2 ก.ค. 2023 เวลา 11:02 • ประวัติศาสตร์

[ปฐมเหตุการรุกรานโลกของจักรวรรดิมองโกลอันเนื่องมาจากความขัดแย้งทางการค้า]

ข้าคือบทลงโทษจากพระเจ้า หากพวกเจ้าไม่ประพฤติบาปอันใหญ่หลวง พระเจ้าก็คงไม่ส่งข้ามาเป็นบทลงโทษแก่พวกเจ้าหรอก
เจงกิส ข่าน
ย้อนกลับไปราว 800 ปีที่แล้ว ราวศตวรรษที่ 13 เมื่อจักรวรรดิมองโกล (Mongol Empire) ถือกำเนิดอย่างเต็มตัวบริเวณทุ่งหญ้าสเตปป์ของเอเชียกลาง จักรพรรดิพระนามว่า เจงกิส ข่าน (Genghis Khan) ได้มีความพยายามที่จะริเริ่มทำการค้ากับจักรวรรดิมุสลิมใกล้เคียงที่มีชื่อว่า จักรวรรดิควาราซเมียน (Khwarazmian Empire) ซึ่งปกครองโดย สุลต่านชาห์อะลาอุดดีน มูฮัมหมัดที่ 2 (Ala ad-Din Muhammad II.)
เจงกิส ข่าน ได้ส่งคณะทูตไปเจริญสัมพันธไมตรีเพื่อขอทำสัญญาทางการค้าอย่างเป็นทางการ ด้วยเห็นว่า ณ เวลานั้นอาณาจักรอิสลามโดยทั่วไปมีความเจริญทางวิทยปัญญาและร่ำรวยมหาศาลจากการค้า จึงเป็นการดีที่จะมีสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกัน อย่างไรก็ตามสุลต่านได้ให้การต้อนรับคณะทูตอย่างไม่เต็มใจนัก เพราะเชื่อว่าการเข้ามาทำการค้าของมองโกลเป็นยุทธวิธีที่มองโกลใช้เพื่อขยายอิทธิพลเข้ามายังจักรวรรดิควาราซเมียน
จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นเมื่อกองคาราวานของมองโกลนำสินค้าที่มีราคา ได้แก่ ผ้าไหม หยก ฯลฯ เข้ามายังดินแดนของจักรวรรดิควาราซเมียน ปรากฎว่าเจ้าผู้ปกครองมณฑลพระนามว่า อินาลชัค (Inalchuq) ผู้เป็นลุงขององค์สุลต่าน ได้เกิดความละโมบขึ้น เขาจึงได้ยึดสินค้าและสังหารเหล่าพ่อค้าทั้งหมดที่มากับกองคาราวาน ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้แก่ เจงกิส ข่าน เป็นอย่างมาก
เจงกิส ข่าน ได้ส่งคณะทูตจำนวน 3 คน เข้าเฝ้าสุลต่านชาห์อะลาอุดดีน มูฮัมหมัดที่ 2 อีกครั้ง โดยเรียกร้องให้องค์สุลต่านคืนสินค้าที่ยึดครองไปกลับคืนพร้อมทั้งส่งตัวของอินาลชัคให้ทางการมองโกลลงโทษ หากแต่องค์สุลต่านปฏิเสธข้อเรียกร้องทั้งหมด หนำซ้ำยังได้สังหารคณะทูตมองโกลด้วย
ผลจากการกระทำดังกล่าวขององค์สุลต่าน ในปี ค.ศ. 1219 เจงกิส ข่าน จึงได้ทำการตอบโต้โดยการยาตราทัพบดขยี้จักรวรรดิควาราซเมียนด้วยกำลังทหารกว่า 100,000 ถึง 150,000 นาย รวมถึงเมืองสำคัญ ๆ ของอาณาจักรอิสลามอย่างเมืองซามาร์กันด์ (Samarkand) เมืองบูฆอรอ (Bukhara) เมืองโอทราร์ (Otrar) และเมืองอูร์เกนช์ (Urgench) ด้วยเช่นกัน
หากมองผ่านกระบวนทัศน์คำสอนทางศาสนาอิสลาม การกระทำและการตัดสินใจของสุลต่านชาห์อะลาอุดดีน มูฮัมหมัดที่ 2 และเจ้าผู้ปกครองมณฑลนั้น ถือเป็นการกระทำที่ไม่สอดคล้องกับหลักคำสอนทางศาสนาอย่างสิ้นเชิง ศาสนาอิสลามมีบทบัญญัติอย่างชัดเจนซึ่งสอดคล้องกับวิถีโดยทั่วไปที่จะต้องให้ความเคารพและให้ความคุ้มครองคณะผู้แทนทางการทูต หรือแม้แต่การให้ความสำคัญกับการค้าที่ชาวมุสลิมต้องทำการค้าอย่างเป็นธรรมด้วยเช่นกัน
1
ด้วยเหตุนี้จึงมีรายงานว่า เมื่อกองทัพมองโกลบุกเข้ามายังเมืองบูฆอรอได้ เจงกิส ข่าน ได้นำทัพอันเกียงไกรเข้าไปยังใจกลางของเมืองพร้อมทั้งสั่งให้ชาวเมืองทุกคนมารวมตัวกัน ณ มัสยิดหลวงประจำเมือง โดย เจงกิส ข่าน ได้ขึ้นไปยืนบนแท่นเทศนาภายในมัสยิดพร้อมประกาศต่อชาวเมืองมุสลิมว่า
O People, know that you have committed great sins and the great ones among you have committed these sins. If you ask me what proof I have for these words, I say it is because I am the punishment of God. If you had not committed great sins, God would not have sent a punishment like me upon you.
Genghis Khan
ซึ่งมีความหมายว่า
1
โอ้ผู้คนทั้งหลาย จงรู้ไว้เถิดว่าพวกเจ้าได้ประพฤติบาปอันใหญ่หลวง และชนชั้นนำจากในหมู่ของพวกเจ้าได้กระทำบาปเหล่านี้ หากพวกเจ้าจะถามข้าว่าข้ามีหลักฐานอะไรสำหรับคำกล่าวนี้ ข้าก็ตอบได้เลยว่าเพราะข้าคือบทลงโทษจากพระเจ้า หากพวกเจ้าไม่ประพฤติบาปอันใหญ่หลวง พระเจ้าก็คงไม่ส่งข้ามาเป็นบทลงโทษแก่พวกเจ้าหรอก
เจงกิส ข่าน
หลังจากนั้น เจงกิส ข่าน ก็ได้ทำการสังหารชาวเมืองอย่างไม่ละเว้น มีการเผาทำลายเมืองทั้งเมือง เมืองแล้วเมืองเล่าจากเอเชียกลางขยับขยายสู่ดินแดนตะวันตก แทบไม่มีเมืองใดที่สามารถทัดทานกองทัพมองโกลได้แม้แต่กรุงแบกแดด (Baghdad) อันถือมหานครอันยิ่งใหญ่ของโลกยุคกลางยังถึงคราต้องล่มสลายลง
กองทัพมองโกลสามารถรวบรวมแผ่นดินได้กว้างใหญ่ถือเป็นจักรวรรดิที่ใหญ่ที่สุดเป็นลำดับที่ 2 ในโลก ความทะเยอทะยานเหล่านี้อาจกล่าวได้ว่ามีชนวนมาจากการค้าที่ไม่ลงรอยระหว่าง เจงกิส ข่าน และสุลต่านชาห์อะลาอุดดีน มูฮัมหมัดที่ 2 ก็ว่าได้
───────────
©️ อินทัช รัมมะพันธ์ - Intach Rammaphan
โฆษณา