Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Timeless History (ประวัติศาสตร์ไร้กาลเวลา)
•
ติดตาม
21 ก.ค. 2023 เวลา 03:56 • ประวัติศาสตร์
มุมมองของ "อีลอน มัสก์ (Elon Musk)" ต่อพระเจ้าและศาสนา
"อีลอน มัสก์ (Elon Musk)" ชื่อนี้หลายคนรู้จักดี
เขาเป็นนักธุรกิจ ผู้ก่อตั้งบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง “SpaceX” และเป็นผู้บริหาร “Tesla Motors” รวมทั้งเป็นเจ้าของ Twitter อีกด้วย
ด้วยอำนาจและความยิ่งใหญ่ของธุรกิจในมือมัสก์ ทำให้ในปัจจุบัน (ค.ศ.2023) มัสก์เป็นมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลก ด้วยทรัพย์สินประมาณ 240,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 8.16 ล้านล้านบาท)
เรื่องราวความสำเร็จของมัสก์นั้นเป็นสิ่งที่น่าสนใจและเป็นที่เล่าขาน หากแต่อีกอย่างที่คนยังไม่รู้ ก็คือมุมมองของมัสก์ที่มีต่อศาสนาและพระเจ้า
อีลอน มัสก์ (Elon Musk)
มัสก์นั้นไม่ได้ยึดถือศาสนาใดศาสนาหนึ่งอย่างเคร่งครัด หากแต่เขานำความรักในวิทยาศาสตร์และการครุ่นคิดอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับชีวิตมาประยุกต์เข้าด้วยกัน
ถ้าให้ยกตัวอย่าง มัสก์เคยกล่าวว่าชีวิตก็เหมือนกับเกมคอมพิวเตอร์
การมองโลกในแบบของมัสก์แสดงให้เห็นว่าเขาชอบที่จะครุ่นคิดถึงคำถามต่างๆ โดยประยุกต์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้าด้วยกัน ไม่ได้ใช้ความเชื่อทางศาสนาอย่างเดียว
ที่น่าสนใจก็คือ ในการสัมภาษณ์ครั้งหนึ่ง มัสก์เคยกล่าวถึงคัมภีร์ไบเบิ้ลและพระเยซู (Jesus) ด้วย
มัสก์แสดงความเห็นว่าตนนั้นเชื่อถือในคำสอนของศาสนาคริสต์หลายข้อ เช่น เรื่องที่หันแก้มซ้ายให้เขาตบเมื่อถูกตบแก้มขวา ซึ่งเป็นการแสดงถึงการตอบโต้ศัตรูด้วยความเมตตา
1
แทนที่จะคิดแก้แค้น แต่คำสอนนี้คือการให้อภัยและมอบความรักเมื่อมีคนทำร้ายเรา ซึ่งคำสอนนี้ก็เป็นการแสดงถึงความเมตตาและเข้าใจผู้อื่น ซึ่งมัสก์ก็เชื่อว่านี่คือบทเรียนสำคัญสำหรับทุกคน
อีกข้อก็คือคำสอนที่ว่าให้รักเพื่อนบ้านให้เท่ากับรักตนเอง ซึ่งเป็นการสอนให้ปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างเมตตาเหมือนที่เราต้องการให้ผู้อื่นปฏิบัติต่อเรา
คำสอนนี้เป็นคำสอนที่มัสก์เห็นว่าสำคัญมาก ไม่เพียงแค่ใช้กับความสัมพันธ์ส่วนตัวเท่านั้น แต่ยังเอามาใช้กับธุรกิจได้อีกด้วย
1
แต่อย่างไรก็ตาม มัสก์ไม่ได้มองเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องของศาสนาโดยตรง แต่เขามองเห็นถึงปัญญาในคำสอนทางศาสนาหากแต่ก็ไม่ได้เชื่อถือในความเชื่อใดโดยตรง ซึ่งอาจจะฟังดูย้อนแย้ง แต่ก็พอจะอธิบายได้อยู่
หลายคนยอมรับในคำสอนทางศาสนาโดยไม่เคยฝึกหรือปฏิบัติตามคำสอนเลย หากแต่ก็คิดว่าคำสอนเหล่านี้จะนำพาชีวิตไปในทิศทางที่ดี
1
ในกรณีของมัสก์ การเข้าหาศาสนาของเขานั้นเป็นการประยุกต์หลักคำสอนให้เข้ากับการดำเนินชีวิตและธุรกิจของเขา โดยมัสก์มักจะมองหาไอเดียที่ท้าทาย ไม่ว่าไอเดียนั้นจะเป็นไอเดียใหม่หรือเก่า แต่เขาก็เปิดรับมุมมองใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์หรือศาสนา
1
สำหรับคอนเซ็ปต์ของพระเจ้านั้น มัสก์นั้นคิดว่าพระเจ้าเหมือนพลังงานที่ทำให้เกิดจักรวาล โดยมัสก์ไม่ได้มองพระเจ้าเป็นบุคคลเหมือนที่หลายศาสนามองภาพพระเจ้าอย่างนั้น
มัสก์มองพระเจ้าเป็นเหมือนพลังจักรวาลอย่างหนึ่ง และความเชื่อนี้ก็ผูกเข้ากับงานของเขาทางด้านวิทยาศาสตร์และการสำรวจอวกาศ โดยมัสก์นั้นสนใจในความลี้ลับของจักรวาล รวมทั้งกฎที่ปกครองจักรวาลอีกที
ดังนั้นสำหรับมัสก์ เขามองว่าพระเจ้านั้นขึ้นอยู่กับการที่เรามองสิ่งต่างๆ
สำหรับบางคน พระเจ้าก็คือสิ่งเหนือธรรมชาติที่คอยจ้องดูโลก
สำหรับบางคน พระเจ้าคือสัญลักษณ์ของความรัก ความหวัง และความดีงาม
และสำหรับมัสก์ พระเจ้าคือตัวแทนของความลี้ลับแห่งจักรวาลที่ยังเข้าใจไม่ได้ทั้งหมด
มุมมองต่อพระเจ้าอย่างนี้ไม่ใช่ความเชื่อที่ผูกติดอยู่กับศาสนาใด แต่เป็นเหมือนมุมมองทางปรัชญา โดยมัสก์พยายามจะบอกว่า เราจะเชื่อในพระเจ้าหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับเราให้นิยามพระเจ้าว่าอย่างไร
หากเรานิยามว่าพระเจ้าคือต้นกำเนิดจักรวาล ดังนั้นการจะปฏิเสธการมีอยู่ของพระเจ้าก็คงจะไม่ได้ เนื่องจากจักรวาลก็ย่อมต้องมีต้นกำเนิดมาจากซักแหล่ง
มุมมองของมัสก์อาจจะดูคลุมเครือ ไม่ชัดเจน หากแต่ก็สะท้อนการเป็นคนคิดนอกกรอบของมัสก์ สะท้อนให้เห็นว่าเขาไม่ใช่เป็นเพียงนักธุรกิจหรือนักประดิษฐ์ หากแต่ยังมีความเป็นนักปรัชญาที่พยายามจะหาคำตอบของคำถามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคำถามหนึ่งของมนุษยชาติ
และเมื่อถามถึงเจตจำนงของชีวิต มัสก์ก็ได้แสดงความเห็นที่น่าสนใจเลยทีเดียว
มัสก์กล่าวว่าเจตจำนงพื้นฐานของชีวิตก็คือการขยายจิตของตนออกไป ซึ่งหากพูดอย่างนี้หลายคนคงจะงงแน่ๆ ดังนั้นหากขยายความ ความหมายของมัสก์ก็คือการเพิ่มพูนความรู้และความเข้าใจ
1
สำหรับมัสก์ ชีวิตก็คือการเรียนรู้สิ่งใหม่และมองโลกในมุมมองที่ต่างออกไป ซึ่งมัสก์เรียกว่า “ปรัชญาแห่งความใคร่รู้ (Philosophy of Curiosity)”
ปรัชญาแห่งความใคร่รู้ก็คือการจัดลำดับการเรียนรู้ การสงสัยใคร่รู้และตั้งคำถาม การสงสัยและต้องการจะรู้มากขึ้นเกี่ยวกับเรื่องราวของจักรวาลและสถานที่ของเราในจักรวาล
มัสก์มองหลักปรัชญานี้เป็นเหมือนพลังขับเคลื่อนที่ทำให้ทำงานได้สำเร็จ เขามักจะมองหาสิ่งใหม่ๆ และท้าทายความเข้าใจของตนเอง
2
ที่น่าสนใจก็คือ มัสก์เชื่อว่าทั้งมนุษย์และปัญญาประดิษฐ์หรือ “เอไอ (AI)” สามารถมีส่วนในการขยายจิต
มนุษย์นั้นมีความคิดสร้างสรรค์และประสาทสัมผัส ก็สามารถตั้งคำถามใหม่ๆ และทำให้เกิดแนวคิดใหม่ๆ
ทางด้านปัญญาประดิษฐ์ก็สามารถรวบรวมข้อมูลได้จำนวนมาก ซึ่งช่วยให้เราหาคำตอบและเกิดการค้นพบใหม่ๆ
สำหรับมัสก์ ปรัชญาแห่งความใคร่รู้ไม่ใช่เป็นเพียงการเติบโตของบุคคลใดบุคคลหนึ่งเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความก้าวหน้าของสังคมอีกด้วย
สำหรับความเป็นมาระหว่างมัสก์และศาสนานั้น เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่มัสก์ยังเด็ก
ในวัยเด็ก มัสก์เข้าเรียนที่โรงเรียนฮีบรู ซึ่งทำให้มัสก์ได้สัมผัสกับประเพณีและคำสอนของชาวยิว
มัสก์ได้เรียนรู้ธรรมเนียมของชาวยิว ซึ่งมีส่วนช่วยให้เขาเข้าใจโลกได้กว้างขึ้น
นอกจากนั้น ในวันอาทิตย์ มัสก์ยังได้เข้าศึกษาในโรงเรียนนิกายแองกลิคัน ทำให้เขาเข้าถึงหลักคำสอนของศาสนาคริสต์และคัมภีร์ไบเบิ้ล ทำให้เข้าใจหลักการพื้นฐานของศาสนาคริสต์
1
เขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับความรัก การให้อภัย ความเคารพผู้อื่น ซึ่งล้วนแต่มีอิทธิพลต่อชีวิตของเขาในเวลาต่อมา
ถึงแม้จะไม่ใช่ผู้ที่เคร่งศาสนา แต่ประสบการณ์เหล่านี้ก็ล้วนแต่ส่งผลต่อชีวิตของมัสก์ ทำให้เขาตั้งคำถามต่อสิ่งที่พบ พยายามที่จะเข้าใจเรื่องต่างๆ อย่างลึกซึ้ง ซึ่งรวมถึงโลกรอบๆ ตัวของเขาด้วย
การใกล้ชิดกับศาสนาตั้งแต่ยังเยาว์ มีบทบาทสำคัญต่อมุมมองของมัสก์ที่มีต่อโลก ทำให้เขาเป็นผู้ที่สงสัยใคร่รู้และตั้งคำถามในทุกสิ่งทุกอย่าง ทำให้เขาเป็นคนที่ไม่ยอมรับหรือเชื่ออะไรง่ายๆ หากแต่ต้องหาคำตอบเพื่อที่จะเข้าใจได้อย่างถ่องแท้
ทางด้านมุมมองเกี่ยวกับศาสนาของมัสก์ ก็มีทั้งการรู้จริงและอารมณ์ขัน โดยถึงแม้ว่าเขาจะประยุกต์ใช้หลักการที่พระเยซูเคยสอน แต่เขาก็มีวิธีการในการตีความหลักคำสอนในแบบของตนเอง
หากให้ยกตัวอย่าง มัสก์นั้นเชื่อถือในหลักคำสอนเรื่องการให้อภัยของพระเยซู ปลดปล่อยความโกรธเกรี้ยวและก้าวไปข้างหน้าด้วยความเมตตา
อีกคำสอนที่มัสก์เชื่อถือก็คือการปฏิบัติต่อผู้อื่นเหมือนที่อยากให้ผู้อื่นปฏิบัติต่อตน ซึ่งนี่คือสิ่งที่มัสก์ยึดถือในการทำงาน และพยายามจะสร้างบรรยากาศที่มีความเคารพและความยุติธรรมเป็นสิ่งพื้นฐาน ซึ่งนี่จะเป็นวัฒนธรรมการทำงานที่ประสบความสำเร็จ
1
ทางด้านอารมณ์ขันนั้น มัสก์เคยกล่าวถึงเรื่องเล่าที่ว่าพระเยซูเปลี่ยนน้ำให้กลายเป็นไวน์ โดยกล่าวอย่างขบขันว่าปาฏิหาริย์ของพระเยซูข้อนี้ก็คือปาฏิหาริย์ก่อนที่จะเกิดปาร์ตี้แอลกอฮอล์
1
ด้วยมุมมองเหล่านี้ ทำให้เห็นตัวตนและมุมมองต่อโลกของมัสก์มากขึ้น
1
แสดงให้เห็นว่ามัสก์เป็นผู้ที่มองเรื่องต่างๆ อย่างลึกซึ้งและหลายมุม ซึ่งก็หลอมรวมเป็นแนวทางในการทำงานและพัฒนานวัตกรรมต่างๆ ของบริษัท
สุดท้ายแล้ว คงบอกได้ว่ามัสก์นั้นเชื่อมั่นในการเรียนรู้และความเข้าใจ และมองว่าสองสิ่งนี้คือเป้าหมายที่แท้จริงของชีวิต และการนำเอาศาสนามาหลอมรวมกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีก็อาจจะนำไปสู่โลกที่ดีขึ้น
References:
https://medium.com/lessons-from-history/what-does-elon-musk-think-about-the-bible-and-jesus-c0001774fa87
https://relevantradio.com/2022/01/elon-musk-and-the-teachings-of-jesus-christ/
https://becomingchristians.com/2022/01/13/what-billionaire-elon-musk-said-about-jesus/
https://www.benzinga.com/news/22/08/28442608/does-elon-musk-believe-in-god-1
ประวัติศาสตร์
ปรัชญา
21 บันทึก
29
23
21
29
23
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย