10 ก.ค. 2023 เวลา 00:17 • ท่องเที่ยว
ฮัลชตัท

จัดเต็ม Hallstatt เมืองสวยราวเทพนิยาย วางแผนจนได้ภาพจังหวะที่ไม่มีผู้คนเลย

เที่ยวไปทั่วกับหมอเฉลิมชัยในตอนนี้ ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของทริปหอยทาก คือเคลื่อนไปช้าๆ ใช้เวลาในแต่ละจุดอย่างเพียงพอที่จะซึมซับ จดจำทุกบรรยากาศ ทุกโมเมนต์
สุนทรียภาพของการท่องเที่ยว
โดยเราแวะพักที่เมืองสวยราวเทพนิยายที่คนไทยรู้จักกันดีนี้ คือ Hallstatt
แต่ในครั้งนี้เนื่องจากเป็นทริปหอยทาก จึงแวะพักที่เมืองนี้ นานถึงสามวันสองคืน
Hallstatt เมืองสวยของออสเตรีย
แตกต่างจากการท่องเที่ยวทั่วไป ที่มักจะเช้าไปเย็นกลับ แวะถ่ายรูปตามมุมเช็คอินที่สวยงามและมีชื่อเสียง นั่งเรือในทะเลสาป ทานอาหาร แล้วก็เดินทางกลับ
คนใกล้ชิดได้วางแผนการ ที่จะเที่ยว Hallstatt โดยทำให้ได้รับอรรถรสครบถ้วน เน้นให้มีเวลาที่มากพอ ไม่เร่งรีบ เดินเล่น ผ่อนคลาย ทานอาหาร ชมร้านรวงต่างๆ
ร้านรวงสวยงามแบบเทพนิยาย
ตลอดจนถ่ายภาพในจุดเช็คอินสำคัญต่างๆ ในแบบไม่มีผู้คนเลยให้ได้ จึงต้องนอนค้างอ้างแรมในเมืองเป็นเวลาสองคืน
การวางแผนจองโรงแรมใน Hallstatt ซึ่งเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาก แต่มีห้องพักจำกัด และราคาค่อนข้างสูง จึงทำให้การจองสองคืนติดกันไม่ประสบความสำเร็จ
โรงแรมและร้านค้า
เนื่องจากเป็นช่วงพีคหรือไฮซีซั่นของการท่องเที่ยวปลายฤดูใบไม้ผลิต่อฤดูร้อน ผู้คนต่างออกมาเดินทางท่องเที่ยวกันเป็นจำนวนมาก ทั้งฝรั่งมังค่าและคนทางเอเชีย รวมทั้งโควิด-19 ได้คลี่คลายลงเป็นอย่างมากในปีนี้ด้วย
การวางแผนจองโรงแรม จึงเปลี่ยนเป็นจองโรงแรมใน Hallstatt หนึ่งคืน และข้ามไปจองโรงแรมอีกฝั่งของทะเลสาบอีกหนึ่งคืน
ทะเลสาบแสนสวย
โดยคิดปลอบใจแบบมะนาวหวานว่า ก็ดีเหมือนกัน จะได้เปลี่ยนบรรยากาศ ได้ชมวิวทะเลสาบที่แตกต่างกัน แล้วยังจะได้นั่งเรือข้ามทะเลสาบมา Hallstatt ด้วย
อย่างไรก็ตาม โชคก็เข้าข้างเรา เมื่อใกล้วันเดินทางมากๆ จากการติดตามห้องว่างทางออนไลน์
โรงแรมที่พักของเรา
ก็พบว่าในคืนที่สองนั่นเอง โรงแรมที่เราตั้งใจจองไว้ ก็เกิดมีห้องว่างเพิ่มขึ้นมา แต่เป็นคนละห้องกับห้องที่เราจองไว้ในคืนแรก
โดยในคืนแรก เป็นห้องที่มีระเบียงเห็นวิวทะเลสาป ราคา 8000 บาท
อีกมุมมองของโรงแรม
แต่ในคืนที่สอง เป็นห้องที่ไม่มีระเบียง คืนละ 6000 บาท
สุดท้ายเราก็ตัดสินใจร่วมกันว่า เพื่อจะได้ไม่ต้องย้ายกระเป๋าไกล ขอจองคืนที่สองในโรงแรมเดียวกัน แม้จะเป็นคนละห้องกันก็ตาม (เจ้าของโรงแรมคงจะแปลกใจน่าดู)
เมื่อวันเดินทางจริงมาถึง เราเดินทางมาจาก Santa Maria เมืองแสนสวยของ Dolomite ทางตอนเหนือของอิตาลี
เมืองสวยมากอีกเมืองหนึ่งของอิตาลี
ขับรถมาถึง Hallstatt แล้วแวะจอดรถที่จุดจอดรถ P1 ห่างจากโรงแรมประมาณ 850 เมตร เพราะเมืองนี้ห้ามคนขับรถยนต์เข้าไปในบริเวณเขตเมือง
รถตู้สีแดงสดใส
เราศึกษาล่วงหน้ามาแล้วว่า ให้แจ้งกับคนขับรถตู้สีแดงได้เลยว่า พักอยู่โรงแรมชื่อ Braugasthof เค้าจะขับรถพาเราพร้อมกระเป๋ามาส่งถึงหน้าโรงแรมเลย โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดใดทั้งสิ้น
ส่วนค่าจอดรถค้างคืนนั้น คิดวันละ 16 ยูโร
เราทั้งสองคนได้เตรียมการจัดกระเป๋ามาอย่างดีแล้ว ตั้งแต่ออกจาก Santa Maria ทำให้เรานำเพียงกระเป๋าใบเล็ก ( Carry-on ) คนละใบมาขึ้นรถแดง โดยทิ้งกระเป๋าใบใหญ่ไว้ในรถเช่านั้นเอง
กระเป๋าสัมภาระใบเล็กของเรา
แล้วเราก็นั่งรถสีแดง ซึ่งมาส่งถึงหน้าโรงแรมจริงๆ
แม้จะได้เคยเห็นภาพหน้าโรงแรมมาก่อนแล้ว แต่เมื่อถึงเวลาจริงๆก็ต้องบอกว่าตื่นเต้นและประทับใจเหลือเกิน
เพราะสวยงามกว่าในภาพมากมาย ผนังด้านหน้าของโรงแรมประดับประดาไปด้วยต้นไม้ ดอกไม้นานาชนิด
ป้ายชื่อโรงแรมคลาสสิคมาก
ที่โดดเด่นเป็นพิเศษคือ กุหลาบสีแดงสด ซึ่งเลื้อยเกาะผนังขึ้นไปจนถึงชั้นสอง
ผนังก็เป็นแบบบ้านพักอาศัยโบราณของยุโรปสมัยกลางหรือของออสเตรียที่เราคุ้นเคยในเทพนิยายหรือหนังสือนิทานยังไงยังงั้นเลย
กุหลาบสีแดงที่ออกดอกสีสันสดใสนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นโดยธรรมชาติแบบฟลุกๆ หากแต่ได้รับการเอาใจใส่และทะนุถนอมดูแลเป็นอย่างดี
คุณลุงใจดีผู้ดูแลทะนุถนอมกุหลาบแดง
โดยระหว่างที่เราพัก ได้มีโอกาสพบคุณลุงใจดี เอาบันไดมาพาดที่ผนังโรงแรม พร้อมกับนำกระป๋องใส่น้ำไปสเปรย์ให้รากของกุหลาบซึมซับน้ำไปหล่อเลี้ยงดอกให้มีความสดใส
แม้กระทั่งบานประตูของโรงแรมก็เป็นไม้เก่าแก่ หนาหนัก มือจับเป็นเหล็กแบบบ้านในยุโรปโบราณแท้แท้เลยทีเดียว แบบที่เราเคยเห็นในภาพยนตร์ของยุโรปสมัยกลาง แบบนั้นเลย
ประตูไม้โบราณ เสน่ห์ของยุโรปยุคกลาง
เมื่อเราเดินผ่านประตูโบราณของโรงแรมเข้ามาแล้ว ก็จะเป็นห้องอาหารที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วของโรงแรมแห่งนี้ ถือว่าโด่งดังอาจจะมากที่สุดของ Hallstatt เลยทีเดียว (เน้นที่ Out-door หน้าโรงแรม)
ส่วนล็อบบี้นั้น ต้องเดินขึ้นบันไดไปที่ชั้นสอง บันไดก็เป็นบันไดไม้แผ่นใหญ่ เดินแล้วส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด ได้อารมณ์ดีมาก
บันไดไม้สุดเท่
พอพบกับเจ้าหน้าที่ต้อนรับ ก็ประทับใจสุดสุด คนอะไร แสนจะใจดี ยิ้มแย้มแจ่มใส ช่างพูดช่างคุย อธิบายสารพัดข้อมูลที่จำเป็น
เพื่อที่จะทำให้เราได้พักอาศัยอย่างมีความสุข และมีโอกาสที่จะได้ชมวิว ถ่ายภาพตามจุดต่างๆของ Hallstatt อย่างครบถ้วนสมบูรณ์
เป็นลักษณะที่แปลกแตกต่างไปจากชาวตะวันตกทั่วไป ที่มักจะถามคำตอบคำ แต่รายนี้อธิบายละเอียดละออมากๆ
ส่วนหนึ่งของภายในโรงแรม
สิ่งที่น่าสนใจของโรงแรมนี้คือ มีอายุเทียบเท่ากับสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้นเลย คือมีอายุเก่าถึง 550 ปี เริ่มก่อสร้างเมื่อปีค.ศ. 1472 หรือพ.ศ. 2015
โดยเป็นอาคารศูนย์กลางของอุตสาหกรรมผลิตเกลือ ซึ่งในสมัยยุโรปกลาง เกลือเป็นทรัพยากรที่มีค่าสูงมากเทียบเท่าทองคำในปัจจุบัน
ได้นำเกลือจากเหมืองเกลือที่อยู่ใกล้ใกล้ มาทำให้บริสุทธิ์ และเนื่องจากทำเลของโรงแรมนี้ดีมาก อยู่ติดทะเลสาบ จึงสะดวกในการขนส่งเกลือทางเรือไปยังเมืองต่างๆทั่วยุโรป
ส่วนชั้นสองก็จะเป็นที่พัก ซึ่งก็ยังใช้งานอยู่จนถึงปัจจุบันนี้
ในปีค.ศ. 1504 จักรพรรดิแม็กซิมิเลียนได้อนุญาตให้เจ้าของ ขายเครื่องดื่มเหล้าเบียร์ได้ จึงมีชื่อเป็นร้านขายเบียร์ต่อเนื่องกันมา 400 ปี
จนมาในร้อยปีสุดท้ายนี่เอง จึงเปลี่ยนเป็นชื่อโรงแรมปัจจุบัน
ร้านอาหารของโรงแรมที่เป็นจุดเช็คอิน
ร้านอาหารของโรงแรมแห่งนี้ มีทำเลดีมากมาก จะมีสัญลักษณ์โดดเด่นคือทุกอย่างเป็นสีแดงหมด ทั้งโต๊ะ เก้าอี้ ผ้าปูโต๊ะ และอื่นๆ
มีอาหารรสเลิศที่มีการจองเต็มอยู่ตลอดเวลา จัดเป็นจุดเช็กอินสำคัญที่ผู้คนจะต้องมาถ่ายรูปที่ร้านอาหารริมทะเลสาบและหน้าโรงแรมแห่งนี้
โรงแรมมีทั้งหมดเพียง 7 ห้องเท่านั้นเอง แม้จะมีหน้ากว้างมาก ทำให้คิดว่าน่าจะมีห้องมากกว่านี้
แต่ทราบจากเจ้าหน้าที่ว่า โรงแรมนี้หน้ากว้างก็จริง แต่ตื้นมาก เพราะด้านหลังติดกับภูเขาเลย
ว่าแล้วเธอก็พาเราไปเปิดห้องเก็บของให้ดูว่า ด้านหลังไม่มีผนังนะ เพราะทั้งหมดเป็นภูเขานั่นเอง น่าตื่นเต้นดีครับ
ภายในห้องพัก
เสน่ห์ของโรงแรมแห่งนี้ก็คือ ความโรแมนติกจากการตกแต่งแบบออสเตรียดั้งเดิม พร้อมกับมีระเบียงที่เห็นวิวทะเลสาบแบบเต็มเต็ม มองกันแบบเต็มอิ่มได้ทั้งวันทั้งคืน
เมื่อเจ้าหน้าที่เธอพาเราขึ้นมาบนห้องพักชั้นสาม เธอก็บอกเราว่า มีข่าวดีจะแจ้งให้ทราบว่า
ห้องพักคืนแรกที่มีระเบียง 8000 บาทจองไว้นั้นไม่มีปัญหา
ส่วนคืนที่สอง ที่เราจองแบบประหลาดคือย้ายไปพักอีกห้องหนึ่งที่ไม่มีระเบียงในราคา 6000 บาทนั้น
ทางโรงแรมได้ใจดี ขออัพเกรดให้เรานอนห้อง 8000 บาทติดต่อเป็นคืนที่สอง โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมแต่อย่างใด โชคดีจริงๆอีกครั้งหนึ่ง
เมื่อเปิดประตูเข้าสู่ห้องพักสำหรับโรงแรมที่มีอายุมากกว่า 550 ปีแล้ว ก็ต้องบอกว่าประทับใจสุดสุด
ตู้เสื้อผ้ายุโรปยุคกลาง
กับบรรยากาศที่สวยงามราวกับอยู่ในกระท่อมของการ์ตูนวอลต์ดิสนีย์ ตู้เสื้อผ้าเป็นแบบไม้เก่าโบราณประกอบไปด้วยลวดลายสีสันต่างๆ แม้ดูเก่า แต่สะอาดสะอ้านดี
เมื่อโผล่เข้าไปในห้องแล้ว สิ่งที่ต้องร้องว้าวว้าวก็คือ หน้าต่างครับ มีดอกไม้สีสดใสชูช่อออกดอกสวยงาม ร่วมไปกับเห็นวิวทะเลสาบและภูเขาที่งดงามตระการตา
หน้าต่างโรงแรมที่สวยงามมาก
ไม่ว่าจะมองตรงตรง เอียงซ้าย หรือเอียงขวา จะก้มหน้าลงมามองที่ถนนก็จะพบนักท่องเที่ยวเดินกันตามที่เราคุ้นตา
นอกจากนั้นเมื่อขยับตัวจากหน้าต่างมาทางด้านขวา ก็จะพบประตูไม้โบราณอีกบานหนึ่ง
เมื่อเปิดออกไป ก็จะเป็นระเบียงไม้สวยงามมาก มีดอกไม้ประดับตกแต่งสดใส
วิวจากหน้าต่างห้องพักของเรา
ณ ระเบียงแห่งนี้ ทำให้เราเห็นภาพพาโนราม่าของเมือง Hallstatt รวมทั้งทะเลสาบและภูเขาด้วย สามารถมองออกไปไกลจนถึงฝั่งตรงกันข้าม ของทะเลสาป เห็นหงส์สีขาว เห็นเรือนานาชนิด เห็นนักท่องเที่ยว เห็นชีวิตชีวาของเมือง ทั้งหมดจากระเบียงแห่งนี้
หงส์ขาวแห่งทะเลสาบ Hallstatt
ทำให้เราตัดสินใจในทันทีว่า ระเบียงนี้นี่เอง จะเป็นอีกจุดหนึ่ง ที่เราควรใช้เวลาให้มากหน่อย
อย่างน้อยควรจะมีอาหารหนึ่งมื้อ ที่เราจะนำมานั่งทาน แบบละเลียด ช้าช้า เนิบเนิบ
2
ทานไป ชื่นชมบรรยากาศของเมืองสวยในฝันไปด้วย ไม่ต้องเร่ง ไม่ต้องรีบ เก็บทุกโมเมนต์ ทุกบรรยากาศไว้ในความทรงจำ
กิจกรรมที่แสนจะมีชีวิตชีวาในทะเลสาบ
สภาพอากาศก็ดีมากมาก เป็นใจกับเราอย่างยิ่ง คือไม่ร้อน และไม่มีฝนเลย อุณหภูมิอยู่ที่ 12-25 องศาเซลเซียส เหมาะกับคนไทยอย่างเรามากๆเลย
พระอาทิตย์ขึ้นตั้งแต่ตีห้า กว่าจะตกก็สามทุ่มเศษ แสงแดดสว่างสดใสทั้งวัน ทำให้เหมาะกับการเดินทางท่องเที่ยว ทานอาหาร ชื่นชมเมือง และถ่ายภาพเป็นอย่างยิ่ง
ร้านรวงต่างๆสวยไปหมดทุกร้าน
ทำให้กว่าจะได้เข้านอน ก็ปาเข้าไปเกือบเที่ยงคืนแล้ว เพราะดวงอาทิตย์ที่นี่ ในปลายเดือนมิถุนายน กว่าจะมืดสนิทจริงๆ ก็ราวสี่ทุ่ม
พอตีห้า ฟ้าก็สว่างแล้ว ผู้เขียนก็ตื่นขึ้นมา และออกไปถ่ายรูปตามจุดเช็คอินหรือจุดมหาชนต่างๆ
ที่โดยทั่วไปแล้ว นักท่องเที่ยวจะประสบปัญหาการถ่ายรูปอย่างยากลำบาก
เนื่องจากจะมีผู้คนมากหน้าหลายตา เกะกะปะปนเข้ามาในรูปถ่ายของเราอยู่ตลอดเวลา
ยิ่ง Hallstatt เป็นเมืองขนาดเล็กจิ๋ว มีจุดถ่ายภาพที่เป็นไฟท์บังคับไม่มากนัก จึงยากที่จะถ่ายภาพโดยไม่มีผู้คนเข้ามาปะปน
แต่จากการวางแผนของเราล่วงหน้า ด้วยการมาค้างคืนในโรงแรมใจกลางเมือง ซึ่งพบว่าจำนวนนักท่องเที่ยวที่พักค้างคืนนั้นมีน้อยมาก เพราะที่พักมีจำกัดและมีราคาแพง(เราโชคดีที่จองได้ในราคาไม่แพงมาก)
ผู้คนส่วนใหญ่จึงจะพักอยู่ที่อื่น แล้วค่อยเดินทางมาโดยรถไฟ เพื่อนั่งเรือข้ามทะเลสาบมา หรือขับรถมาเอง ซึ่งกว่าจะมาถึง ก็สายมากหรือเกือบเที่ยงแล้ว
ทางเดินในตอนเช้า โล่งและว่างมาก
จึงทำให้ในช่วงเช้า น่าจะเป็นนาทีทองสำหรับเรา ที่จะไปเก็บภาพตามจุดต่างๆ โดยที่ไม่มีผู้คน
เราจึงออกไปเก็บภาพตามจุดต่างๆตั้งแต่ 6 โมงเช้า แล้วก็เป็นอย่างที่เราคาดการณ์จริงๆ
ผู้เขียนจึงอาจนับได้ว่า เป็นเพียงคนเดียวในเมืองเล็กๆแห่งนี้ นับตั้งแต่เริ่มเดินออกมาที่หน้าโรงแรม เดินไปตามทางเดินที่โค้งแบบสวยงาม
1
Hallstatt ในยามนี้ จึงเงียบสงบมากในอีกมุมหนึ่ง ซึ่งไม่ค่อยได้พบเห็นกันมากนัก เพราะนักท่องเที่ยวยังมาไม่ถึง
เดินทอดน่อง ละเลียด ไปเรื่อยๆ ช้าช้า ท่ามกลางอากาศบริสุทธิ์และเย็นสบายมาก แบบทริปหอยทากที่เราเรียกชื่อกันเอง
ทุกจุดทุกมุม สวยงามมากๆ
ไปเก็บภาพสวยสวย ตามจุดต่างๆมากมายหลายจุดจนครบถ้วน
นับตั้งแต่ บริเวณหน้าโรงแรม มุมต่างๆตามทางเดินจากโรงแรมไปสู่มาร์เก็ตเพลส
บริเวณมาร์เก็ตเพลส
ถ่ายภาพที่มาร์เก็ตเพลสจนครบทุกร้าน เป็นวงกลมแบบ 360 องศา โดยที่ไม่มีผู้คนเข้ามาขัดจังหวะเลยแม้แต่คนเดียว
เก็บภาพร้านค้า ร้านอาหารต่างๆ โบสถ์ที่นับเป็นสัญลักษณ์ของเมือง
ดอกไม้นานาชนิดสารพัด น้ำตกเล็กๆ และจุดมหาชน ได้ภาพที่ถูกใจ จุใจ และใช้เวลาได้อย่างเต็มที่ ไม่ต้องเกรงใจนักท่องเที่ยวที่รอคิวถ่ายรูปอยู่
ดอกไม้สดใสพอพอกับอาคาร
ใช้เวลาไปราว 1 ชั่วโมงเศษ ก็ได้ภาพครบสมใจอยาก โดยอากาศแสนจะเป็นใจ เย็นสบายดีมาก ไม่มีเหงื่อเลย ด้วยอุณหภูมิ 15 องศาเซลเซียส
เมื่อแสงอาทิตย์เริ่มชัดเจนมากขึ้นในตอนสาย เราก็เริ่มเดินย้อนกลับมาจากจุดมหาชน เก็บภาพตามตำแหน่งเดิมเป็นรอบที่สอง ซึ่งก็จะสวยไปอีกแบบหนึ่ง
โดยแสงอาทิตย์ในช่วง 7 โมงเศษ จะแตกต่างจาก 6 โมงเศษมากพอสมควร แม้จะเป็นโลเคชั่นเดียวกัน สีสันจึงสวยงามแบบแตกต่างกัน
มุมมหาชน
ในขณะที่กำลังถ่ายภาพบริเวณ ตลาดกลางเมืองหรือมาร์เก็ตเพลสรอบที่สองอย่างมีความสุขนั่นเอง
ก็มีรถเก๋งสีขาว ขับเข้ามาจอดใจกลางเมืองเลย พบว่าคือเจ้าของร้านร้านหนึ่งในบริเวณนั้น
โชคดีว่าเก็บภาพไปได้มากมายแล้ว
รถสีขาวที่มาจอดเกะกะ ก็เลยไม่มีผลกับการเก็บภาพของเราแต่อย่างใด
เข้าใจว่าในระยะหลัง Hallstatt ซึ่งห้ามรถเข้ามาในเมือง ได้มีการอนุโลมให้เจ้าของร้านค้าหรือผู้ที่อยู่อาศัย สามารถนำรถเข้ามาได้
1
อาหารเช้าควันฉุยเลย
หลังจากนั้น เราก็มาทานอาหารเช้าซึ่งจะมาทานเมื่อใดก็ได้ เพราะห้องอาหารเช้า มีเพียง 7 โต๊ะ สำหรับแขก 7 ห้อง อย่างไรก็มีโต๊ะให้เราทานแน่นอน
อาหารถือว่ารสชาติดีทีเดียว มีความหลากหลาย แต่จุดเด่นคือ บรรยากาศของการได้ทานอาหารอยู่ในบ้านแบบยุโรปสมัยกลางของแท้ที่มีอายุมากกว่า 500 ปีนี่เอง
หลังจากนั้น เราก็เดินออกจากโรงแรมย้อนกลับมาตรงที่บริเวณใกล้ที่จอดรถ P1
เคเบิ้ลคาร์ขึ้นชมวิวเมือง
เพื่อที่จะไปขึ้นเคเบิ้ลคาร์ชมวิวของเมืองทั้งหมด โดยมีค่าโดยสารไปกลับ 22 ยูโร ใช้เวลาขาขึ้น 5 นาที
ข้างบนยอดเขา จะเห็นตัวเมืองทั้งหมดที่สวยงามมาก มีมุมให้ถ่ายภาพมากมาย
มุมมองจากบนยอดเขา
โดยเฉพาะมุมไฮไลท์คือจุดที่ยื่นลอยออกไปกลางอากาศให้เราถ่ายภาพที่เห็นวิวของเมืองและทะเลสาบทั้งหมด
บนเขาซึ่งเป็นจุดที่เคยทำเหมืองเกลือ จะมีทัวร์พาไปชมด้วย แต่ผู้เขียนไม่ได้ไป เพราะเคยไปเที่ยวมาแล้ว
ภาพมุมสูง
เมื่อลงมาข้างล่าง ก็ได้เดินเล่นชมวิวทิวทัศน์ ชมร้านรวงเล็กๆน่ารักไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงบริเวณท่าเรือตรงโบสถ์ เพื่อที่จะลงเรือล่องวนรอบทะเลสาบ
แล้วเราก็ประสบปัญหาเล็กน้อยว่า ตรงบริเวณท่าเรือไม่มีการขายตั๋ว
ถามคนที่อยู่แถวนั้น ส่วนใหญ่ก็ไม่มีใครทราบเนื่องจากว่าเป็นนักท่องเที่ยวเช่นกัน
โชคดีที่เจอกลุ่มนักเรียนมัธยม จึงเข้าไปทักทายและสอบถาม จึงทราบว่าเป็นนักเรียนออสเตรียเอง
นักเรียนมัธยมออสเตรียผู้ใจดี
เด็กเด็กบอกกับเราว่า ให้ซื้อตั๋วบนเรือได้เลย และพวกเขาก็กำลังจะลงเรือด้วยเช่นกัน
พูดคุยกันถูกคอ สนุกสนานมาก ได้รับความรู้หลายเรื่อง เช่น คนเยอรมันกับออสเตรียนี้สื่อสารกันรู้เรื่อง เหมือนคนไทยคุยกับคนลาว
แต่เด็กเด็กบอกว่า ออสเตรียจะฟังเยอรมันได้เกือบ 100% ในขณะที่เยอรมันจะฟังออสเตรียได้ไม่ครบ
2
เมื่อเราลงเรือไปแล้ว ก็คุยกันอีก เด็กเด็กก็ชอบใจคนไทยมาก ได้สอนพูดคำว่าขอบคุณ มีคำว่าค่ะสำหรับผู้หญิง ครับสำหรับผู้ชาย เค้าก็บอกว่าชอบชอบ น่าสนใจดี อ้อค่าเรือไม่แพงเลย คนละ 15 ยูโร
1
บรรยากาศของการลงเรือชมทะเลสาบ
การล่องเรือชมทะเลสาบ ณ อุณหภูมิช่วง 15-20 องศา ชนิดมีแสงสดใส และอากาศสะอาดบริสุทธิ์ใสปิ๊ง จึงมีความสุขมาก ได้รับอรรถรสและบรรยากาศที่ดีมากๆ
ล่องเรือจนรอบทะเลสาบ และกลับมาที่จุดเดิม ใช้เวลาประมาณ 50 นาที
หลังจากลงมาแล้ว เราก็กลับมาที่ห้องพัก และใช้เวลาในช่วงบ่ายในห้องพัก ซึ่งต้องถือว่าเป็นจุดท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากสำหรับเรา
นั่งนั่ง นอนนอน ยามบ่ายในห้องพักของเรา
นั่งเล่น นอนเล่น ทานของว่างอร่อยๆ ภายในห้องพักที่สวยงามของโรงแรมเก่าแก่แห่งนี้ จนอิ่มอกอิ่มใจ
ในเช้าวันรุ่งขึ้น ก็ได้พาคนใกล้ชิดไปเก็บภาพตอนเช้าซ้ำ ในบรรยากาศไม่มีผู้คนอีกครั้งหนึ่ง ในทุกจุดที่เราได้ถ่ายไปแล้วเมื่อวันก่อน
ภาพสวยสวย
ทำให้รู้สึกอินมากกับบรรยากาศของ Hallstatt ในช่วงที่เป็น Peak สวยที่สุดในรอบปีของปลายฤดูใบไม้ผลิต่อต้นฤดูร้อน แต่ได้รูปที่ไม่มีผู้คนเลย เป็นความประทับใจที่ไม่รู้ลืม
ปากอุโมงค์ทางเข้าเมือง
ในเช้าวันที่สาม ก่อนที่จะจากเมืองนี้ไป เราก็ยังได้ขับรถไปเก็บตกจุดชมวิวหน้าปากอุโมงค์ทางเข้าเมือง แล้วถ่ายภาพย้อนกลับมาที่เมืองอีกมุมมองหนึ่ง
อีกจุดเช็คอิน ริมทะเลสาบหน้าโรงแรม
ตามด้วยการขับรถอ้อมทะเลสาบไปฝั่งตรงข้าม เพื่อเดินเล่นริมทะเลสาป และถือโอกาสสัมผัสทรายและน้ำในทะเลสาบของจริงด้วย เป็นการทิ้งท้ายแบบ Slow life หรือหอยทากทัวร์ อย่างสมบูรณ์ลงตัว เป็นไปตามแผนที่วางไว้ทุกประการ
โฆษณา