24 มิ.ย. 2023 เวลา 19:19 • ไลฟ์สไตล์

ปัจจัยความสำเร็จ

การจะทำการปรับชะตาให้บังเกิดผลนั้น จำเป็นต้องทำความเข้าใจ เกี่ยวกับปัจจัยพื้นฐาน ซึ่งถือเป็นองค์ประกอบสำคัญทั้งหมดก่อน เพราะหากปราศจากปัจจัยเหล่านี้ หรือมีไม่สมบูรณ์แล้ว การปรับชะตาย่อมไม่อาจบังเกิดผล หรืออาจไม่ได้ผลตามที่คาดหมายไว้ นอกจากนี้แล้ว ปัจจัยต่างๆ ที่จะกล่าวถึงนี้ยังถือเป็นสาเหตุสำคัญ ที่จะทำให้ชะตาชีวิตของคนแต่ละคน มีโอกาสประสบความสำเร็จ ได้มากน้อยต่างกันไปด้วย
ผู้ที่สามารถทำความเข้าใจ และประกอบเหตุปัจจัยเหล่านี้ ได้มากน้อยตามส่วน ก็ย่อมได้รับผลแห่งความสำเร็จ ตามสมควรแห่งเหตุปัจจัย ที่ตนกระทำไว้ และเพื่อให้ง่ายต่อการจดจำ ผู้เขียนจึงได้นำมาร้อยเรียงขึ้นเป็นบทกลอนสั้นๆ ที่มีความหมายรวบรวมปัจจัยสำคัญทั้งหมดไว้คือ "ให้กุศลคุณธรรมเดินนำหน้า ดวงชะตาฟ้าดินอิงหนุนหลัง รวมเปิดเผยซ่อนเร้นเป็นพลัง อย่ามุ่งหวังทุกสิ่งนั้นจะยั่งยืน"
คราวนี้เราก็จะค่อยมาลำดับทำความเข้าใจ เหตุปัจจัยเหล่านี้ไปทีละวรรค ในเบื้องต้นนั้นปัจจัยแรก ซึ่งทุกคนต้องมีเป็นพื้นฐานที่ขาดไม่ได้ หากต้องการความสำเร็จที่ยั่งยืน และเปี่ยมล้นด้วยสิริมงคลอันประเสริฐ นั่นก็คือการบำเพ็ญบุญกุศล และการมีคุณธรรมประจำใจ สิ่งนี้ผู้เขียนไม่ได้ยกขึ้นมาเอง แต่เป็นคำสอนที่สอดคล้องต้องกัน ทั้งในทางปรัชญาจีนโบราณ และคำสอนในสายพุทธศาสน์
โดยเฉพาะผู้ที่สนใจศึกษา เกี่ยวกับวิชาภูมิพยากรณ์ของจีน หรือที่เรียกกันว่าฮวงจุ้ยนั้น ล้วนต้องเคยได้ยินภาษิตที่ว่า อิกเต็ก หยี่เห็ง ซาฮวงจุ้ย ได้เป็นอย่างดี เต็กเห็งในความหมายของภาษิตนี้ เมื่อแปลความแล้วก็คือกุศลและคุณธรรมนั่นเอง ขณะที่คำสอนของพระพุทธเจ้าก็เน้นให้ ละกรรมชั่วและบำเพ็ญแต่กรรมดี นั่นก็คือการสอนให้มีคุณธรรมประจำใจ ไม่ทำสิ่งที่เลวร้าย และมุ่งบำเพ็ญแต่คุณงามความดี ที่เป็นบุญกุศลให้มากไว้
ทั้งสองสิ่งนี้จึงต้องถือว่า เป็นปัจจัยพื้นฐานสำคัญที่ขาดไม่ได้เป็นอันขาด หากปราศจากสิ่งเหล่านี้แล้ว ย่อมไม่ต้องคาดหวังต่อสิริมงคลใดๆ แม้จะมีหลักวิชาในการปรับชะตาลึกซึ้งเพียงใด ก็ไม่อาจช่วยเหลือได้ เพราะผู้ที่ไร้กุศลและคุณธรรม ประกอบแต่กรรมอันต่ำช้านั้น ย่อมเป็นแหล่งกำเนิด พลังอัปมงคลด้วยตัวเอง จึงไม่อาจมีความเจริญที่ยั่งยืนได้
ความจริงแล้วทั้งกุศลและคุณธรรม ก็ล้วนเป็นมีพื้นฐานมาจาก ความตั้งใจที่ดีเหมือนกัน เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น ก็จะขอสรุปเป็นถ้อยความสั้นๆ ว่า คุณธรรมนั้นเป็นความตั้งใจดี ที่บังเกิดขึ้นหรือมีประจำอยู่ภายในใจ ขณะที่กุศลก็คือ การนำความตั้งใจที่ดีนั้นมาปฏิบัติ หรือแสดงออกอย่างจริงจังที่ภายนอก จึงอาจถือได้ว่า คุณธรรมเป็นพื้นฐานกำเนิดกุศลก็คงไม่ผิดนัก และคนที่มีคุณธรรมที่ดีประจำใจ ย่อมบำเพ็ญกุศลที่ดีเป็นปกติ ปัจจัยทั้งสองสิ่งนี้จึงยาก ที่จะแยกออกจากกันอย่างเด็ดขาด
เพราะเป็นสิ่งที่เกื้อหนุนซึ่งกันและกัน และเป็นที่รับประกันได้ว่า ผู้ที่บำเพ็ญอยู่ในกุศลและคุณธรรมทั้งสองนี้ ย่อมมีความสุขสงบในทุกสถาน เพราะตัวท่านเองจะเป็นเหมือน แหล่งกำเนิดของสิริมงคล ด้วยตัวเองเช่นกัน และโดยอาศัยหลักการหมุนเวียนแห่งฟ้าดิน เมื่อมีการให้ย่อมมีการรับ เมื่อท่านช่วยผู้อื่น ย่อมมีคนมาช่วยท่านเป็นธรรมดา พระพุทธองค์จึงสอนให้คนมุ่งทำความดี เพราะเมื่อท่านเป็นคนดี ย่อมสร้างอายตนะที่ดึงดูดแต่สิ่งที่ดีๆ เข้ามาหาตัว สอดคล้องกับหลักของภาษิตที่ว่า คนดีย่อมได้อยู่ในที่ที่ดี เป็นธรรมดา
ตอนนี้เราก็จะมาลองทำความเข้าใจในรายละเอียดเกี่ยวกับกุศลและคุณธรรมกัน จากที่บรรยายมาข้างต้นท่านคงพอจะพอเข้าใจได้แล้วว่า คุณธรรมเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นและดำรงอยู่ในใจของแต่ละคน ผู้มีคุณธรรมย่อมมีความปรารถนาดีต่อผู้อื่น มีแต่ความคิดช่วยเหลือเกื้อกูล ไม่ต้องการเบียดเบียนเอาลัดเอาเปรียบผู้ใดให้เสียหาย คนมีคุณธรรมย่อมซาบซึ้ง และตระหนักในบุญคุณ ของผู้ที่ช่วยเหลือหรือดีต่อตน และเฝ้าคิดหาหนทางตอบแทน ในกาลอันสมควรทุกเมื่อ
นอกจากนั้นผู้มีคุณธรรมยังเป็นคนที่ซื่อตรง ไร้มายาเสแสร้ง มีความจริงใจในทุกการกระทำ ไม่บิดเบือนให้ร้ายต่อผู้ใด สรุปความแล้วผู้มีคุณธรรมย่อมมีแต่ความคิดที่จะสร้างคุณประโยชน์ต่อตนเองและส่วนรวม และไม่คิดทำความเดือดร้อน ให้ทั้งตนเองและผู้อื่น ด้วยความจริงใจในทุกกรณี สุดท้ายผู้มีคุณธรรมย่อมรู้จักประมาณตน และไม่ทำในสิ่งที่เกินกำลัง ยอมรับความจริงที่ตนดำรงอยู่ เรียนรู้ที่จะอดทน และดำเนินไป บนความถูกต้องชอบธรรม
สำหรับการบำเพ็ญกุศลนั้น ก็จะต้องกินความรวมถึงพฤติกรรมทั้งหมด ที่ผู้มีคุณธรรมพึงแสดงออก ทั้งการช่วยเหลือผู้อื่น ความกตัญญูรู้คุณคน ความซื่อตรง และความขยันหมั่นเพียร สามารถอดทนอดกลั้น และรอคอยโอกาสของตน ค่อยสร้างและสะสมเหตุปัจจัยต่างๆ จนถึงวันที่ปัจจัยทั้งหมดถึงความสมบูรณ์พร้อม การทำกุศลในกรณีของการช่วยเหลือผู้อื่นนั้น
หากมองในแง่มุมของพุทธศาสนาแล้ว จะมีจุดมุ่งหมายที่ชัดแจ้ง ในเรื่องของการรู้จักเสียสละสิ่งของ หรือสมบัติของตน เพื่อช่วยเหลือเจือจานผู้ทุกข์ยากลำบากกว่า และด้วยหลักผู้ให้ย่อมเป็นที่รักนี้ ผู้ที่บำเพ็ญบุญกุศลย่อมได้รับความรัก และความปรารถนาดีจากคนรอบข้าง จึงกล่าวได้ว่าผู้บำเพ็ญบุญกุศล ย่อมได้รับผลตอบสนองเป็นธรรมดา ไม่ว่าคนผู้นั้นจะต้องการหรือไม่ ดังนั้นจากที่กล่าวไว้ว่า การบำเพ็ญบุญกุศลเป็นการเสียสละออกไป ผู้บำเพ็ญจึงไม่ควรตั้งความหวัง ในผลตอบแทนที่จะได้รับกลับมา
จึงจะได้ชื่อว่า การบำเพ็ญกุศลนั้นสำเร็จ สมดังจุดประสงค์หลัก แห่งการบำเพ็ญบุญอย่างแท้จริง ซึ่งผลที่ได้ย่อมกล่อมเกลา ให้คนผู้นั้นเป็นคนใจกว้าง พร้อมจะเสียสละ ทำให้สามารถบำเพ็ญกุศล ที่ยิ่งใหญ่มากขึ้นในวันข้างหน้า ขณะที่การตั้งความหวังกับ ผลตอบรับที่ตนต้องการนั้น เมื่อไม่ได้ดังที่คิดย่อมทำให้หมดกำลังใจ และอาจสิ้นศรัทธาไม่บำเพ็ญกุศลต่อไป เท่ากับเป็นการทำลายเหตุปัจจัยสำคัญ แต่แรกเริ่มไปอย่างน่าเสียดาย
จบจากเรื่องกุศลและคุณธรรม จึงขอสรุปว่า ผู้ที่มีเหตุปัจจัยทั้งสองอย่างสมบูรณ์แล้ว การทำฮวงจุ้ยจึงจะบังเกิดผลได้ เพราะฮวงจุ้ยก็เป็นหนึ่งในวิชาที่ใช้ปรับชะตาชีวิต เมื่อกระทำได้ถูกต้องแล้วย่อมบังเกิดพลัง ที่เป็นสิริมงคลมีความเจริญรุ่งเรือง เมื่อผู้ที่มาอยู่เป็นคนมีกุศลและคุณธรรม พวกเขาย่อมได้รับผลจาก พลังของฮวงจุ้ยอย่างเต็มเปี่ยม ไม่ทำตัวเป็นแหล่งปลดปล่อยพลังอัปมงคลออกมาขัดแย้ง หรือทำลายพลังของฮวงจุ้ยที่ทำไว้
ตรงกับความหมายของวรรคที่สองในบทกลอนข้างต้น กล่าวคือ เมื่อมีกุศลคุณธรรมเพียบพร้อมแล้ว ดวงชะตาและฟ้าดิน ย่อมช่วยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง หรือจะกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า ผู้มีกุศลและคุณธรรมย่อมสร้างกรรม ที่ส่งเสริมชะตาคนของตนเอง ให้เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น ขณะที่ชะตาฟ้าซึ่งเกี่ยวพันกับคติความเชื่อและการบำเพ็ญตน ก็ย่อมดำเนินไปในทาง ที่ดีสอดคล้องกับวิถีแห่งฟ้า
และเมื่อคนผู้นั้นเป็นผู้ปลดปล่อย พลังแห่งสิริมงคลด้วยตนเอง เมื่อเขาไปอยู่ในที่ใดย่อมสามารถ ช่วยส่งเสริมพลังแห่งชะตาดินให้เกิดความเป็นมงคลตามไปด้วย ตามส่วนแห่งกำลังของกุศล และคุณธรรมของเขา นี่จึงเรียกว่า ทั้งดวงชะตาและฟ้าดิน ย่อมสนับสนุนส่งเสริมคนผู้นั้นเป็นธรรมดา
พูดถึงเรื่องนี้ผู้เขียนก็จะขอเล่าประสบการณ์ ที่ได้มีโอกาสไปเยี่ยมชมบ้านของผู้คนที่มีคุณธรรม และมีใจรักที่จะบำเพ็ญบุญกุศลอยู่เสมอ ซึ่งผลการเยี่ยมชมล้วนทำให้ผู้เขียนยอมรับโดยสนิทใจว่า คนที่ดีย่อมพบแต่สิ่งที่ดีจริงๆ เพราะไม่ว่าเขาจะคิดจะทำอะไรก็ล้วนสอดคล้องกับหลักแห่งฟ้าดิน โดยที่ตัวเขาไม่จำเป็นต้องเรียนรู้หลักการใดๆ ในการปรับชะตา เท่าที่ผู้เขียนไปพบมานั้นล้วนพบว่า คนที่มีกุศลคุณธรรมอย่างแท้จริงนั้น
แม้เขาจะเลือกบ้านแบบสุ่มคือไม่มีความรู้ใดๆ เกี่ยวกับศาสตร์แห่งภูมิพยากรณ์ทั้งหลาย แต่เขากลับได้บ้านที่มีองศาที่เป็นมงคล ตลอดถึงการจัดแต่งบ้านเรือนทั้งภายนอกและภายในบ้าน ก็ล้วนสอดคล้องกับหลักวิชาอย่างน่าอัศจรรย์ พวกเขาเพียงแต่มีความรู้สึกว่า น่าจะเป็นเช่นนั้นเช่นนี้แล้ว ก็ดำเนินไปตามความคิดของตน ทุกอย่างก็กลับสอดคล้อง กลมกลืนอย่างน่าประหลาด โดยไม่ต้องมีความรู้หรือมีผู้รู้คนใดไปช่วยชี้แนะ ผู้เขียนก็ได้แต่ชื่นชม และยินดีกับพวกเขาอย่างจริงใจ
จบวรรคที่สองก็จะขอพูดถึงวรรคที่สาม ของบทกลอนข้างต้นต่อไป เมื่อท่านมีกุศลคุณธรรม และมีชะตาฟ้าดินและคนช่วยสนับสนุนเกื้อกูลแล้ว อาจะอุปมาได้ว่า เป็นคนที่มีต้นทุนที่ดี มีความพร้อมที่จะลงมือ ทำธุรกิจให้ประสบผลสำเร็จ แต่ปัญหามีอยู่ว่า การทำธุรกิจให้ได้ผลดีนั้น นอกจากมีทุนหนามีฐานะมั่นคงแล้ว ยังต้องมีความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับธุรกิจที่ต้องการกระทำนั้นด้วย
ในวรรคนี้จึงกล่าวถึงการรวมส่วน ที่เปิดเผยและซ่อนเร้นเข้าด้วยกัน จึงจะบังเกิดพลังที่จะชักนำไปสู่ ความสำเร็จที่คาดหวังได้ เรื่องนี้แท้จริงก็เป็นเพียง การสร้างสมดุลย์แห่งพลังของจักรวาล นั่นคือพลังด้านที่เปิดเผยหรือหยาง และพลังด้านที่ซ่อนเร้นหรือหยิน จึงอาจกล่าวได้ว่า สองวรรคแรกเป็นพื้นฐาน สองวรรคหลังต่อไปนี้ เป็นเรื่องของการปรับชะตาโดยตรง ถ้าพื้นฐานดี และการปรับเปลี่ยนถูกต้องสมบูรณ์ ย่อมส่งผลให้เกิด ความเจริญรุ่งเรืองที่ยั่งยืนได้ หลายคนอาจสงสัยว่า
เมื่อสองวรรคแรกดังกล่าวดีแล้ว คนก็ย่อมพบกับสิ่งที่ดีงาม ก็ต้องบอกว่า ถ้าสมบูรณ์พร้อมจริงๆ ก็ขอยืนยันว่าจะเป็นตามนั้น แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง ไม่มีสิ่งใดสมบูรณ์แบบ คนที่ดีในชีวิตนี้ ไม่แน่ว่าจะเป็นคนดีมาแต่อดีต บางครั้งเมื่อการกระทำที่ไม่ดีในอดีตตามมาให้ผล ก็ต้องถือเป็นสิ่งที่ท้าทายต่อคุณความดีในปัจจุบัน และนั่นคือเหตุแห่งความไม่สมบูรณ์ การปรับชะตาในสองวรรคหลังนี้ จึงเป็นสิ่งที่จะเข้ามาช่วยแก้ปัญหาดังกล่าว
โดยการที่จะประสบความสำเร็จได้นั้น จะต้องมีทั้งสองส่วนสมบูรณ์พร้อมเท่ากัน คนทั่วไปอาจรู้จักกันในนามของเก่งกับเฮง โดยเก่งก็คือหยาง หรือการลงมือกระทำอย่างจริงจัง และเฮงก็คือหยิน หรือพลังแห่งโชคชะตา ที่ซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลัง คนที่ประสบความสำเร็จ จึงต้องทั้งเก่งทั้งเฮงเป็นดีที่สุด แต่ถ้าต้องเลือกผู้เขียนยังให้น้ำหนักไปที่พลังหยาง ซึ่งเป็นพลังแห่งการสร้างสรรเป็นหลัก เพราะมีความเชื่อว่า คนควรจะเก่งไว้ก่อน เพราะความเฮงล้วนขึ้นกับดวงชะตา
จึงย่อมมีความแปรปรวนขึ้นลงเป็นธรรมดา ดังนั้นในยามชะตาตกคือ ความเฮงถดถอย คนที่เก่งยังพอจะประคับประคองตนไว้ได้ ขณะที่คนที่ไม่เก่ง อาจหมดความสามารถ ที่จะช่วยเหลือตัวเอง และต้องปล่อยตัว ให้เป็นไปตามยถากรรม หรือดวงชะตาจะพาไป ขณะที่คงที่เก่งนั้นเมื่อยามดวงขึ้น พวกเขาย่อมเจริญรุ่งเรืองอย่างรวดเร็ว ไม่ต่างกับคำเปรียบเปรยที่ว่า โลดแล่นดุจดังพยัคฆติดปีก
การปรับชะตาด้วยศาสตร์แขนงต่างๆ ล้วนต้องจัดเป็นส่วนที่ซ่อนเร้น ไม่ว่าจะเป็นส่วนของชะตาฟ้า ชะตาดิน หรือชะตาคน เพราะเป็นสิ่งที่ยุ่งเกี่ยวอยู่กับพลังเร้นลับของธรรมชาติ ที่มองไม่เห็นด้วยประสาทสัมผัสปกติ จึงถือเป็นซีกฟากของพลังหยิน ดังนั้นไม่ว่าจะทำได้สมบูรณ์เพียบพร้อมเพียงใดก็ต้องถือว่า เป็นปัจจัยความสำเร็จเพียงครึ่งหนึ่งหรือ 50% ขณะที่ส่วนหยางหรือการลงมือกระทำ ได้แก่หลักวิชาการทางโลกทั่วไป อาทิเช่น การบริหารจัดการ แผนการตลาด และการบริหารทรัพยากรบุคคล เป็นต้น
สิ่งเหล่านี้ล้วนถือเป็นเปอร์เซ็นต์ ปัจจัยความสำเร็จที่เหลือ ยกตัวอย่างเช่น การจัดทำร้านค้าสักแห่ง ซึ่งแม้จะมีการจัดองศาทิศทาง รูปทรงอาคาร และสัดส่วนปัจจัยสำคัญทั้งหมด อย่างสอดคล้องถูกต้องตามหลักวิชา รวมทั้งมีทำเลที่ตั้งอันเหมาะสม แต่ผู้ที่จะเข้าไปประกอบการธุรกิจนั้นกลับไม่มีหัวการค้า หรือค้าขายไม่เป็น ไม่ได้เรียนรู้กระบวนการวิธี ในการบริหารจัดการธุรกิจ อย่างเชี่ยวชาญ และช่ำชองเพียงพอ ก็ย่อมไม่อาจประสบความสำเร็จ ตามที่มุ่งหมายไว้ได้ เรียกว่า หยินสมบูรณ์แต่หยางอ่อนด้อย
ในทางตรงกันข้าม คนที่มีความเชี่ยวชาญ และมีประสบการค้าขายมาอย่างช่ำชอง แต่กลับต้องไปอยู่ในสถานที่อันไม่เหมาะสม มีองศาทิศทางที่เลวร้าย พลังปราณไม่สมบูรณ์ ทั้งฤกษ์ยามที่เปิดกิจการ ที่เป็นชะตาฟ้าก็ไม่ถูกต้องตามกาละเทศะ เข้าลักษณะหยางเข้มแข็งแต่หยินอ่อนแอ แน่นอนว่า หากเขาเป็นคนอดทน และต่อสู้ดิ้นรนไม่ท้อถอย เขาย่อมสามารถประคองตนให้ทรงอยู่ได้
ทั้งนี้ก็สุดแล้วแต่ว่า พลังลบที่เป็นเครื่องตัดทอนความเป็นมงคล และความเจริญรุ่งเรืองทั้งหลายนั้น จะมีอำนาจมากน้อยเพียงใด เพราะสิ่งเหล่านี้ ย่อมเป็นอุปสรรคขวากหนาม และก่อปัญหาให้ เป็นเหมือนแรงเสียดทานในชีวิต ที่จะต้องฟันฝ่าดิ้นรนให้ผ่านพ้นไปให้ได้ บ่อยครั้งแม้จะเก่งแสนเก่งเพียงใด แต่คนเราก็มีวันท้อถอยทอดอาลัย หรือเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าได้เป็นธรรมดา
ดังนั้นหากสามารถปรับชะตา แปรเปลี่ยนแรงเสียดทานเป็นแรงหนุน สร้างวิกฤตเป็นโอกาสได้ ย่อมเป็นสิ่งที่ดีกว่าอย่างแน่นอน และนี่คือความสำคัญของวรรคที่สามนี้ คือรวมทั้งเปิดเผย และซ่อนเร้นให้ก่อเกิดพลัง กลายเป็นคนที่ทั้งเก่งทั้งเฮงในเวลาเดียวกัน
วรรคสุดท้ายของบทกลอนข้างต้น ถือเป็นวิถีความเป็นไปแห่งฟ้าดินตามปกติ สอดคล้องกับสิ่งที่พระพุทธองค์ได้ทรงสอนไว้ว่า สรรพสิ่งในโลกล้วนมีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ฟ้าดินก็เป็นเช่นนั้น มนุษย์จึงไม่อาจหลีกพ้นกฏเกณฑ์ดังกล่าว เพราะจักรวาลไม่เคยหยุดนิ่ง ดวงดาวมีการเคลื่อนที่ไปตามวงโคจร ทั้งยังหมุนรอบตัวเอง ก่อเกิดเป็นวัฏจักรที่แปรเปลี่ยน ผันแปรอยู่ตลอดเวลา
การปรับชะตาให้ได้ผล จึงต้องคำนึงถึงหลักการข้อนี้อย่างแจ้งชัด คำว่า อย่ามุ่งหวังทุกสิ่งนั้นจะยั่งยืน ในวรรคสุดท้ายของบทกลอนนี้ จึงเป็นการเตือนให้ทั้งผู้ทำการปรับชะตา และผู้รับการปรับชะตา ล้วนต้องตระหนักรู้ในหลักการ แห่งวิถีฟ้าดินข้อนี้ไว้ในใจโดยตลอด และจะต้องปรับเปลี่ยนตามไปให้ทันต่อเหตุการณ์ที่ผันแปรไปนั้น
บ่อยครั้งที่ผู้เขียนได้ฟังคำบ่นว่า จากผู้คนจำนวนมาก ที่พยายามปรับชะตาตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการกระทำตามคำแนะนำของผู้รู้ หรือทำโดยการศึกษาด้วยตัวเองอย่างผิวเผินก็ตาม พวกเขาล้วนพบว่า สิ่งที่ระบุหรือบอกกล่าวไว้ ในตำรับตำราเกี่ยวกับศาสตร์แห่งการพยากรณ์ และการปรับชะตาชีวิตนั้น รวมทั้งคำแนะนำที่ได้มา ล้วนกระทำตามแล้วไม่บังเกิดผล หรืออาจส่งผลดีในช่วงต้นๆ แต่ต่อมาก็หยุดส่งผลไปเฉยๆ
หรือในกรณีที่ร้ายแรงอาจกลับกลาย เป็นความเสียหายไปด้วยซ้ำ สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ ก็ต้องบอกว่า คนที่บ่นว่าเหล่านี้ ไม่เข้าใจในเรื่องของ กระแสพลวัตรแห่งฟ้าดินดังกล่าว เมื่อสรรพสิ่งแปรปรวนไม่หยุดนิ่ง การปรับแก้ใดๆ ก็ย่อมไม่อาจหยุดยั้งเพียงการเริ่มต้นนั้น แต่ต้องทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลง และปรับเปลี่ยนตามไปด้วย
ยกตัวอย่างเช่น มีคนแนะนำให้ตั้งน้ำพุกระตุ้นปราณมงคล เมื่อได้ตำแหน่งที่ถูกต้อง มีเวลาฤกษ์ยามที่เหมาะสมแล้ว การตั้งน้ำก็จะส่งผลสำฤทธิ์ทันทีในช่วงเริ่มต้น แต่ต่อมาก็ปล่อยปละละเลยไม่สนใจ คิดว่าตั้งแล้วก็แล้วกัน กระทั่งน้ำในอ่างนั้นเริ่มเน่าเสียสกปรก ตัวอุปกรณ์น้ำพุก็มีสิ่งสกปรกเข้าไปอุดตัน ทำให้ชำรุดเสียหายใช้งานไม่ได้
เมื่อเป็นเช่นนี้เคล็ดน้ำพุกระตุ้นปราณดังกล่าว ย่อมไม่อาจส่งผลในการกระตุ้นปราณมงคลใดๆ ได้อีก ตรงกันข้ามน้ำที่เน่าเสีย และตัวปั้มพ์น้ำที่ชำรุด ยังเป็นตัวกำเนิด และปลดปล่อยพลังอัปมงคล เข้าสู่สถานที่เสียด้วยซ้ำ จนส่งผลให้สถานการณ์โดยภาพรวม เสียหายแทนที่จะเป็นผลดีดังที่คาดหวังไว้
นี่จึงเรียกว่า ไม่เข้าใจการเปลี่ยนแปลง จึงเสียหายเพราะความแปรผันนั้น ความตระหนักรู้ว่า สรรพสิ่งเป็นพลวัตรที่ต้องแปรเปลี่ยน เพื่อให้ได้พลังมงคลตามที่ต้องการ จึงต้องเอาใจใส่คอยดูแล ให้เคล็ดวัตถุที่ใช้นั้นอยู่ในสภาพที่ดี สะอาด และใช้งานได้ อย่างเช่นกรณีของน้ำพุดังกล่าว ก็ต้องคอยดูแลให้น้ำในอ่างมีความใสสะอาด เมื่อน้ำเริ่มขุ่นก็ต้องเปลี่ยนถ่ายออก แล้วใส่น้ำดีเข้าไปแทน ตัวปั้มพ์ก็ต้องคอยตรวจเช็ค
เมื่อเห็นว่าน้ำที่จะพุออกมาเริ่มแผ่วเบาหรือติดขัด ก็ต้องรีบตรวจสอบตัวปัมพ์ขจัดเอาของสกปรก หรือเศษขยะที่เข้าไปอุดตันออก ถ้าเสียหรือชำรุดเกินกว่าจะใช้งานได้ ก็ต้องรีบเปลี่ยนของใหม่เข้าแทนที่ ดังที่กล่าวมานี้ จึงต้องบอกว่า การปรับชะตาชีวิตจะสำเร็จได้ก็ด้วยการเอาใจใส่ และลงมือทำอย่างจริงจัง ดูแลรักษาให้เคล็ดปรับชะตาทั้งหลายนั้น อยู่ในสภาพที่ดี เหมือนตอนติดตั้งเข้าไปใหม่ๆ
สภาวะแปรผันอีกอย่างที่ไม่อาจมองข้าม ก็คือกรณีของพลังจรทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นราศีจร หรือดาวจร ซึ่งเป็นไปตามวัฏฏจักรแห่งฟ้าดิน ที่ทุกอย่างมีการเคลื่อนคล้อยไม่หยุดนิ่ง หมุนเวียนไปตามวงรอบเวลาที่ธรรมชาติกำหนดไว้ ในกรณีนี้เป็นสิ่งที่ต้องดูแลเพิ่มเติม จากกรณีดังกล่าวข้างต้น คือนอกจากจะทำการดูแลเอาใจใส่ กับเคล็ดวัตถุที่ใช้ให้อยู่ในสภาพที่ดีแล้ว ยังจะต้องเข้าใจหลักการเคลื่อนย้าย ของพลังจรทั้งหลายนั้นด้วย
ยกตัวอย่างเช่น ในตำแหน่งที่เคยตั้งน้ำพุไว้ ในช่วงเวลาหนึ่งยังส่งผลดี แต่เมื่อถึงช่วงเวลาหนึ่ง อาจต้องไม่เปิดใช้งาน เช่นในกรณีที่มีดาวอัปมงคลจร เคลื่อนเข้ามาสถิตในตำแหน่งนั้น ในกรณีนี้การเปิดใช้น้ำพุน อกจากจะกระตุ้นปราณมงคลแล้ว ยังอาจกระตุ้นปราณอัปมงคลให้ทำงานได้ด้วย หากต้องการใช้งานต่อจึงต้องเปรียบเทียบดูว่า พลังด้านไหนมีกำลังแรงกว่ากัน ถ้าพลังมงคลมีกำลังสูง พลังอัปมงคลจรมีกำลังไม่มากนัก ก็อาจอนุโลมให้เปิดใช้งานได้ เพราะอย่างน้อยมีเข้ามามากกว่าเสียไป ยังดีกว่าไม่มีเข้ามาเลย
จากที่บรรยายมาทั้งหมดนี้ ก็คือสี่วรรคทองของปัจจัยแห่งความสำเร็จ ที่ผู้สนใจในการปรับชะตาทั้งหลายพึงจะต้องเรียนรู้ และทำความเข้าใจให้ถ่องแท้ จึงจะสามารถปรับชะตาให้ได้ผลอย่างจริงจัง หลายคนที่อ่านแล้วอาจจะพอเข้าใจได้ว่า ความจริงแล้วหลักวิชานั้นมีอยู่ และสามารถกระทำได้อย่างเป็นผล เพียงแต่มีองค์ประกอบที่เป็นปัจจัยสำคัญ อันไม่อาจละเลยได้อยู่
และถ้าสามารถกระทำได้ครบถ้วนตามที่กล่าวมานี้ ก็สามารถรับประกันความสำเร็จ ได้ตามสมควรแห่งความรู้ ความเข้าใจ และความมานะพยายามของแต่ละบุคคล ส่วนคนที่เคยลองทำแล้ว ไม่ประสบความสำเร็จจนอาจสิ้นศรัทธา กับหลักวิชาการปรับชะตาทั้งหลายไปแล้ว ก็น่าจะพอทำความเข้าใจได้มากขึ้นว่า เหตุใดท่านจึงล้มเหลวในอดีตที่ผ่านมานั้น
ผู้เขียนไม่ปฏิเสธว่า การปรับชะตาให้ได้ผลนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ง่ายเลยในเชิงการปฏิบัติจริง เพราะมีเหตุปัจจัยสำคัญที่จะต้องคำนึง และลงมือปฏิบัติอย่างจริงจังดังกล่าว แต่ทั้งหมดนี้ก็ยังเป็นไปตามคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่า บุคคลพ้นทุกข์ได้เพราะความเพียร ขอเพียงทุกคนมีความตั้งใจจริง เป็นคนดี เรียนรู้อย่างจริงจัง และมีความตั้งใจไม่ย่อท้อ พวกเขาก็ย่อมสามารถประสบ ความสำเร็จได้อย่างแน่นอน
ก่อนที่จะเข้าถึงเนื้อหาวิชา ในสรรพศาสตร์แห่งการปรับชะตา และการพยากรณ์ที่จะบรรยายในบทต่อๆ ไป ผู้เขียนจึงต้องนำเนื้อหาเหล่านี้ มาบอกกล่าวให้ทุกท่าน ได้รับทราบล่วงหน้า และตระหนักรู้ไว้แต่เนิ่นๆ เพื่อที่ว่า ท่านจะได้เตรียมตัวเตรียมใจ ในการเรียนรู้ขั้นต่อไป และสำหรับท่านที่รู้สึกว่า เป็นสิ่งที่ยากเกินกว่าจะปฏิบัติตาม จะได้ไม่ต้องเสียเวลาอันมีค่าของท่านต่อไปอีก
(มิติทางปัจจัยสภาพ ep.3 ปัจจัยความสำเร็จ)

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา