12 ก.ค. 2023 เวลา 10:05 • ท่องเที่ยว
ญี่ปุ่น

การเดินทางข้ามปี ญี่ปุ่น EP 2 : Shirakawa, Osaka, Himeji, Kyoto

ความเดิมตอนที่แล้ว... EP.1 https://www.blockdit.com/posts/64aa6aa41c054f40fd9944ae
1
ในเช้าวันที่ 26 ธันวาคม ที่ Nagoya หลังจากทานมื้อเช้าแลเเช็คเอาท์ออกจากโรงแรมแล้ว เราก็ลากกระเป๋าเดินขึ้นรถไฟใต้ดินมาที่สถานี Nagoya วันนี้เราต้องนั่งรถไฟขบวน Hida Limited Express ขึ้นเหนือไปยัง Takayama พร้อมกับความหวังที่จะได้สัมผัสหิมะหนาฟู และอากาศที่ปลอดโปร่ง แม้จะดูพยากรณ์อากาศล่วงหน้าแล้วเหมือนฝนจะตกก็ตาม
คุณมัชฌิมกับรองเท้าคู่ใหม่ ในรถไฟขวน Hida Limited Express
แต่ด้วยการพยากรณ์อากาศแบบญี่ปุ่นที่โคตรจะแม่น ก็ทำให้เราผิดหวังเล็กน้อย เพราะพอรถไฟจอดที่สถานี Takayama ฝนก็โปรยปรายรออยู่ก่อนแล้ว และแพลนของวันนี้คือการเช่ารถขับ โดยเป็นการรับรถและคืนรถต่างสาขาต่างเมือง คือจะรับรถที่ Takayama แล้วขับไปคืนที่ Kanazawa ในระหว่างทางนี้เราจะแวะพักที่ Shirakawa หรือที่คนไทยรู้จักในนาม หมู่บ้านชิราคาวาโกะ 1 คืน
รถเช่าคันเล็กโดย TOYOTA Rent a car
ก่อนที่จะถึงเวลาเช็คอินเข้าโรงแรมที่ Shirakawa เรามีเวลาเกือบครึ่งวัน เลยตัดสินใจว่าจะขับรถไปขึ้นกระเช้าชมวิวที่ Shinhotaka ropeway เผื่อว่าอากาศแถวนั้นจะดีกว่าในเมือง
แต่ระหว่างขับรถไป Shinhotaka ropeway ก็เจอฝนตกเกือบตลอดเส้นทาง จนเมื่อเราขับเข้าเขตภูเขาขึ้นไปเรื่อย ๆ ก็ปรากฏว่ามีหิมะตกลงมาโปรยปราย บางจุดตกก่อนหน้าที่เราจะมาถึงจนถนนและสองข้างทางขาวโพลน ดูแล้วก็ตื่นเต้นไปอีกแบบ กับการขับรถท่ามกลางหิมะตก แบบนี้ค่อยสมกับการมาเที่ยวญี่ปุ่นในฤดูหนาวหน่อย
ระหว่างทางไป Shinhotaka ropeway
เรามาถึง Shinhotaka ropeway ก็พบว่าฝนยังคงตกอยู่ แต่ไม่หนักมาก พอที่จะจอดรถแล้ววิ่งเข้าตัวอาคารไปซื้อตั๋วกระเช้าได้ เจ้าหน้าที่ที่ช่องขายตั๋วแจ้งเราว่า ข้างบนหมอกลงจัด อาจจะมองไม่เห็นอะไร ให้เราตัดสินใจเองว่าจะขึ้นไปหรือไม่ แต่ไหน ๆ ก็มาแล้ว เราก็ตัดสินใจว่า ขึ้นไปดีกว่า เพราะไม่รู้จะไปไหนต่อแล้ว
กระเช้าขึ้นไปยอดเขาแบ่งออกเป็น 2 ช่วง ช่วงแรกจะนั่งไปถึง Shirakabadaira Station ซึ่งจุดนี้จะมีร้านค้า ร้านอาหารให้บริการ เราจึงตัดสินใจแวะทานมื้อเที่ยงกันก่อน แล้วค่อยขึ้นกระเช้าต่อขึ้นไปยัง Nishihotakaguchi Station Observation Deck ที่เป็นจุดชมวิวบนยอดเขา
มื้อเที่ยงที่  Shirakabadaira Station
ระหว่างทานข้าวไป ฝนก็ยังโปรยปรายลงมาไม่ขาดสาย แต่เมื่อซื้อตั๋วมาแล้วเราก็ต้องไปต่อให้สุด คือต้องไปให้ถึงสถานี Nishihotakaguchi Station Observation Deck เพื่อหวังว่าข้างบน ฟ้าจะเปิดและพอได้เห็นวิวสวย ๆ บ้าง
แต่พอขึ้นมาถึงข้างบน เหมือนฝนจะไม่ตก แต่กลายเป็นฟ้าปิดและหมอกเต็มไปหมด วิสัยทัศน์แค่ไม่ถึง 10 เมตร เรียกได้ว่ามองแทบไม่เห็นวิวอะไรเลย แถมอากาศก็หนาวมาก ๆ ด้วย การออกไปยืนถ่ายรูปด้านนอกอาคารจึงไม่ใช่เรื่องสนุกแน่ ๆ
Nishihotakaguchi Station Observation Deck
ผิดหวังเหมือนกันกับสภาพอากาศวันนี้ เพราะจะไปไหนก็ไม่เป็นใจเอาซะเลย ก็คงทำใจและเดินทางต่อ จาก Shinhotaka ropeway เราก็เลยต้องขับรถย้อนกลับมาที่ Takayama เพื่อเปลี่ยนเส้นทางมุ่งหน้า Shirakawa โดยไม่ได้แวะที่ไหนอีก
เรามาถึง Shirakawa ก็ตอนเย็นๆ เกือบจะมืดแล้ว ก็เลยไม่ทันได้ไปเที่ยวไหน แต่มุ่งหน้าไปยังที่พักชื่อ Onyado Yuinosho ซึ่งเป็นโรงแรมกึ่งๆ เรียวกังที่เพิ่งเปิดใหม่ (ณ วันที่เราเข้าพัก) ราคาที่จองไว้ก็ถือว่าแพงเอาเรื่องกับห้อง 4 เตียง สำหรับครอบครัวเรา
Onyado Yuinosho (ภาพจากเว็บไซต์โรงแรม)
ความดีงามของที่พักคืนนี้ นอกจากความใหม่แล้ว ที่นี่มีห้องออนเซ็นส่วนตัว ที่ไม่จำเป็นต้องจองล่วงหน้า แค่เดินไปเช็คดูว่าห้องว่างก็สามารถเข้าไปใช้บริการได้เลย งานนี้เลยต้องขอลองแช่ออนเซ็นครั้งแรกในชีวิต แต่มีแค่พ่อกับพี่มัชฌินะที่ขอลอง ส่วนแม่กับมัชฌิมขอสละสิทธิ์
Private Onsen ที่ Onyado Yuinosho
เป็นประสบการณ์ที่บ้าดีเดือดมาก กับการที่สองพ่อลูกแก้ผ้าลงไปแช่น้ำร้อน ๆ ด้วยกัน แต่ก็ถือว่าเป็นครั้งหนึ่งและครั้งแรกในชีวิตเลยก็ว่าได้
เป็นอีกหนึ่งคืนที่นอนหลับสบายมาก ๆ เพราะที่นอนหนานุ่มทำเอาหลับสนิทยาวทั้งคืน และตื่นมาสดใส เดินไปรับประทานอาหารเช้าตามสไตล์ญี่ปุ่น ซึ่งบอกเลยว่ามื้อเช้าที่นี่ดีมาก ๆ อย่างที่บอกว่า Onyado Yuinosho เป็นโรงแรมใหม่ที่ออกแนวเรียงกังผสมผสานกับความหรูหราทันสมัย เรื่องอาหารจึงจัดเต็มแบบญี่ปุ่นเน้น ๆ อันนี้บอกเลยว่าชอบมาก
อาหารเช้าที่ Onyado Yuinosho
จริงๆ การวางแผนมานอนที่ Shirakawa ในช่วงปลายปีแบบนี้ คาดหวังไว้สูงมากว่าจะได้ภาพหมู่บ้านชิราคาวาโกะที่ปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลน และตั้งใจจะเก็บภาพแสงสวย ๆ ยามค่ำคืนแม้จะไม่ใช่วันที่จัดแสดง light-up ก็ตาม แต่ปีนี้เหมือนหิมะจะไม่มาตามนัด เพราะตั้งแต่ก่อนเดินทางมาเราก็พยายามเช็คพยากรณ์อากาศตลอด ก็ไม่ปรากฏวี่แววว่าหิมะจะตกเลย แม้กระทั่งตลอดทั้งคืนที่เรามานอนรอ ก็กลายเป็นฝนที่ตกลงมาแทนตลอดทั้งคืน
27 ธันวาคม เราเช็คเอาท์ออกจากโรงแรมในช่วงสาย ๆ ขับรถเข้าไปยังหมู่บ้านชิราคาวาโกะ ท่ามกลางสายฝนที่โปรยปรายลงมาอย่างต่อเนื่อง เราวนเข้าไปจอดรถในลานจอด แล้วนั่งดูสถานการณ์ซักพัก พร้อมกับเอาโทรศัพท์ขึ้นมาเช็คสภาพอากาศอีกที หน้าจอพยากรณ์อากาศบอกว่า หิมะกำลังจะตก แต่ทำไมสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า มันเป็นเหมือนจะเรียกว่า "Sleet" หรือฝนน้ำแข็งมากกว่า
พยากรณ์อากาศ กับ สถาพอากาศจริง
การมาเที่ยวกับเด็กเล็ก สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญอย่างหนึ่งคือเรื่องสุขภาพ เราจึงเลือกที่จะไม่เสี่ยงเดินเที่ยวในตัวหมู่บ้านในขณะที่ฝนยังตกอยู่ เพราะดูแล้วคงไม่สะดวกในหลาย ๆ เรื่อง จึงตัดสินใจวนรถออกจากลานจอด แล้วขับวนขึ้นเขาไปยังจุดชมวิวด้านบนแทน และก็โชคดีตรงที่มีช่วงที่ฝนเริ่มซา และเริ่มจะกลายเป็นหิมะที่โปรยปรายลงมาแทน แต่ก็ไม่ทันที่จะปกคลุมทั้งหมู่บ้านอย่างที่คาดหวัง
ชิราคาวาโกะ (Shirakawa-go) หมู่บ้านมรดกโลก ที่เก่าแก่ของญี่ปุ่น ถือเป็นจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวหลายคนตั้งใจเดินทางมาสัมผัสและชื่นชม แต่เมื่อวันนี้สภาพอากาศไม่เป็นใจให้เราได้ลงไปเดินสัมผัสใกล้ ๆ การได้ภาพเป็นที่ระลึกจากมุมสูงไกล ๆ ก็ถือว่ามาไม่เสียเที่ยวซะทีเดียว
ชิราคาวาโกะ ในวันที่สายฝนโปรยปราย
เนื่องจากเราไม่ได้มีเวลามากพอที่จะรอให้หิมะตกจนทำให้หมู่บ้านทั้งหมู่บ้านขาวโพลน เราจึงตัดสินใจออกเดินทางต่อ เป้าหมายคือการขับรถไปคืนที่ Kanazawa เพื่อที่ให้ทันรอบรถไฟไป Osaka ต่อ
จาก Shirakawa เราตั้งใจจะขับรถตาม GPS ไปเรื่อยๆ มีจุดน่าจอดแวะตรงไหนก็จอด แต่เอาเข้าจริง ๆ ฝนก็ยังเป็นปัญหากวนใจเกือบตลอดเส้นทาง เราจึงทำได้แค่ขับรถชมวิวชมสายฝนไปเรื่อยจนกระทั่งมาถึง Kanazawa เราก็คืนรถก่อนเวลานัดพอสมควรเสร็จธุระแล้วก็เดินลากกระเป๋ามารอขึ้นรถไฟที่สถานี Kanazawa ซึ่งก็มีจุดให้ถ่ายรูปเช็คอินเก๋ ๆ อยู่หลายมุมพอสมควร
สถานี Kanazawa
จาก Kanazawa เรานั่งรถไฟลงใต้มาที่ Osaka โดยเราแพลนที่จะปักหลักที่ Osaka 2 คืน และเทียวในแถบนี้ 2 วัน ก่อนที่ย้อนกับไปตั้งหลักที่ Yokohama
โรงแรมที่จองเอาไว้คือ Courtyard by Marriott Shin-Osaka Station ซึ่งก็ตามชื่อเลยคืออยู่ติดกับสถานี Shin-Osaka โดยมีทางเชื่อมที่สามารถเดินจากสถานีเพียงไม่กี่ก้าวก็ถึงประตูโรงแรม จึงถือว่าเป็นที่พักที่เหมาะมากๆ สำหรับนักท่องเที่ยวอย่างพวกเรา
Courtyard by Marriott Shin-Osaka Station (ภาพจากเว็บไซต์โรงแรม)
เราเริ่มออกสำรวจ Osaka ตั้งแต่คืนแรกที่มาถึง หลังจากเช็คอินและเก็บสัมภาระไว้ที่โรงแรมแล้วเราก็ตั้งใจไปเดินชมการประดับไฟฤดูหนาวในงาน Midosuji Illumination ซึ่งเป็นการประดับไฟเกือบตลอดความยาวของถนน Midosuji กว่า 3 กิโลเมตร ผ่านใจกลางเมือง Osaka ระหว่างย่าน Umeda และ Namba
พวกเราค่อย ๆ เดินชมไฟ ถ่ายรูป เก็บบรรยากาศสวย ๆ ไปเรื่อย ๆ ตามถนน Midosuji จนเข้าถึง Dotonbori ถ่ายรูปกับป้ายหนุ่มกูลิโกะ แลนด์มาร์คที่ใคร ๆ ก็มักจะมาเช็คอินเป็นที่ระลึก แล้วก็หามื้อเย็นทาน ก่อนจะกลับมาพักผ่อนที่โรงแรม
เดินชมการประดับไฟในเมือง Osaka
28 ธันวาคม เรายังอยู่ที่ Osaka แพลนวันนี้เริ่มต้นด้วยการไปชมปราสาทโอซาก้า (Osaka Castle) ปราสาทที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศญี่ปุ่น และเป็นปราสาทที่มีประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ แต่การมาเที่ยวกับเด็กเล็ก ก็คงศึกษาและสำรวจรายละเอียดเชิงลึกไม่ได้ แม้ขนาดว่าแค่เดินเข้ามาในสวนของปราสาท เด็ก ๆ ก็เอาแต่จะเล่นตรงสนามเด็กเล่นลูกเดียว โดยไม่สนใจจะเดินต่อด้วยซ้ำ
ก็เลยต้องหลอกล่อด้วยการชวนไปขึ้นรถไฟนำเที่ยว ที่จะพาขับวนเที่ยวยังจุดสำคัญ ๆ ในอาณาบริเวณของปราสาท ก็ถือว่าได้ผลนะ เด็กก็ยอมขึ้นรถแต่โดยดี และสัญญาว่าขากลับค่อยแวะมาเล่นที่สนามเด็กเล่น
เที่ยวชมปราสาทโอซาก้า (Osaka Castle)
หลังจากเที่ยวชมตัวปราสาทและสวนโดยรอบแล้ว ก็ได้เวลาทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับเด็ก ๆ นั่นก็คือพามาเล่นที่สนามเด็กเล่น และก็เพิ่งได้รู้ตั้งแต่ตอนนี้แหละว่า จริง ๆ แล้วการพาลูก ๆ มาเที่ยวต่างประเทศ การไปซื้อตั๋วพาเข้าสวนสนุกใหญ่ ๆ จ่ายแพง ๆ แถมต้องแย่งกันเล่นมันไม่จำเป็นเลย แค่ให้เวลาพวกเขากับสนามเด็กเล่นตามสวนสาธารณะนี่ก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว เพราะเด็ก ๆ ได้สนุกและมีอิสระเต็มที่ แถมได้เพื่อนใหม่ด้วย
แค่สนามเด็กเล่นก็สนุกแล้ว
การมาเที่ยวครั้งนี้ต้องบอกว่าเราแพลนไว้ค่อนข้างหลวม มีจุดหมายที่ปักหมุดไว้ให้เลือกค่อนข้างเยอะ แต่ไม่จำเป็นว่าต้องไปทุกที่ เพราะต้องการให้ทุกคนได้มีเวลาเต็มที่กับแต่ละที่ที่เลือกไป การจะตัดสินใจว่าจะไปไหนมาไหนจึงว่ากันตามสถานการณ์หน้างาน อย่างวันนี้ช่วงบ่าย เราก็ตัดสินใจกันหลังจากออกจากปราสาทโอซาก้าเลยว่า เราจะนั่งรถไฟไป Himeji
การมี JR Pass มันก็สะดวกตรงที่ว่าเราจะไปที่ไหนก็ไม่จำเป็นต้องวางแผนหรือคิดล่วงหน้านาน อย่างจาก Osaka ไป Himeji ก็สามารถขึ้น Shinkansen ไปได้เลย และใช้เวลาไม่กี่นาทีก็ถึง
Himrji Station
ที่ Himeji เราไม่ต้องเดินไปไหนไกล แค่เดินไม่ถึงกิโลก็ถึง ปราสาทฮิเมจิ (Himeji Castle) สถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นถึงมรดกโลก เป็นปราสาทสีขาวขนาดใหญ่ซึ่งชาวญี่ปุ่นเรียกกันว่า “ปราสาทนกกระสาขาว” ตัวปราสาทยังเป็นแบบดั้งเดิมตั้งแต่เมื่อสมัย 400 ปีก่อน ถือได้ว่าเป็นสิ่งก่อสร้างที่มีความเก่าแก่ สวยงามและมีความสำคัญเป็นอย่างมากของญี่ปุ่น
เดินไม่ไกลมาก็มาถึงด้านหน้าตัวปราสาท แต่พวกเราไม่ได้เข้าไปชมข้างใน ทำแค่เก็บภาพข้างนอก และหลังจากนั้นพ่อก็ขอตัวเดินต่อไปยังจุดชมวิวที่คนใน Google Map ว่า "สวนอ่างเก็บน้ำโอโตโกยามะ" เป็นสวนสาธารณะบนที่สูง ที่สามารถถ่ายภาพ ปราสาทฮิเมจิ จากมุมสูงได้ และก็จะมองเห็นเมือง Himeji ได้แบบ 360 องศา
Himeji Castle จากหลากหลายมุมมอง
กลับจาก Himeji เราก็ไม่ได้ไปแวะที่ไหนอีก กลับเข้าพักที่โรงแรม โดยซื้ออาหารจากสถานีรถไฟเข้าไปทานที่ห้อง ซึ่งตลอดทั้งทริป นอกจากมื้อเช้าในโรงแรมแล้ว มื้ออื่น ๆ เราก็มักจะชื้อตามสภานีรถไฟ หรือตามร้านสะดวกซื้อไปทาน น้อยครั้งที่จะหาร้านนั่งทานเป็นกิจจะลักษณะ
เช้าอีกวัน 29 ธันวาคม วันนี้เราต้องเช็คเอาท์ออกจากโรงแรมที่ Osaka และต้องกลับไปที่ Yokohama เพื่อเตรียมตัวเปลี่ยนเส้นทางขึ้นเหนือ แต่เรายังมีเวลาอีกหนึ่งวันในการเที่ยวในแถบนี้
เราขึ้นรถไฟไปที่สถานี Kyoto เมื่อถึงแล้วก็ลากกระเป๋าไปฝากไว้ที่ล็อกเกอร์ฝากกระเป๋าก่อนจะออกเที่ยวในเมือง Kyoto โดยเริ่มต้นกันที่วัดทอง หรือวัด Kinkakuji ซึ่งจัดว่าเป็นไฮไลท์สำคัญที่ไม่ควรพลาดในการมาเช็คอินที่ Kyoto
Kinkakuji Temple
จาก Kinkakuji Temple เราก็มาต่อกันที่ Arashiyama โดยจุดนี้มีกิจกรรมที่เล็งไว้อยู่หลายอย่าง เริ่มต้นจากการนั่งรถไฟสาย Sagano Romantic Train เส้นทางรถไฟสำหรับชมวิว ให้บริการด้วยรถไฟไอน้ำรุ่นเก่าคลาสสิค วิ่งคู่ขนานไปกับแม่น้ำโฮซุกาวา (Hozugawa River) ระยะทาง 7.3 กิโลเมตร สองข้างทางเห็นวิวภูเขา และแม่น้ำสวยงาม ไฮไลท์จริง ๆ จะอยู่ช่วงใบไม้เปลี่ยนสี และช่วงซากุระบาน ซึ่งว่ากันว่าสวยงามมาก แต่เรามาในช่วงใกล้ปีใหม่แบบนี้ก็ยังสวยไปอีกแบบ
เราซื้อตั๋วแบบไปกลับ แต่เป็นตั๋วยืนเพราะตั๋วนั่งเต็ม เลยต้องยืนในช่วงแรก ๆ แต่รถไฟเคลื่อนไปสักพักก็มีเจ้าหน้าที่รถไฟช่วยหาที่นั่งให้กับเด็ก ๆ ส่วนพ่อก็ยืนถ่ายรูปสองข้างทางไปดูสะดวกดี
บรรยากาศบน Sagano Romantic Train
รถไฟจะวิ่งจากสถานี Saga Torokko ที่เป็นจุดขายตั๋ว ไปที่ Torokko Kameoka แล้ววิ่งกลับ แต่ขากลับเราจะลงที่สถานี Torokko Arashiyama เพื่อเดินชมป่าไผ่ Arashiyama Bamboo Grove แล้วกลับมาที่สถานี Saga Torokko
เอาจริง ๆ การเดินชมป่าไผ่ ควรจะมาในช่วงที่คนไม่เยอะมาก เช่นเช้าตรู่ เพราะมาตอนกลางวันแบบนี้คนจะค่อนข้างเยอะ และถ่ายรูปไม่ค่อยสวย แต่ก็ไม่เป็นไร ถือว่าเดินเอาบรรยากาศ และพอผ่านป่าไผ่ก็จะเป็นชุมชน เป็นบ้านเรือนแบบญี่ปุ่น ก็ถือว่าเป็นการเดินดูวิถีชีวิตของคนญี่ปุ่นไปในตัว
เดินเล่นชมป่าไผ่ Arashiyama Bamboo Grove และชมเมือง
จาก Arashiyama เราก็นั่งรถไฟกลับมาที่สถานี้ Kyoto รับกระเป๋า และก็ขึ้น Shinkansen ย้อนกลับไปที่ Yokohama เพื่อพักและเตรียมตัวเปลี่ยนเส้นทางขึ้นเหนือไปที่ภูมิภาค Tohoku เดี๋ยวเอาไว้ติดตามในตอนต่อไป
ติดตามการเดินทางของพวกเราได้ที่เพจนี้ และ
โฆษณา