลาดในประเทศอเมริกาครั้งแรกในปี ค.ศ. 1959 โดยอธิบายว่าเป็น “ตุ๊กตาวัยรุ่นนางแบบแฟชั่น” (teen-age fashion-model) ตั้งชื่อว่า “บาร์บี้” ตามชื่อลูกสาวของเธอ บาบาร่า (Barbara) จากนั้นได้สร้างตุ๊กตาผู้ชายขึ้นมาในปี ค.ศ. 1961 ชื่อว่า “เคน” ตามชื่อลูกชาย เคนเนทธ์ (Kenneth)
โดยมีเสื้อผ้า เครื่องประดับมากมายให้เลือกสรร ต่อมามีการเสริมเครื่องแต่งกายตามอาชีพต่าง ๆ เพื่อให้เด็กได้สนุกไปกับการแต่งตัวไปทำงาน ทั้งนี้ ก็เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้เด็กผู้หญิงเลือกเส้นทางอาชีพที่หลากหลาย และเสริมบ้านตุ๊กตา เพื่อให้เด็กผู้หญิงได้ตกแต่งบ้านดั่งใจฝัน ตุ๊กตาบาร์บี้กลายเป็นของเล่นที่ได้รับความนิยมมากทั้งในประเทศอเมริกาและประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกมาจนถึงปัจจุบัน
https://www.invaluable.com/blog/wp-content/uploads/sites/77/2018/09/barbie-number-1.jpg
จากทัศนะของ โรล็องด์ บาร์ตส์ และ ฌ็อง-ปอล ซาทร์ อาจกล่าวได้ว่า ตุ๊กตาบาร์บี้จัดอยู่ในหมวดของเล่นแบบจินตนาการที่ผู้ใหญ่ จำลองย่อส่วนผู้หญิง ให้เด็กได้ครอบครอง เพลิดเพลินไปกับการแต่งตัว แต่งหน้า ทำผม ซึ่งเป็นการสร้างทักษะให้กับเด็กผู้หญิงเรียนรู้ “การเสริมสวย” และ “ความงาม” อันเป็นความงามที่ผู้ใหญ่หรือสังคมหยิบยื่นให้
การปลูกฝังค่านิยมความงามแบบบาร์บี้ส่งผลต่อทุกคน ทุกสังคม ทุกเชื้อชาติ ทุกเพศ และทุกวัย โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กผู้หญิงจนถึงเด็กสาววัยรุ่น และกลายเป็นประเด็นถกเถียงทางสังคมมากมาย ทั้ง ด้านรูปลักษณ์ (physical appearance) และรูปแบบการใช้ชีวิต (lifestyle)
ในด้านรูปลักษณ์ (physical appearance) หลายคนตั้งคำถามถึงลักษณะสัดส่วนรูปร่างตุ๊กตาบาร์บี้ หุ่นรูปนาฬิกาทราย (hourglass figure) ผอม สูง ขายาว ทรวดทรงองเอวเล็กขอด หน้าอกใหญ่ ริมฝีปากอิ่มเอิบ ผมสลวยสวยอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเป็นรูปลักษณ์ทางร่างกายที่ไม่สมจริง (unrealistic body image) แต่กลับกลายเป็นมาตรฐานความงามของผู้หญิง โดยเฉพาะนางงามหรือนางแบบ
ตุ๊กตาเคนหนุ่มข้างกายบาร์บี้ก็เช่นกัน หลายสำนักอธิบายว่า เคน คือหนุ่มหล่อไร้ที่ติ (A flawlessly handsome young man) มีรูปลักษณ์ ผอม สูง บึกบึน กล้ามเป็นมัด และกลายเป็นมาตรฐานความงามของผู้ชายด้วย
ค่านิยมความงามด้านรูปลักษณ์แบบบาร์บี้และเคน ส่งผลให้หลายคนอยากมีสัดส่วนเช่นนี้ จนเป็นโรค Body dysmorphic disorder (BDD) คือ โรคคิดหมกมุ่นกับรูปลักษณ์ของตัวเอง เกิดจากการให้คุณค่าหรือมีความคาดหวังในเรื่องรูปลักษณ์ของตนเองจนมากเกินไป และไม่สามารถยอมรับรูปลักษณ์ของตนเองที่เป็นอยู่ในปัจจุบันได้
BDD นำไปสู่ความแปรปรวน เกี่ยวกับการกิน หรือการอดอาหาร (Eating Disorders) อาจกลายเป็นโรคอะนอเร็คซิค (Anorexic) หลายคนยังหมกมุ่นกับการทำศัลยกรรม จนเชื่อมโยงตัวเองให้มีลักษณะคล้ายหรือพยายามเหมือนตุ๊กตาบาร์บี้และเคน
ยกตัวอย่างเช่น Valeria Lukyanova นางแบบชาวยูเครน สร้างรูปลักษณ์ตัวเองให้เหมือนตุ๊กตาบาร์บี้ โดยอ้างว่าทำศัลยกรรมเสริมหน้าอกเพียงอย่างเดียว
Lacey Wildd นักแสดงรายการทีวีเรียลลิตี้ ทำศัลยกรรมมาแล้ว 36 ครั้ง เฉพาะการเสริมหน้าอกทั้งหมด 12 ครั้ง เธอกล่าวว่า “ฉันอยากเป็นบาร์บี้ผู้ใหญ่ แบบบาร์บี้สุดโต่ง” เธอถูกขนานนามว่า "Million Dollar Barbie"
และ Justin Jedlica ทำศัลยกรรมแปรเปลี่ยนตัวเองให้เป็น “มนุษย์เคน” เป็นต้น การเชื่อมโยงตัวเองกับบาร์บี้เช่นนี้ กลายเป็นปรากฎการณ์ทางสังคมที่เรียกว่า "Barbie syndrome"
Valeria Lukyanova – Wikipedia
Lacey Wildd – The Irish Sun
Justin Jedlica - nzherald.co.nz
"Barbie syndrome" ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อค่านิยมความงามในด้านรูปลักษณ์ของผู้หญิง ด้านรูปแบบการใช้ชีวิต (lifestyle) ของบาร์บี้ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์เป็นอย่างมาก บาร์บี้ถือเป็นแบบอย่างของการใช้ชีวิตแบบ “บริโภคนิยม” (Consumerism) ไลฟ์สไตล์ของบาร์บี้บอกเป็นนัยว่า ความสุขมาจากวัตถุที่มีราคาแพงจำนวนมากที่รายล้อม ผู้หญิงต้อง “สวย” “รวย” และ “สนุกสนาน” อยู่ตลอดเวลา ตัวอย่างของผู้หญิงที่มีรูปลักษณ์และการใช้ชีวิตแบบบาร์บี้ที่เห็นได้ชัดเจนคือ แพรีส ฮิลตัน (Paris Hilton)
https://luxurylaunches.com/celebrities/paris-hilton-pink-bentley-in-la.php
นอกจากนี้ยังมีประเด็นในเรื่องความแตกต่างทางเชื้อชาติและวัฒนธรรม เพราะตุ๊กตาบาร์บี้มีลักษณะผิวขาว ผมบลอนด์ อีกทั้งเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายไม่เหมาะสม และไม่สอดคล้องกับประเพณีของสังคมอื่น ๆ
จากประเด็นทางสังคมหลายอย่างที่โจมตีตุ๊กตาบาร์บี้ ทางแมทเทลพยายามปรับปรุงแก้ไข จนตอนนี้ตุ๊กตาบาร์บี้มีสีผิวทั้งหมด 22 สี สีผม 94 สี ดวงตา 13 สี และ 5 รูปร่าง ทั้งนี้ก็เพื่อสร้างความเข้าใจทางด้านความหลากหลายของผู้หญิงในสังคมให้กับเด็ก
อย่างไรก็ตาม ของเล่นถือเป็นสิ่งแรก ๆ ที่ทำให้เด็กได้เรียนรู้และเข้าใจความหมายของชีวิต อีกทั้งยังเป็นสิ่งที่สร้างทักษะ สร้างความหลงใหลให้กับเด็กว่า จะชอบอะไร และจะเลือกทางเดินอย่างไรต่อไปในอนาคต เสมือนเป็นการอบรมบ่มเพาะเด็กอีกทางหนึ่ง
เท่ากับว่า หากเด็กผู้หญิงชื่นชอบความงามแบบตุ๊กตาบาร์บี้ และเปลี่ยนจากความชื่นชอบเป็นความหลงใหล และแปรเปลี่ยนความหลงใหลกลายเป็นความหมกมุ่น ก็อาจทำให้เด็กยึดเอาตุ๊กตาบาร์บี้เป็นอัตลักษณ์ และความหมายในการดำรงชีวิตของตัวเองได้ และหากเด็กให้ความสำคัญกับ “ความงาม” เช่นนี้ ก็อาจทำให้เด็กนำไปเปรียบเทียบกับตัวเอง และประเมินคุณค่าของตัวเองต่ำ (low self-esteem) หรืออาจมองไม่เห็นคุณค่าของตัวเอง
ในหนังสือ Reviving Ophelia: Saving the Selves of Adolescent Girls ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1994 เขียนโดย แมรี่ ไพเฟอร์ (Mary Pipher) หนังสือที่สร้างแรงบันดาลใจให้เกรต้าหยิบยกนำมาใช้ในการเขียนบทภาพยนตร์เรื่องบาร์บี้ กล่าวถึงผลกระทบของแรงกดดันทางสังคมที่มีต่อเด็กสาววัยรุ่นชาวอเมริกัน และใช้กรณีศึกษามากมายจากประสบการณ์ของผู้เขียนในฐานะนักจิตวิทยาบำบัด แมรี่กล่าวว่า “ตลอดอาชีพนักบำบัด เธอยังไม่เคยพบว่ามีเด็กสาวคนไหนพึงพอใจกับรูปร่างของตัวเอง”
“In all the years I’ve been a therapist, I’ve yet to meet a girl who likes her body.”
– Mary Pipher, PhD, clinical psychologist (Howard Fischer, The Barbie doll syndrome)
ภาพยนตร์เรื่อง Barbie
บาร์บี้ถูกนำมาสร้างเป็นซีรีส์และภาพยนตร์แอนิเมชันมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ โดยใช้คนแสดง (live-action) กำกับโดย เกรต้า เกอร์วิค (Greta Gerwig) นักแสดง นักเขียนบท และผู้กำกับชาวอเมริกัน ผู้กำกับภาพยนตร์อิสระ หรือที่เรียกกันว่าหนังอินดี้
เธอมีผลงานภาพยนตร์ที่เล่าเรื่องชีวิตของเด็กสาว อย่าง Lady Bird (ค.ศ. 2017) และ Little Women (ค.ศ. 2019) มาแล้ว กล่าวได้ว่า เกรต้า เป็นนักเขียนบทและผู้กำกับที่เข้าใจประเด็นเรื่องเด็กสาว และถ่ายทอดออกมาได้อย่างดี
  • Lady Bird (2017) เป็นภาพยนตร์ที่อิงมาจากเรื่องราวของตัวเกรต้าในช่วงวัยรุ่น โดยเน้นไปที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครเอก คริสติน กับแม่ของเธอ เธอเรียนอยู่ในโรงเรียนคาทอลิกและใฝ่ฝันอยากเข้ามหาวิทยาลัยชื่อดังที่ตั้งอยู่ “ในเมืองแห่งวัฒนธรรม” ("a city with culture”) ด้วยสถานะทางการเงินของครอบครัวที่ไม่ค่อยจะดีนัก แม่เธอไม่เชื่อว่าเธอจะไปได้ดี การโต้เถียงเกิดขึ้นบนรถยนตร์ เธอจึงกระโดดลงจากรถและแขนหัก อันเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องในการค้นหาตัวตนและต่อสู้ในสิ่งที่ใฝ่ฝัน
  • Little Women (2019) เป็นภาพยนตร์ดัดแปลงมาจากวรรณกรรมชื่อดังในชื่อเดียวกัน ตีพิมพ์ ค.ศ. 1868 เรื่องราวชีวิตของสี่สาวตระกูลมาร์ช ในยุคศตวรรษที่ 19 ยุควิกตอเรียที่บทบาททางเพศของหญิงและชายถูกแบ่งออกอย่างชัดเจน สี่สาวใช้ชีวิตอยู่กับแม่ในบ้าน ข้างบ้านมีคฤหาสน์ของ Laurie หนุ่มหล่อที่เข้ามาสร้างสีสันให้ชีวิตของพวกเธอ และกลายเป็นชนวนสำคัญที่สร้างรอยร้าวระหว่างพี่น้อง ก่อนสาวบ้านมาร์ชต้องแยกย้ายกันไปใช้ชีวิต เรื่องราวมุ่งเน้นไปที่ตัวละคร โจ มาร์ช ที่พยายามตีพิมพ์งานเขียนของตัวเอง แต่กลับพบอุสรรคหลายอย่าง
เกรต้า ร่วมเขียนบทกับ โนอาห์ เบาม์แบก สามีของเธอที่ฝากผลงานบทภาพยนตร์อย่าง Marriage Story เมื่อทางทีมโปรดักชั่นเสนอไอเดียกับบริษัทแมทเทล ได้อธิบายว่า ต้องการฉลองครบรอบ 60 ปีของบริษัท และต้องการจะปรับทัศนคติของคนที่มองตุ๊กตาบาร์บี้ในแง่ลบด้วย โดยได้ทาบทามสองนักแสดงชื่อดังมาสวมบทบาทเป็นตัวละครเอกของเรื่องอย่าง มาร์โก ร็อบบี, ไรอัน กอสลิ่ง และนักแสดงชื่อดังอีกมากมาย รายชื่อนักแสดง IMDB
มาร์โก ร็อบบี เป็นนักแสดงที่ผ่านมาแล้วหลายบทบาท ไม่ได้จำกัดในแบบเดิม ๆ และไม่ได้มีภาพจำในแบบบาร์บี้ ผลงานเด่น ๆ เช่น The Wolf of Wall Street (2013), I, Tonya (2017) ฯลฯ ทุกคนรู้จักกันดีในบท แฮร์ลีย์ ควินน์ (Harley Quinn)
ส่วน ไรอัน กอสลิ่ง ก็เช่นกัน ผลงานที่ผ่านมา อย่างเช่น Blue Valentine (2010), Drive (2011), La La Land (2016) และ Blade Runner 2049 (2017) ฯลฯ ไรอันมักจะสวมบทบาทคนที่มีบุคลิกสุขุม นิ่ง เงียบ พูดน้อย มีปมเศร้าในใจ ไม่ค่อยจะปรากฎภาพลัลลาแบบเคน
Warner Bros.
Warner Bros.
มาร์โก เผยกับทาง Vogue ว่า เพื่อการเข้าถึงตัวละครบาร์บี้ เกรต้าแนะนำให้เธอฟังรายการเสียงที่เผยเพร่ผ่านทางออนไลน์ (podcast) “This American Life” ตอนที่หญิงคนหนึ่งไม่เข้าใจความรู้สึกข้างในของตัวเอง มาร์โกกล่าวว่า “คุณเข้าใจว่ามีเสียงอยู่ในหัวคุณใช่ไหม แต่ผู้หญิงคนนี้ไม่มี” นั่นทำให้ผู้เขียนนึกถึงเพลง Barbie Girl โดยศิลปินวง อควา ผู้เขียนยกเนื้อเพลงมาเพียงบางส่วน
I'm a Barbie girl, in the Barbie world
Life in plastic, it's fantastic
You can brush my hair, undress me everywhere
Imagination, life is your creation
I'm a blonde bimbo girl in a fantasy world
Dress me up, make it tight, I'm your dolly
You're my doll, rock'n'roll, feel the glamour in pink
Kiss me here, touch me there, hanky panky
You can touch
You can play
If you say, "I'm always yours"
Make me walk, make me talk, do whatever you please
I can act like a star, I can beg on my knees
Come jump in, bimbo friend, let us do it again
Hit the town, fool around, let's go party
เนื้อเพลงบ่งบอกว่า บาร์บี้เป็นแค่ตุ๊กตา เธอทำมาจากพลาสติก เธอสนุกสนาน พร้อมจะปาร์ตี้ และเธอพร้อมจะเป็น “ผู้ถูกกระทำ” โดยเฉพาะท่อนที่ว่า “เปลื้องผ้าฉันได้ทุกที่” และที่น่าตกใจคือ I'm a blonde bimbo girl in a fantasy world "ฉันคือสาวผมบลอนด์สวยแต่ไร้สมองในโลกแห่งจินตนาการ" บาร์บี้เป็นแค่พลาสติกที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อความสวยงาม ความสนุกสนาน แต่กลับ “มองไม่เห็นคุณค่าของตัวเอง”
อย่างไรก็ตาม เมื่อนำเนื้อเพลงไปเชื่อมโยงกับสิ่งที่มาร์โก้กล่าว เกรต้ามองว่า บาร์บี้ไม่มีเสียงในหัว ไม่เข้าใจความรู้สึกข้างในของตัวเอง ไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร และ รู้สึกไร้ตัวตน
ตอนนี้เราเข้าใจความหมายของเล่น ความเป็นมาของตุ๊กตาบาร์บี้ ประเด็นสังคมที่วิพากษ์วิจารณ์บาร์บี้ และแนวทางภาพยนตร์ของ เกรต้า เกอร์วิค ต่อไปเราไปดูกันว่าสิ่งที่ภาพยนตร์เผยออกมาให้เห็นก่อนออกฉายนั้นมีอะไรบ้าง และสร้างความคาดหวังอย่างไร
หน้าหนัง "โลกนี้สีชมพู"
[หน้าหนัง คือ ... คำว่า "หน้าหนัง" ไม่มีบัญญัติในพจนานุกรม แต่เป็นคำที่ผู้เขียนและชาวดูหนังหลาย ๆ คน น่าจะใช้กัน เพื่ออธิบายถึง ... ภาพจากภาพยนตร์เรื่องใดเรื่องหนึ่งที่ปรากฎ และส่งผลต่อความรู้สึกหรือความคาดหวังต่อผู้ชมในเรื่องนั้น ๆ เช่น ภาพโปสเตอร์ หรือ ตัวอย่างภาพยนตร์]
Warner Bros.
โปสเตอร์สีชมพู๊ชมพูแบบ hot pink หรือหลายคนมักจะเรียกว่า “barbie hot pink" เพราะเป็นสีที่อยู่เคียงคู่กับตุ๊กตาบาร์บี้เสมอ หากกล่าวตามทฤษฎีสี hot pink อยู่ในวรรณะสีร้อน (warm tone) มีรากฐานมาจากสีแดงปริมาณมาก ผสมสีขาวในปริมาณน้อย หากกล่าวถึงความหมายตามจิตวิทยา สีแดง หมายถึง ความรักและความลุ่มหลง ผสมกับ สีขาว หมายถึง ความสงบและความบริสุทธิ์ สีชมพูจึงมีสองความหมายผนวกกัน
สี hot pink ให้ความรู้สึกถึง ความสดใส (freshness) มีพลัง (energetic) เป็นตัวของตัวเองไม่แคร์ใคร (fearless whimsy) ชอบเข้าสังคม (extreme sociability) เปี่ยมไปด้วยความร่าเริง (powerful playfulness) มักนำไปใช้กับเด็กน้อยไร้เดียงสา ผู้ใหญ่ที่มีบุคลิกเหมือนเด็ก คนที่มีนิสัยเกี้ยวพาราสี
นอกจากนี้สี hot pink ยังบ่งบอกถึงความเป็นผู้หญิง (femininity) มักจะนำมาใช้เชื่อมโยงกับเด็กสาว หรือผู้หญิงที่ไร้เดียงสา และในหลายครั้งยังถูกนำไปเชื่อมโยงกับเด็กสาวที่มีความบริสุทธิ์ทางกายและใจ (virgin in heart and body) หรือถูกนำไปใช้เพื่อสื่อถึงความบริสุทธิ์ของเด็กสาว
อย่างไรก็ตาม ความหมายของสีนั้นขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมในแต่ละสังคม ซึ่งต่างวัฒนธรรมก็ต่างสื่อความหมายต่างกันไป ในที่นี้ Barbie คือ ภาพยนตร์จากอเมริกา และเป็นภาพยนตร์ที่กล่าวถึงตุ๊กตาบาร์บี้ ซึ่งเป็นของเล่นสำหรับเด็กผู้หญิง โปสเตอร์จึงสามารถแปลความหมายได้ว่า ภาพยนตร์แสดงความเป็นผู้หญิง "เด็กสาวไร้เดียงสา" น่าจะเหมาะสมที่สุด
ตัวอย่างภาพยนตร์เรื่อง Barbie
ในตัวอย่างจะเห็นว่าบาร์บี้อยู่ในสองโลก คือ โลกบาร์บี้ และโลกความจริง หากมองคร่าว ๆ ตามหลักการทางทัศนศิลป์ ในโลกบาร์บี้ การออกแบบงานสร้างด้านฉากที่เห็นแล้ว โลกนี้สดใส ชวนฝัน เยี่ยงดินแดนเนรมิต นี่คืออาณาจักรบาร์บี้ (Barbie Land) มีทั้งบ้าน หมู่บ้าน สวนสนุก สวนน้ำ สถานบันเทิง ชายหาด ฯลฯ สถานที่ทำกิจกรรมมากมายที่จำลองสถานที่ในชีวิตมนุษย์มาอยู่ในโลกบาร์บี้
โดยมีองค์ประกอบด้านสี barbie hot pink ที่กลบองค์ประกอบอื่น เพราะใช้หลักสมดุลของสีแบบ Monochromatic คือใช้สี barbie hot pink เป็นสีหลัก มีความโดดเด่นประมาณ 70% และใช้สี Analogous สีเทียบเคียงสีชมพูที่อยู่เรียงกันในวงล้อสีประมาณ 20% และเพิ่มอารมณ์ของสีแบบ Complementary คือสีคู่ตรงข้ามประมาณ 10% ของภาพ นั่นคือสีฟ้าและสีเขียว
Warner Bros.
Warner Bros.
ในโลกบาร์บี้ เป็นการจำลองโลกความจริงในสังคมมนุษย์ สิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ เป็นเฉดสีชมพู แม้แต่ถนน ชายหาด และภูเขา ยังเป็นสีชมพูอ่อน ท้องฟ้าเป็นสีฟ้า ต้นไม้เป็นสีเขียว แต่หากมองโดยองค์รวม บ้านทุกหลัง รถยนตร์ทุกคัน ต้นไม้ทุกต้น ทุกอย่างมีลักษณะเหมือนกันหมด ต่างกันแค่สีนิดหน่อย
ที่โดดเด่นคือ ดวงอาทิตย์ที่มีการไล่เฉดสีเหลืองส้ม มีรัศมีเปล่งออกมาเป็นแฉก เหมือนเป็นดวงอาทิตย์ที่ถูกวาดแล้วนำมาแปะบนพื้นหลังสีฟ้า ลักษณะทั้งหมดทั้งมวลในโลกนี้ เป็นการบ่งบอกว่า นี่คืออาณาจักรของเล่น อาณาจักรสีชมพูของเด็กสาวไร้เดียง
เมื่อบาร์บี้พบปัญหาจากที่เท้าของเธอไม่ได้อยู่ในสภาพยกส้นที่ถูกดัดมาเพื่อใส่รองเท้าส้นสูง เท้าของเธอกลับราบไปกับพื้นดังเช่นมนุษย์ อันเป็นจุดผกผัน (Turning Point) ที่ทำให้เรื่องราวเปลี่ยนแปลง เธอจึงหาคำตอบ และไปที่ประตู คล้าย ๆ ประตูมิติ เชื่อมเส้นทางโลกบาร์บี้ไปสู่โลกความจริง
Warner Bros.
Warner Bros.
Warner Bros.
เมื่อบาร์บี้เข้าไปสู่โลกแห่งความจริง เราจะเห็นการเปลี่ยนแปลงด้านสีแบบสลับขั้วกัน จากเฉดสีชมพู 90% ของภาพ กลายเป็นสีชมพูมีเพียง 10% ของภาพ และ 90% ของภาพเป็นสีวรรณะเย็นที่หม่น คือ เทา ดำ น้ำเงินเข้ม นั่นคือการแสดงให้เห็นว่า ทั้งสองโลกนี้แตกต่างกัน อีกนัยหนึ่งอาจกล่าวได้ว่า บาร์บี้ในโลกบาร์บี้ (โลกของตัวเอง) นั้นช่างยิ่งใหญ่ ส่วนในโลกความจริงนั้นบาร์บี้ตัวเล็กลง
Warner Bros.
Warner Bros.
เรื่องราวจะเป็นอย่างไร?
จากตัวอย่าง รวมทั้งข้อมูลของ เกรต้า เกอร์วิค ดูเหมือนว่า เรากำลังจะได้ดูบาร์บี้มาผจญภัยในโลกมนุษย์ เนื่องด้วยเหตุผลเล็ก ๆ แค่เรื่อง “เท้า”
การที่บาร์บี้ออกจากโลกตัวเองมาสู่โลกความจริง อาจกล่าวได้ว่า นี่คือการเปลี่ยนถ่ายจากเด็กผู้หญิงมาเป็นเด็กสาววัยรุ่น อันเป็นช่วงของการก้าวข้ามผ่านวัย (coming-of-age) เป็นช่วงที่เด็กต้องค้นหาและสะท้อนตัวตน จากโลกสีชมพูของเด็กสาวไร้เดียงสา มาสู่ โลกแห่งความจริง ในที่นี้คือการเรียนรู้อีกโลกที่ไม่เหมือนเดิม ที่ส่งผลต่อการสร้างความเข้าใจในอัตลักษณ์ของตัวเอง โดยเริ่มต้นจากการปรับมุมมองเรื่อง “รองเท้า”
Warner Bros.
เมื่อบาร์บี้เข้ามาสู่โลกความจริง เธอพบเจอกับปัญหาและอุปสรรคหลายอย่างจนทำให้เธอร้องไห้ บอกเป็นนัยว่า การเปลี่ยนถ่ายมาสู่โลกความจริงนั้น ไม่ใช่รูปแบบการใช้ชีวิตที่สนุกสนาน เพราะโลกที่เธอต้องเผชิญ ไม่ใช่บาร์บี้แลนด์ ไม่ใช่โลกของเล่น ไม่ใช่โลกเพ้อฝัน ไม่ใช่ดินแดนเนรมิต ไม่ใช่โลกของเด็กสาวไร้เดียงสา ไม่ใช่โลกความงามในแบบที่เธอเข้าใจ เพราะ โลกนี้ “ไม่ใช่” สีชมพู
หลังจากนี้เราก็มารอดูกันว่า จะเป็นไปตามแนวทางที่ผู้เขียนว่าไว้หรือไม่ และจะมีประเด็น หรือแง่คิดอะไรที่หวือหวา ทำให้เราต้อง โอ้ ว้าว และนำมา "คิด" ต่อได้ในอนาคตหรือไม่ อย่างไร ค่อยว่ากัน
ข้อมูลเพิ่มเติม
โฆษณา